ตอนที่ 157 อีกาที่สร่างเมา

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้ว เอ่ยว่า “พี่หยาง หากข้าดูไม่ผิด เจ้าหยุดอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสี่หลายปีแล้วกระมัง?”

 

 

หยางปี้อู่ถอนหายใจว่า “ถูกต้อง การบำเพ็ญเพียรไม่ง่ายเลย”

 

 

นึกถึงเขาทุ่มเทด้วยชีวิตทุกครั้ง ความมุ่งมั่น ร่างกายไม่มีสักอย่างที่ไม่ขัดเกลาจนแข็งดังเหล็กกล้า เฉพาะเจาะจงขาดการหนุนจากโอสถ จึงไม่อาจทะลวงด่านนี้ได้เสียที

 

 

มั่วชิงเฉินย่อมดูออกว่าหยางปี้อู่รากฐานมั่งคง สิ่งที่ขาดก็คือแรงผลักดันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงยื่นขวดหยกให้ใบหนึ่งทันที “ในนี้มีโอสถอยู่เม็ดหนึ่ง พี่หยางลองดู จะได้อาศัยเวลากักตนรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาพอดี รอร่างกายฟื้นฟูแล้วค่อยไปเกาะใจศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สาย”

 

 

“นี่จะได้อย่างไร เดิมทีข้าก็ได้รับบุญคุณใหญ่หลวงจากแม่นางไม่อาจตอบแทนได้แล้ว ยังยื่นมือรับของของแม่นางอีก เช่นนั้นต้องกลายเป็นคนเช่นไรไปแล้ว…” หยางปี้อู่รีบร้อนปฏิเสธว่า

 

 

มั่วชิงเฉินยัดขวดหยกเข้าในมือเขาว่า “พี่หยางพูดเช่นนี้ผิดแล้ว เจ้าสภาพร่างกายดีแล้ว จึงจะช่วยข้าทำงานได้ดียิ่งขึ้นมิใช่หรือ”

 

 

พูดจบก็ไม่รอเขาตอบกลับ หันหลังออกไปแล้ว

 

 

หยางปี้อู่ในมือกำขวดหยกวิจิตรประณีตเหมือนหยกหยางจื่อ นิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดยังคงทนแรงดึงดูดของการทะลวงตบะไม่ได้ เทโอสถลงบนมืออย่างระมัดระวัง

 

 

โอสถสีมรกตขนาดเท่าลำไย โปร่งแสงกระจ่างใส โชยกลิ่นหอมเย็นออกมาเป็นระลอกๆ

 

 

นี่…นี่ไม่ใช่ยาลูกกลอนรวมวิญญาณ?

 

 

หยางปี้อู่เพ่งพิจารณาอย่างละเอียด กลับดูไม่ออกว่าเป็นโอสถอันใด เพียงแต่กลิ่นหอมเย็นที่ซึมเข้าไปในหัวใจทำให้เขาไม่สงสัยแม้แต่น้อย นี่ต้องเป็นโอสถที่ดีกว่ายาลูกกลอนรวมวิญญาณอย่างมากมายแน่นอน

 

 

โอสถที่มั่วชิงเฉินมอบให้ ก็คือโอสถหน่อหยก เพียงแต่โอสถหน่อยกนี้แม้เป็นโอสถวิญญาณที่ระดับหลอมลมปราณสามารถกินได้ กลับเพราะหายากจึงไม่เป็นที่รู้จักของผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้บำเพ็ญเพียรในทะเลขนาบใจที่เดิมทีก็ขาดแคลนโอสถเป็นทุนอยู่แล้ว

 

 

สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรที่แทบจะไม่มีโอกาสได้กินโอสถ แรงดึงดูดของโอสถไม่ต้องสงสัยว่าต้องมากมายมหาศาล หยางปี้อู่ทนแล้วทนอีก สุดท้ายตัดสินใจ กลืนโอสถหน่อหยกลงไป

 

 

ปราณวิญญาณมหาศาลระเบิดออกจากตันเถียนทันที หยางปี้อู่สีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน แย่แล้ว ปราณวิญญาณที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ชีพจรของเขาในตอนนี้จะรับไหวเลย!

 

 

ทว่าจากนั้นเขากลับพบอย่างประหลาดใจว่า ปราณวิญญาณมหาศาลสายนั้นยามที่พุ่งสู่ชีพจรพิเศษทั้งแปด ทันใดนั้นเกิดความเย็นเป็นสาย ความเย็นเหล่านี้เองที่ทำให้ปราณวิญญาณอ่อนโยนลงมาทันที ชีพจรที่บอบบางประหนึ่งมีเกราะกำบังเพิ่มขึ้นมาชั้นหนึ่ง รองรับการทะลวงของปราณวิญญาณได้อย่างตามใจนึก

 

 

ได้ยินเพียงเสียงเปรี๊ยะเสียงหนึ่ง ในร่างกายราวกับมีสิ่งใดถูกชนแตก เขาเข้าสู่ระดับหลอมลมปราณขั้นห้าในครั้งเดียวแล้ว

 

 

ยังไม่รอความปีติยินดีบนใบหน้าเขาหายไป ก็รู้สึกว่าปราณวิญญาณสายนั้นไม่คิดเลยว่าจะไม่อ่อนแรงลง ยังคงทะลวงอยู่ในร่างเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

ระดับหลอมลมปราณขั้นห้าระยะต้น ระยะกลาง ระยะปลาย ขั้นสมบูรณ์ ไม่นึกเลยว่าไปจนถึงระดับหลอมลมปราณขั้นหกระยะกลาง ปราณวิญญาณที่กระจายออกจากโอสถในที่สุดถึงสลายไปท่ามกลางชีพจรอย่างช้าๆ

 

 

หยางปี้อู่รู้สึกว่าตนเองเหมือนฝันอยู่ตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น เขาหยิกตนเองอย่างแรงทีหนึ่ง ความเจ็บปวดที่ส่งมากลับทำให้เขายิ้มออก เดินไปหน้าประตูผลักประตูใหญ่ออกอย่างตื่นเต้น

 

 

“พี่อู่ ในที่สุดท่านก็ออกมาแล้ว ท่านอยู่ในห้องตั้งสามวันแล้ว ว้าย ท่าน…ตบะของท่าน!” นางหยางตู้ปิดปากอย่างไม่อยากเชื่อ

 

 

มั่วชิงเฉินที่อยู่ข้างๆ ยิ้มกริ่มมองดูสองสามีภรรยาแซ่หยาง นางคาดไว้แล้วว่าโอสถหน่อหยกเม็ดนั้นต้องช่วยหยางปี้อู่ทะลวงระดับหลอมลมปราณขั้นห้าได้แน่ กลับไม่คิดว่าเขาจะเข้าสู่ระดับหลอมลมปราณขั้นหกในครั้งเดียว ดูท่าเพราะตีรากฐานไว้ได้อย่างมั่นคงมาก ถึงได้เป็นเช่นนี้ได้ ไม่เหมือนตนที่ใช้โอสถเลี้ยงจนได้มา

 

 

หยางปี้อู่ไม่ได้ตอบนางหยางตู้ หากแต่เดินไปถึงหน้ามั่วชิงเฉินโดยตรง คุกเข่า ‘ตึ้ง’ ลงมาว่า “ขอบคุณบุญคุณใหญ่หลวงของแม่นางมั่ว!”

 

 

เพียงประโยคเดียว กลับพูดอย่างอื่นไม่ออกอีก ได้เพียงโขกศีรษะดังปึงๆ

 

 

มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น พลังที่มองไม่เห็นสายหนึ่งพยุงหยางปี้อู่ให้ยืนขึ้นมา ยิ้มว่า “พี่หยางกล่าวหนักไปแล้ว ระหว่างเราผู้บำเพ็ญเพียร ไม่จำเป็นต้องคารวะใหญ่โตเพียงนี้ อีกอย่างข้ายังมีเรื่องต้องไหว้วานเจ้านะ”

 

 

ในใจกลับแอบคิดว่า คนที่ทะเลขนาบใจนี่ดูเหมือนจะต่างจากที่ดินแดนเทียนหยวนเล็กน้อย ดูเหมือนกลิ่นอายของโลกฆราวาสจะมากกว่าสักหน่อย ก็เหมือน…ก็เหมือนตระกูลมั่วที่นางอยู่เมื่อเยาว์วัย หรือว่าอาจมีสาเหตุจากการที่มีตระกูลบำเพ็ญเพียรคอยกุมอำนาจกระมัง

 

 

หยางปี้อู่ได้รับบุญคุณจากมั่วชิงเฉิน เวลาแม้ชั่วครู่ก็ไม่ล่าช้า เก็บสัมภาระครู่หนึ่งคำนับแล้วก็ไปท่าเรือเกาะสดับมุกนั่งเรือ มุ่งหน้าสู่เกาะใจศักดิ์สิทธิ์

 

 

ตั้งแต่มั่วชิงเฉินรู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสูงในทะเลขนาบใจเป็นที่สะดุดตา ก็ไม่ออกข้างนอกอีก จะได้ไม่ต้องก่อให้เกิดความยุ่งยากทั้งที่อยู่เฉยๆ จึงบำเพ็ญเพียรอย่างสบายใจในบ้านของสองสามีภรรยาแซ่หยาง รอเพียงหยางปี้อู่กลับมาค่อยตัดสินใจ

 

 

ทว่าเมื่อถึงวันที่สาม ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู มีเสียงดังมาว่า “ไม่ทราบที่นี่คือบ้านหยางปี้อู่ใช่หรือไม่?”

 

 

นางหยางตู้ชะงักงัน แล้วสั่งให้เสี่ยวไห่ไปเล่นห้องข้างๆ ส่วนตนเดินเข้าไปว่า “ใครน่ะ ผู้ปกครองบ้านนี้ออกไปข้างนอกแล้ว” แต่ไม่ได้เปิดประตู

 

 

แล้วก็ได้ยินเสียงนั้นเอ่ยอีกว่า “คงจะเป็นซ้อหยางสินะ ขอบังอาจถามว่าที่เจ้านี่มีแม่นางคนหนึ่งอาศัยอยู่นี่ใช่หรือไม่?”

 

 

นางตู้หยางระแวงขึ้นมา “ไม่มี ไม่มี พวกเจ้าหาผิดคนแล้ว!”

 

 

“ซ้อหยาง รบกวนเจ้าเปิดประตูหน่อย คุณชายพวกเรารู้จักกับแม่นางคนนั้น”

 

 

“ที่ข้านี่ไม่มีคนที่พวกเจ้าจะหาจริงๆ พวกเจ้ากลับไปเถอะ” นางหยางตู้พูดพลางหันหลังเดินกลับ

 

 

กลับได้ยินเสียงของมั่วชิงเฉินลอยมาว่า “พี่สาว ท่านให้พวกเขาเข้ามาเถอะ”

 

 

นางหยางตู้ถึงเปิดประตูลานบ้านออก เห็นคนสองคนยืนอยู่ข้างนอก คนหนึ่งในนั้นใส่ชุดสีเขียวอ่อน ขับจนบุคลิกโดดเด่น สง่าไม่ธรรมดา อีกคนหนึ่งกลับแต่งตัวเป็นบ่าวรับใช้

 

 

คนที่แต่งตัวเป็นบ่าวเห็นดังนั้นจึงยิ้ม ทำท่าเชิญคุณชายชุดเขียว

 

 

คุณชายชุดเขียวเอ่ยเสียงกังวานว่า “เจ้ารออยู่ในลานบ้านเถอะ” พูดพลางยิ้มอย่างอ่อนโยนให้นางหยางตู้ แล้วยกเท้าเดินเข้าไป

 

 

“คุณชายหก บัดนี้เพิ่งผ่านไปสามวันเองกระมัง?” มั่วชิงเฉินถามนิ่งเรียบ คนคนนี้จะใจร้อนเกินไปสักหน่อยแล้ว

 

 

คุณชายหกเห็นสีหน้าเย็นชาของมั่วชิงเฉิน ยิ้มระทมทีหนึ่งว่า “แม่นางเข้าใจผิดแล้ว เรื่องใหญ่เช่นนี้ย่อมต้องพิจารณาให้รอบคอบ ที่ข้าน้อยมาวันนี้ไม่ได้มาหาแม่นางเอาคำตอบหรอก”

 

 

“เช่นนั้นเจ้า…” มั่วชิงเฉินเอียงหน้ามองเขา

 

 

ก็เห็นคุณชายหกล้วงของสิ่งหนึ่งออกมา ใช้พลังวิญญาณพยุงไว้บินไปที่มั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือรับไว้ ไม่นึกเลยว่าเป็นเตาหลอมโอสถสีเขียวไข่เป็ดเล็กกะทัดรัด ดูลักษณะ ต้องดีกว่าเตาที่หาได้ทั่วไปของนางเมื่อก่อนไม่น้อย

 

 

คุณชายหกเห็นมั่วชิงเฉินชะงักงั้น จึงยิ้มเบาๆ ว่า “วันนั้นข้าน้อยบอกพร่องแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะลืมไปว่าเดิมทีแม่นางมาเพื่อหาสิ่งนี้ วันนี้จึงส่งมา ขอให้แม่นางให้อภัยด้วย”

 

 

มั่วชิงเฉินหวาดตาใส่รอยยิ้มที่อบอุ่นของคุณชายหกปราดหนึ่ง รู้ว่าเขาต้องเดาออกอยู่แล้วว่าตนหลอมโอสถเป็น ทว่าตนไม่กลัวสิ่งนี้ เทียบกันแล้ว การมีโอสถที่พรั่งพร้อมสำคัญกว่า โดยเฉพาะโอสถเติมวิญญาณโอสถย้อนอายุพวกนั้น ล้วนเป็นของจำเป็นในการไปผจญภัย

 

 

“เช่นนี้ ก็ขอขอบคุณคุณชายหกที่ให้ของล้ำค่า รอข้าคิดดีแล้ว จะไปหาคุณชายหกเอง” มั่วชิงเฉินทำท่าส่งแขก แล้วหันหลังจะเดินเข้าห้อง

 

 

“ช้าก่อน” คุณชายหกเรียก แอบคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงในทะเลขนาบใจแม้ล้ำค่า ทว่าด้วยตบะและฐานะของตนก็มีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนับไม่ถ้วนอยากเข้าใกล้ เหตุใดมาถึงนางนี่แล้ว กลับหงุดหงิดราวกับไล่แมลงวันก็ไม่ปาน?

 

 

“คุณชายหกยังมีธุระ?” มั่วชิงเฉินถามว่า

 

 

คุณชายหกเอ่ยอย่างจำใจว่า “อย่างไรเสียข้าน้อยก็ต้องรู้ว่าควรเรียกแม่นางว่าเช่นไรกระมัง”

 

 

“ข้าแซ่มั่ว มั่วชิวเฉินพูดจบคำนับทีหนึ่งแล้วบอกลาจากไป กลับไม่ได้เห็นถึงยามที่คุณชายหกได้ยิน ‘แซ่มั่ว’ สองคำนี้สายตาเป็นประกายเล็กน้อย

 

 

วันเวลาต่อมา มั่วชิงเฉินกักตนไม่ออกมา เริ่มหลอมโอสถ เพียงแต่กังวลว่าเวลามีจำกัด จึงเลือกหลอมโอสถที่สำคัญที่สุดอย่างโอสถเติมวิญญาณโอสถย้อนอายุอย่างละไม่กี่เตา เห็นหยางปี้อู่ยังไม่กลับมา นี่ถึงหลอมโอสถพิเศษไม่กี่ชนิดอีกเตรียมไว้สำหรับสิ่งที่ไม่คาดคิด

 

 

ยามที่มั่วชิงเฉินเก็บโอสถเกิดผลได้สำเร็จเตาหนึ่ง กำลังเตรียมตัวหลอมโอสถน้ำค้างอีกเตาหนึ่งนั้น ในที่สุดก็ได้ยินนางหยางตู้บอกว่าหยางปี้อู่กลับมาแล้ว

 

 

“พี่หยาง เป็นเช่นไรบ้าง?” มั่วชิงเฉินถาม

 

 

หยางปี้อู่สีหน้าเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง กลับกระปรี้กระเปร่าดี จึงกอบหมัดต่อมั่วชิงเฉินว่า “แม่นางมั่ว ครั้งนี้ข้าไปเกาะใจศักดิ์สิทธิ์ได้นัดสหายผู้นั้นออกมาดื่มสุราโดยอ้างว่าให้แนะนำงานให้ สหายผู้นั้นเมื่อได้แตะสุราก็พูดมากขึ้นมา ข้าจึงฉวยโอกาสถามเรื่องพวกนั้น”

 

 

ฟังหยางปี้อู่พูดจบ มั่วชิงเฉินพยักหน้า ข่าวคราวที่หยางปี้อู่ถามมาและสิ่งที่คุณชายหกพูดส่วนใหญ่ตรงกัน เช่นนี้ดูแล้วเขาก็ไม่ได้หลอกตน

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ตกลงตนจะไปหรือไม่ไปนะ?

 

 

มั่วชิงเฉินเดินออกจากประตูห้องแล้วเดินไปเดินมา กะจะคิดดูดีๆ สักหน่อย ทันใดนั้นสัมผัสความเคลื่อนไหวที่มาจากถุงอสูรวิญญาณที่สงบเงียบมาตลอดได้ นางเพ่งจิต เจ้าตัวดำปิ๊ดปี๋ตัวหนึ่งก็บินออกมาก

 

 

ที่บินออกมาก็คืออสูรวิญญาณของนางอีกาไฟ เพียงแต่ยามนี้มันดูแล้วตัวใหญ่กว่าแต่ก่อนรอบหนึ่ง หางยาวขึ้นหน่อย ทั้งตัวดำจนเงา เมื่อแสงอาทิตย์สาดอยู่บนตัวไม่คิดเลยว่าจะให้ความรู้สึกของแสงสีเรืองรอง

 

 

มั่วชิงเฉินอึ้งซะแล้ว ตั้งแต่มีอยู่วันหนึ่งก่อนลงเขาอีกาไฟนี่ดื่มจนเมาเคลิ้ม แล้วคาบยาลูกกลอนไขกระดูกเขียวที่นางหลอมออกมาใหม่กินเข้าไปอีก จากนั้นเจ้านี่ก็หลับไม่ตื่นแล้ว

 

 

นางนึกว่ามันดื่มจนเมาแล้ว ยังอุตส่าห์ทำน้ำแกงสร่างเมากรอกลงไป ถูกกู้หลีพบเข้า เขาที่ปกติสงบเป็นนิจกลับเผยให้เห็นสีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ฝืนกลั้นหัวเราะไว้แล้วบอกนางว่า อีกาไฟจะเลื่อนชั้นแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินจับอีกาไฟยัดเข้าถุงอสูรวิญญาณทันทีโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี ผ่านไปไม่นานก็ถูกอาจารย์ไล่ลงเขาไปฝึกตนแล้ว เริ่มแรกนานๆ ครั้งยังคิดว่าเจ้าตะกละนั่นจะตื่นมาเมื่อใดกันแน่ ทว่าถุงอสูรวิญญาณไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย พริบตาเดียวก็ผ่านไปสี่ปีกว่า จนลืมเรื่องนี้อย่างช้าๆ แล้ว

 

 

“แว้ดๆ เห็นแม่นางข้าเปลี่ยนขนอันงดงามแล้ว เจ้าดูจนตะลึงเลยใช่หรือไม่?” อีกาไฟร้องแว้ดๆ ว่า

 

 

มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุกทีหนึ่ง “ไม่พบกันหลายปี เจ้ายังคงพูดจาน่ารังเกียจเช่นนี้… เอ๊ะ เจ้า เจ้าพูดได้แล้วหรือนี่!”

 

 

อีกาไฟรีบยกหางขึ้นแล้วเดินสองก้าวว่า “พูดได้มันเรื่องเล็กมิใช่หรือ!” พูดจบก็หมุนหัวนกมองดูรอบๆ ทีหนึ่ง แล้วจื้ดๆ สองทีว่า “ไม่ใช่ข้าว่าเจ้านะ เหตุใดทุกครั้งที่เข้าตื่นมา สถานที่ที่เจ้าอยู่ถึงแย่ลงๆทุกครั้งนะ?”

 

 

พูดจบก็กวาดสายตาใส่สองสามีภรรยาแซ่หยางที่ชะงักงันปราดหนึ่ง หัวเราะฟู่ว่า “คนก็ใช่ อัปลักษณ์ขึ้นทุกครั้ง!”

 

 

มั่วชิงเฉินกระอักกระอ่วนอย่างมากทันที ยิ้มให้สองสามีภรรยาแซ่หยางอย่างรู้สึกผิด จากนั้นเบิ่งตาใส่อีกาไฟปราดหนึ่งว่า “หุบปาก เจ้าตามข้ามา!”

 

 

หนึ่งคนหนึ่งนกเข้าไปในห้อง มั่วชิงเฉินนี่ถึงเอ่ยอย่างจริงจังว่า “นี่เจ้าถึงชั้นสองแล้ว?”

 

 

“ไร้สาระ เจ้าดูไม่ออกหรือ?” อีกาไฟทำตาเหลือกตาขาวโผล่มาครึ่งหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินพบว่าตาขาวของมันดูเหมือนจะยิ่งใหญ่ขึ้นแล้ว ดูแล้วทั้งต่ำทรามทั้งน่าโมโห กดความบุ่มบ่ามที่จะหวดมันให้กระเด็นไปว่า “เช่นนั้นเจ้าเพิ่มพลังอันใดมาใหม่?”

 

 

อีกาไฟสีหน้าไม่อยากเชื่อว่า “ไม่เจอกันไม่กี่ปี เหตุใดเจ้ายิ่งโง่ขึ้นแล้ว พูดภาษาคนได้ก็คือพลังใหม่ของข้ามิใช่หรือ?”

 

 

เห็นสายตาของมันเหมือนมองคนโง่อีกทั้งยังแฝงไว้ด้วยความเวทนาสายหนึ่ง มั่วชิงเฉินกัดฟัน หน้าบึ้งตึงว่า “นอกจากพูด!”

 

 

ในใจแอบพูดว่า หากเพียงแค่พูดได้ ข้าขอให้เจ้ากลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้หรือไม่?

 

 

กลับได้ยินอีกาไฟพูดอย่างไม่ไว้หน้าว่า “นอกจากพูดเจ้ายังอยากได้อะไรอีก เจ้าจะละโมบเกินไปหน่อยหรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉิน…