ตอนที่ 59 ซูจิ้นจวินกับซูจิ้นตั๋ง

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 59 ซูจิ้นจวินกับซูจิ้นตั๋ง

“ตอนนี้เจ้ารองออกไปทำงานหาเงินข้างนอก เขากำลังจะเป็นพ่อคนก็เลยต้องหางานทำ เวลามีลูกแล้วก็ต้องใช้เงินทุกเรื่อง เงินมันไม่ได้บินมาหาเราด้วยถูกไหม?” คุณแม่ซูกล่าว

ทันทีที่เด็กเกิดมาก็มีเรื่องให้ใช้เงินมากขึ้น ภูมิต้านทานก็ยังน้อยและถ้าเป็นไข้ขึ้นมาแม้เพียงเล็กน้อยก็ตามจะไม่พาไปโรงพยาบาลเชียวเหรอ?

แน่นอนว่าทุกอย่างต้องใช้เงิน

“พี่รองได้เงินเท่าไรต่อเดือนเหรอครับ? เขาเอาแต่วิ่งวุ่นทำงานแบบนี้คงจะเหนื่อยน่าดูเลย” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย

ถ้าเป็นคนอื่น คุณแม่ซูคงจะไม่ตอบอย่างแน่นอนและยังด่าคนถามกลับอีกด้วย แต่นี่คือจี้เจี้ยนอวิ๋น นางจึงไม่ว่าอะไร เพราะเขามีสวนผลไม้ขนาดใหญ่อันเป็นที่เลื่องลือในหมู่บ้าน

ในอนาคตเขาจะได้เป็นเจ้าคนนายคนอย่างแน่นอน ขนาดตอนนี้ยังจ้างคนทำงานในสวนผลไม้แล้วด้วย

พูดแบบนี้แล้ว เห็นชัดว่าเขาอาจจะช่วยเหลือลูกชายของนางได้

“เขาสามารถหาได้ 15 ถึง 16 หยวนต่อเดือน หากประหยัดหน่อยก็พอที่จะอยู่ได้ นี่ก็นับว่าไม่เลวแล้ว คนอื่น ๆ ในหมู่บ้านจะมีรายได้ถึงขนาดนี้เหรอ?” คุณแม่ซูกล่าว

นางกำลังพูดความจริง ในการทำสวนทำไร่นั้นไม่อาจเก็บเงินได้ถึงสิบ ๆ หยวนต่อปีหรอก แต่พี่รองซูสามารถเก็บออมได้ถึงเกือบ 100 หยวนใน 1 ปี ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณที่มากแล้ว

จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้ารับ

“สวนผลไม้ของเธอเพิ่งจะตั้งตัวได้ รออีกสักพักก็น่าจะมีงานให้ทำเต็มไปหมด ถึงตอนนั้นเธอก็มาขอให้เจ้ารองมาช่วยได้นะ แต่อย่าให้เจ้าใหญ่มาทำเลย คน ๆ นั้นน่ะช่วยเธอไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเจ้ารองล่ะก็ต้องพึ่งพาได้แน่ และเขาจะไม่สร้างความเสื่อมเสียให้ตานหงเลยหากได้เขาไปช่วย” คุณแม่ซูกล่าว

คุณแม่ซูนั้นเป็นคนมีเหตุมีผล นางรู้ดีว่าบุตรชายคนโตขี้เกียจขนาดไหน และรู้ว่าบุตรชายคนรองขยันเอาการเอางานเพียงใด นางจึงให้การสนับสนุนบุตรคนรองมากกว่า

“ได้รับ ถ้าพี่รองกลับมาแล้ว คุณแม่ช่วยบอกเขาด้วยนะครับว่าปีหน้าผมอาจต้องการแรงงานจำนวนมาก” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูด

มันต้องใช้แรงงานจำนวนมากจริง ๆ เพราะปีหน้าเขาจะเลี้ยงไก่ แกะ พร้อมกับดูแลรักษาต้นไม้ผลไปด้วย อย่าคิดว่ามีงานไม่มากนัก เพราะทุก ๆ วันมีหลายอย่างให้ต้องทำอย่างไม่รู้จบเลยทีเดียว

การได้แรงงานมาเพิ่มอีกสักคนคงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงนัก

ในปีหน้าก็ต้องไปตั้งร้านในเมืองอีก ต่อให้มีไก่ไม่มากนัก แต่จำนวนไข่ที่บรรดาไก่ 200 กว่าตัวออกก็มีมากเกินจินตนาการจริง ๆ โดยเฉพาะหลังจากที่มันดื่มน้ำสูตรลับของภรรยาเขาเข้าไป

แม่ไก่จำนวนครึ่งโหลหรือราว ๆ นั้นที่แม่ของเขาเลี้ยงไว้สามารถออกไข่ได้ตัวละ 2 ฟองต่อวัน ส่วนที่เหลืออีกครึ่งโหลสามารถออกไข่ได้ 1 ฟองต่อวัน ซึ่งนี่ก็เพียงพอแล้ว

ถ้าเลี้ยงไก่ไว้ทั้งหมด 200 ตัว ก็เท่ากับว่าจะมีไข่ 200-300 ฟองในทุกวัน และตอนนี้ราคาไข่ก็เพิ่มขึ้นจาก 8 หรือ 9 เฟินเป็น 1 เหมา ไข่ร้อยกว่าฟองก็คิดเป็นเงินสิบ ๆ หยวน

รายได้ 20-30 หยวนต่อวัน คิดเป็นเกือบ 1,000 หยวนต่อเดือน!

ทั้งคู่คงไม่มีเวลาดูแลร้านค้านี้มากนัก ดังนั้นจะต้องหาคนที่ไว้ใจได้มาดูแลเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นไม่เชื่อใจในพี่ใหญ่กับพี่รองของเขาเอง เพราะไม่ว่าจะเป็นพี่ใหญ่หรือพี่รองบ้านจี้ พวกเขาก็อยู่ห่างไกลกว่าพี่รองซูนัก

คนเราฉลาดได้ แต่จะเป็นคนฉลาดอย่างเดียวไม่ได้ ซึ่งนั่นเป็นความจริง และพี่รองซูคนนี้ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับภรรยาของเขา

จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงวางแผนเอาไว้แบบนั้น และอยากให้เขามาเห็นร้านค้าด้วยตัวเขาเอง

แต่เขาจะไม่จ้างด้วยค่าแรงตายตัว เรื่องนี้ต้องตกลงกับภรรยาของเขาอีกที

หลังได้ยินเขาพูดแล้ว คุณแม่ซูก็รู้สึกวางใจมากขึ้น นางจึงตอบตกลงกับเขา

“เอาไข่พวกนี้กลับไปให้ตานหงกินด้วยนะ ที่บ้านยังมีอีกเยอะ ถ้าหมดเมื่อไหร่ก็มาเอาที่นี่ได้” คุณแม่ซูบอก

จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “คุณแม่ครับ เอาไข่พวกนี้ไว้ให้พี่สะใภ้รองซูกินเถอะ ที่บ้านเราก็มีอีกเยอะเหมือนกัน แม่ผมเลี้ยงไก่ไว้เยอะมากเพื่อเอาไว้ให้ตานหงกินบำรุงหลังคลอด ซึ่งพวกมันออกไข่วันละฟอง และตานหงก็ได้กินไข่ตะกร้าหนึ่งทุกครั้งเลยครับ”

ไม่เพียงแต่ตานหงจะได้กิน เขาเองก็ได้กินด้วย แต่ทั้งคู่ก็กินกันไม่ทันเพราะแม่ไก่นับสิบพวกนั้นออกไข่กันเร็วมากเหลือเกิน

เมื่อคุณแม่ซูได้ยินดังนี้ นางก็ไม่ได้บังคับให้เขาต้องเอาไข่กลับไป

หลังจากจี้เจี้ยนอวิ๋นกลับไปแล้ว คุณแม่ซูก็เข้ามาในครัว พี่สะใภ้รองซูที่กำลังทำอาหารอยู่ก็เอ่ยขึ้น “คุณแม่คะ? ทำไมเจี้ยนอวิ๋นกลับไปเร็วนักล่ะคะ? เขาไม่อยู่กินข้าวเย็นกับเราเหรอ?”

“เขากลับไปดูแลตานหงน่ะ เลยไม่มีเวลาอยู่กินข้าวเย็นกับเรา” คุณแม่ซูเอ่ย จากนั้นก็ยื่นเนื้อสามชั้นจำนวน 2 ชั่งให้และเอ่ยต่อ “แบ่งให้ที่นี่ครึ่งหนึ่งนะ แล้วอีกครึ่งหนึ่งเธอก็เอากลับไปกิน ตานหงขอให้เจี้ยนอวิ๋นเอามาให้เธอโดยเฉพาะเลยล่ะ แล้วก็เก็บน้ำตาลนี่ไว้ด้วย” คุณแม่ซูเอ่ยขณะใส่น้ำตาลไว้ในตู้

สะใภ้รองซูพยักหน้า

“เจี้ยนอวิ๋นเพิ่งจะบอกว่าปีหน้าในสวนผลไม้ของเขาจะขาดแรงงานคน ถ้าเจ้ารองกลับมาคราวหน้าเธอก็บอกเขานะ ให้เขาไปช่วยงานในสวนของเจี้ยนอวิ๋นปีหน้า ฉันได้ยินมาว่าทำงานที่นั่นเงินดีอยู่ แล้วตานหงก็อยู่ที่นั่นด้วย เขาว่ากันว่าที่นั่นมีอาหารเลี้ยง ก็ไม่ต้องกินแบบประหยัดกันเกินไปนะ” คุณแม่จี้บอก

“ได้ค่ะ ถ้าเขากลับมาแล้วฉันจะบอกให้นะคะ” สะใภ้รองซูตอบอย่างดีใจ

สะใภ้ใหญ่ซูเข้ามาและได้ยินบทสนทนาของพวกหล่อนพอดี หล่อนจึงพลันเอ่ยขึ้นกับคุณแม่ซู “คุณแม่ น้องเขยเพิ่งมาหาเหรอคะ? ฉันเห็นหลังอยู่ไว ๆ นั่นเป็นเขาใช่ไหมคะ?”

หล่อนมองเนื้อสามชั้นด้วยดวงตาลุกวาว และรู้ว่าตัวเองต้องเดาถูกแน่ ๆ!

“เป็นเขานั่นแหละที่มา” คุณแม่ซูตอบ

“คุณแม่ จิ้นจวินก็เป็นลูกชายของแม่นะคะ คุณแม่จะลำเอียงแบบนี้ไม่ได้ สวนของน้องเขยเพิ่งจะตั้งตัวได้ แล้วก็ออกจะต้องการแรงงานคนเยอะมากขนาดนั้น แต่แม่ก็แนะนำน้องรองไป ไม่คิดจะแนะนำจิ้นจวินให้ไปช่วยเขาหน่อยเหรอคะ?” สะใภ้ใหญ่ซูเอ่ย

พี่ชายใหญ่ซูคือซูจิ้นจวิน พี่ชายรองคือซูจิ้นตั๋ง ส่วนซูตานหงคือน้องสาวคนสุดท้อง

“เธอนี่นะ ฉันก็ต้องไว้หน้าหน่อยสิ ฉันไม่มีทางปล่อยให้เขาไปทำงานหรอกถ้าทำงานแบบขอไปทีแบบนั้น!” คุณแม่ซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

สะใภ้ใหญ่ซูได้ฟังก็ไม่พอใจ “คุณแม่พูดแบบนั้นได้ยังไงคะ จิ้นจวินเป็นลูกชายของแม่นะ!”

“อ้าว แล้วฉันจะทำยังไงได้ล่ะ? เขาเสร็จงานในทุ่งนากลับมาเมื่อไหร่ฉันจะพิจารณาว่าจะไปพูดให้เจี้ยนอวิ๋นรับเขาเข้าทำงานหรือเปล่าก็แล้วกัน” คุณแม่ซูพูดแล้วก็โบกมือ

หล่อนช่างน่าไม่อายนักที่มาขอให้ลูกชายคนโตของนางไปทำงานให้กับตระกูลจี้ แต่นั่นเป็นลูกเขยของนางและจะต้องไม่ทำให้เกิดเรื่องขายหน้า ซึ่งเรื่องนี้ทำให้นางหนักใจ หากลูกชายของนางเป็นคนขยันทำงาน ทางตระกูลจี้ก็จะรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ และไม่มีอะไรมาตำหนินางลับหลังได้

ถ้าปล่อยให้ลูกชายคนโตของนางไปทำงานล่ะก็ ยายแก่ตระกูลจี้คนนั้นจะต้องวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักแน่

คุณแม่ซูจึงพูดไปส่ง ๆ แบบนั้น ทั้งที่ในใจของนางไม่อยากให้ลูกชายคนโตไปทำงานเลย

สะใภ้ใหญ่ซูได้ยินคำพูดของแม่สามีแล้วก็รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก

เมื่อหล่อนกลับมาที่ห้อง หล่อนก็เห็นซูจิ้นจวินกำลังหลับอยู่ จึงเขย่าตัวปลุกเขาด้วยความโมโห

ซูจิ้นจวินออกอาการหงุดหงิดที่ถูกปลุกให้ตื่น แต่เมื่อเห็นสีหน้ามืดครึ้มของภรรยา เขาก็เอ่ยขึ้น “มีอะไรเหรอ? ใครทำคุณโมโหอีกครับเนี่ย?”

“คุณยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอคะ? ตอนที่จี้เจี้ยนอวิ๋นมาที่นี่ คุณก็ไม่รู้จักลงไปต้อนรับเขา เป็นพี่ภรรยาประสาอะไร? คุณไม่รู้เหรอว่าตอนนี้สวนของเจี้ยนอวิ๋นกำลังตั้งตัวได้แล้ว คุณยังอยากไปทำงานอยู่ไหม?” สะใภ้ใหญ่ซูด่า

ทันทีที่ได้ยินดังนี้ ซูจิ้นจวินก็นอนลงอีกครั้ง “ผมไม่ไปหรอก ผมเหนื่อยแล้ว ถ้าดูจากความกตัญญูของตานหง ตอนที่สวนตั้งตัวได้ เราก็จะได้ประโยชน์จากคุณแม่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? คุณแม่ได้ผลประโยชน์อะไรเราก็ได้อย่างนั้น คุณอย่ากังวลไปหน่อยเลย”

สะใภ้ใหญ่ซูโมโหกับการใช้ชีวิตแบบเลื่อนลอยของสามีมาก หล่อนจึงด่าอีกรอบ “คุณแม่เพิ่งบอกจี้เจี้ยนอวิ๋นไปว่าจะให้น้องรองไปช่วยงานในปีหน้าน่ะสิคะ!”

“ถ้าเขาอยากทำก็ให้เขาทำไป ไม่เกี่ยวอะไรกับเราสักหน่อย” ซูจิ้นจวินโบกมือ

สะใภ้ใหญ่ซูโมโหไปครู่ใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่มีประโยชน์ หล่อนจึงไม่ต่อความยาวสาวความยืดอีกต่อไป อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังไม่ได้แยกบ้านกัน เมื่อบ้านรองหาเงินมาได้ พวกเขาก็ต้องเอามาไว้ที่กองกลาง เมื่อเวลานั้นมาถึง พวกเขาก็จะมาแบ่งกันอีกที ซึ่งทรัพย์สินในบ้านจะถูกแบ่งเป็นครึ่งต่อครึ่ง ไม่อย่างนั้นแล้วหล่อนก็ไม่มีทางเห็นด้วยหรอก!

จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่รู้เลยว่ามีหลายสิ่งเกิดขึ้นทางบ้านแม่ยายในตอนที่เขามาเยี่ยม

เมื่อเขากลับมาหาภรรยาและรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็บอกเธอในเรื่องของไข่ ซึ่งเขายังไม่ได้คำนวณมาก่อน แต่ถ้าอิงตามราคาปัจจุบัน หากขายไข่ 300 ฟองทุกวัน พวกเขาก็จะได้เงิน 30 หยวนต่อวัน ถ้าคิดเป็นต่อเดือนก็จะได้เดือนละ 900 หยวน ขาดอีกนิดเดียวก็เป็น 1,000 หยวนแล้ว!

“อย่ากังวลไปเลยค่ะ ปีหน้าฉันจะทำตัวให้ว่างแล้วจะมาช่วยคุณดูแลเองค่ะ แม่ไก่พวกนั้นจะต้องออกไข่ถึงจำนวนนั้นได้อย่างแน่นอน” ซูตานหงเลิกคิ้วขณะมองสามีของเธอ

จี้เจี้ยนอวิ๋นหัวเราะ เขาคิดว่าอนาคตชีวิตคู่ของพวกเขาช่างสว่างไสวเหลือเกิน!

เช้าตรู่วันต่อมา จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ขึ้นรถประจำทางไปยังเมืองมหาวิทยาลัย

……………………………………………