เริ่นเสี่ยวซู่ที่เห็นว่าตนเองทำภารกิจสำเร็จแล้วก็ตะลึงพรึงเพริดไป เดิมทีเขาไม่คิดจะทำภารกิจแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าพระราชวังเพียงอยากให้เขาแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น คำขอบคุณของหวังฟู่กุ้ยอย่าง ‘ฉันก็ขอบคุณบรรพชนเธอไปแปดชั่วโคตร!’ มันฟังดูจริงใจตรงไหน!
ค่าพลังกำลังของเริ่นเสี่ยวซู่ตอนนี้มีอยู่ 6.5 แต้ม ตอนนี้พละกำลังของเขามากกว่าผู้ใหญ่ธรรมดาสองเท่าเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าเป็นแค่การเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของมนุษย์เท่านั้น คนที่ได้รับการฝึกอย่างหนักหน่วงย่อมไม่ถือว่าอยู่ในค่าเฉลี่ยนี้
ทั้งขบวนรถรีบขับออกจากหุบเขาและมุ่งหน้าไปต่อ พวกคนที่หนีไปทางหมาป่าย่อมต้องตกตายภายใต้คมเขี้ยวของพวกมัน แมลงหน้าคนที่ตามมาก็แสดงอาการประหลาดไม่ต่างกัน พวกมันไม่ยอมออกจากหุบเขาแม้แต่องคุลีเดียว พอมาถึงสุดทางของหุบเขา ก็ค่อยๆ ถอยกลับกันไปหมด
หมาป่ากับแมลงหน้าคนราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตสองสปีชีส์ ที่จะไม่ล้ำเขตของกันและกัน มีลักษณะการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นเอกลักษณ์ประการหนึ่ง
พวกหมาป่ามองราชาหมาป่าที่กลับหลังหันและล่าถอยเข้าป่าไป ดูเหมือนว่าพอมันมั่นใจแล้วว่าเหยื่อหนีไปแล้ว ก็จากไปอย่างไม่รีรออะไรทั้งสิ้น
ซุนจวินเจิ้งผู้เป็นคนขับรถ ขับไปพร้อมกับกล่าวไปด้วยว่า “ไม่รู้ว่ารอบนี้พวกเราจะรอดมาได้กี่คน”
“แค่พวกเรารอดมาได้ก็พอแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่ตอบ คนอื่นรอดไม่รอดเขาไม่ได้นำพาเลย
ในความเป็นจริง ในแดนรกร้างมีกลุ่มใหญ่กว่าย่อมดีกว่า เพราะอย่างไรเสีย ยิ่งมีคนมากก็ยิ่งมีกำลังมาก และถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ยังสามารถดูแลกันเองได้อีก
แต่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่ได้เป็นสักขีพยานเห็นพฤติกรรมของทหารและสมาชิกวงดนตรีพวกนี้แล้ว ก็พิสูจน์ได้ว่าคนพวกนี้พึ่งพาไม่ได้เลย นอกจากจะพึ่งพาไม่ได้แล้ว ถ้าเขาไม่ระวังตัวให้ดี เขาก็อาจจะถูกฆ่าเองก็เป็นไปได้
“ดูสิ แถวนี้มีโครงกระดูกเยอะเลย!” จู่ๆ ซุนจวินเจิ้งก็ตะโกนออกมา
ขณะที่รถขับผ่านหุบเขา พวกเขาก็เห็นโครงกระดูกไม่น้อยในลักษณะพิลึกพิลั่นกระจัดกระจายอยู่ทั่ว
“น่าจะเป็นฝีมือของเจ้าพวกแมลงหน้าคน” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงนิ่ง
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่กำลังคิดเรื่องพวกแมลงหน้าคน ณ ตอนนั้นเขาไม่ร้อนรน ขณะกำลังถอยมาที่รถ ก็ลอบสำรวจพวกแมลงหน้าคนไปด้วย
เขาจำได้ว่า ไม่ใช่แมลงทุกตัวที่มีหน้าคนติดอยู่ที่เปลือกข้างหลัง เพราะพวกมันยังโตไม่เต็มที่อย่างนั้นเหรอ หรือว่าต้องกินคนเข้าไปก่อนถึงจะมีหน้าคนปรากฏขึ้นกัน
ในสถานที่ประหลาดเช่นนี้ เริ่นเสี่ยวซู่ได้แต่อนุมานความเป็นไปได้ชวนขวัญผวาขั้นสุด
คิดแล้วกระดูกสันหลังของเริ่นเสี่ยวซู่ก็ชาวาบ ทำไมมันให้ความรู้สึกอย่างกับว่าพอแมลงหน้าคนกินวิญญาณเหยื่อของพวกมันเข้าไปแล้ว วิญญาณของผู้ถูกกลืนกินก็จะไปปรากฏบนเปลือกหลังพวกมันอย่างน่าสยดสยองอย่างไรอย่างนั้น
เดิมทีทั้งขบวนมีรถหกคัน ตอนนี้เหลือเพียงสาม กว่าจะออกจากเขตหุบเขาไปได้ก็ใช้เวลามากกว่าสิบนาที ทันทีที่รถออกจากหุบเขา เริ่นเสี่ยวซู่ หยางเสียวจิ่น และซุนจวินเจิ้งก็เห็นสิ่งที่ทำให้เขาตะลึงไป
เวลานี้ยังยามรัตติกาล หุบเขามืดมิดลี้ลับ แหล่งกำเนิดแสงเดียวที่มีคือมาจากไฟหน้ารถ
แต่นอกหุบเขานั้น เหนือศีรษะมีจันทราแขวนกลางฟ้าราวภาพวาด ชิดใกล้ราวตั้งอยู่เบื้องหน้าพวกเขา อีกทั้งพืชหญ้าที่พื้นเต็มแน่นนัด ตามหมู่แมกไม้เต็มไปด้วยหิ่งห้อย ขุนเขารอบข้างล้อมสวนขนาดมหึมานี้ไว้ ราวกับว่าที่นี่คือแดนสวรรค์ผืนหนึ่ง
พวกเขาค่อยๆ ลงจากรถ พยายามชื่นชมทิวทัศน์ยามราตรีนี้ ซุนจวินเจิ้งอดใจไม่ไหว เดินไปทางป่าด้วยสีหน้ามุ่งหวัง
ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่กลับตบหน้าเขาไปฉาดหนึ่ง “ยังจะอยากเข้าไปในป่าชวนขนลุกอีกเหรอ”
ผู้คนที่อาศัยอยู่ในป้อมปราการล้วนถูก ‘ความงดงาม’ ดึงดูด แต่สำหรับเริ่นเสี่ยวซู่ ความงามในธรรมชาติฉันใด ย่อมเปี่ยมไปด้วยภัยอันตรายฉันนั้น
จะเอาชีวิตให้รอดในแดนรกร้าง พวกเขาต้องเข้าใจไว้ด้วยว่า ยิ่งอสรพิษดูงดงามมากเท่าใด ก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น ยิ่งเห็ดดูสวยสดมากเท่าใด ก็ยิ่งมีพิษร้ายแรงมากเท่านั้น ยิ่งแมงมุมดูสวยงามมากเท่าใด ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น
ดังนั้นแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ย่อมมีความต้านทานต่อสิ่งสวยๆ งามๆ เป็นธรรมดา เขามองว่าความงามในแดนรกร้างก็เท่ากับความอันตรายนั่นแหละ
ทุกคนออกมาจากรถกันหมด เริ่นเสี่ยวซู่สำรวจมอง ก่อนพบว่าสูเสี่ยนฉู่เอาตัวรอดมาได้ ตอนนั้นเขาเป็นคนแรกเลยที่เคลื่อนไหว แต่ที่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ประหลาดใจก็คือ หลิวปู้ก็รอดมาได้ด้วยเฉยเลย
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้หวังจะให้หลิวปู้ตายอะไร แต่แค่สงสัยอยู่หน่อยๆ คนขี้ขลาดตาขาว ที่พอกลัวก็ได้แต่ร้องโหวกเหวกโวยวายแบบเขานั้นเอาตัวรอดมาได้อย่างไร
ลั่วซินอวี่ก็รอดมาได้เช่นกัน เริ่นเสี่ยวซู่จำได้ว่าพอแมลงหน้าคนปรากฏตัว ลั่วซินอวี่ก็ตรงไปอยู่กับสูเสี่ยนฉู่ทันที บางทีอาจจะเป็นเพราะการนำของสูเสี่ยนฉู่ก็ได้ เธอจึงหนีรอดได้สำเร็จ
สูเสี่ยนฉู่ดูสงบนิ่งขณะนับจำนวนคน “พวกเราเหลือสิบเอ็ดคน”
ตอนขามา มีสมาชิกทั้งหมดยี่สิบคน แต่ตอนนี้เหลือเพียงสิบเอ็ดคนเท่านั้น และนี่พวกเขายังไม่ถึงเขาจิ้งซานด้วยซ้ำไป การเดินทางแต่นี้ไป อาจจะต้องเจออันตรายมากกว่านี้อีก ไม่ทราบได้จริงๆ ว่าพอออกจากเขาจิ้งซานไปได้จะเหลือรอดสักกี่คน
“ฉันบอกแล้วว่าพวกเราควรกลับเลย แต่พวกนายก็เอาแต่จะเข้าหุบเขาให้ได้ ผู้มีพลังพิเศษนั่นก็เตือนเราไว้แล้ว ทำไมถึงไม่ฟังกัน” หลิวปู้บ่น
“หุบปาก” ลั่วซินอวี่ว่าเสียงเย็น
หลิวปู้ราวกับเกิดความกล้าขึ้นมาสายหนึ่ง ถึงกับกล้าเยาะเย้ยลั่วซินอวี่ผู้เป็นเจ้านาย “ฉันบอกแล้วว่าอย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงด้วยการออกนอกป้อมเลย ทำไมตอนนั้นไม่ฟังกันบ้าง ตอนนี้พอใจบ้างยังล่ะ”
ลั่วซินอวี่กระฟัดกระเฟียด “ตอนฉันพูดขึ้นมา นายนั่นแหละที่เป็นคนเห็นด้วยแบบเป็นมั่นเป็นเหมาะ!“
“ฉันจะกล้าแย้งเจ้านายได้ไง” หลิวปู้เหน็บแนม
สูเสี่ยนฉู่ขมวดคิ้วมองหลิวปู้ พลางว่า ”พูดตอนนี้ให้มันได้อะไรขึ้นมา คิดอยากกลับไปเจอหน้าฝูงหมาป่าเหรอไง พวกเราก็ถูกบังคับให้เข้าหุบเขามากันหมด ทุกคนรอดมาได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว เลิกทะเลาะกันเองเถอะ เรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเราตอนนี้คือร่วมแรงร่วมใจฟันฝ่าอุปสรรค!”
หลิวปู้และลั่วซินอวี่เงียบไป ตอนนี้กลุ่มแตกคอกันแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าเขาต้องหาวิธีอื่นรับมือกับสถานการณ์ด้วย คำว่า ‘ร่วมแรงร่วมใจ’ มันพูดไปสองไพเบี้ยโดยแท้
พวกเขาขับรถต่อไม่ได้แล้ว ไม่คิดเลยว่าพืชพันธุ์ไม้ของที่นี่นั้นรกชัฏไม่ต่างไปจากป่าฝนกึ่งเขตร้อน ทำให้ไม่สามารถขับรถผ่านได้
“พวกเราพักกันก่อน” สูเสี่ยนฉู่พูดอย่างอิดโรย พวกเขาไม่ได้นอนหลับสนิทกันมาทั้งคืน เจอภัยอันตรายไม่หยุดหย่อน ตอนนี้ทุกคนใกล้จะล้มพับกันหมดแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่นั่งอยู่ห่างออกไปจากตัวป่า แสร้งทำเป็นเหนื่อยอ่อน ตอนนี้ทุกคนไม่เพียงแต่ไม่มีอาหาร เต็นท์หรือผ้าห่มอะไรก็ไม่มีทั้งนั้น
เริ่นเสี่ยวซู่พลันเสียดายที่ตนเองลืมเอาซากหนูมาด้วย พร้อมกับอดสงสัยไม่ได้ว่าพอแมลงหน้าคนกินหนูเข้าไปแล้ว หลังพวกมันจะเป็นแมลงหน้าหนูหรือเปล่า
คิดๆ ดูแบบนั้นก็ไม่เลว ว่าตามตรงถ้ามีโอกาสเขาก็อยากทราบผลลัพธ์
“ร้อยตรีสูคะ” ลั่วซินอวี่มองสูเสี่ยนฉู่ก่อนถาม “ที่ให้คุณเข้าไปในเขาจิ้งซานเป็นภารกิจเกี่ยวกับอะไรกันแน่”
เริ่นเสี่ยวซู่ก็จ้องไปที่สูเสี่ยนฉู่ คำถามนั่นเขาก็อยากถามออกไปไม่ต่างกัน
สูเสี่ยนฉู่ลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ยังไม่พูดออกมาว่าเขารู้อะไรมาบ้าง แต่เริ่นเสี่ยวซู่สังเกตเห็นว่าสูเสี่ยนฉู่มีอะไรบางอย่างคาใจอยู่