ตั้งแต่เริ่มต้น สูเสี่ยนฉู่ก็ไม่คิดเอ่ยปากถึงภารกิจเลย ดูแล้วสมาชิกของคณะดนตรีอย่างหลิวปู้และลั่วซินอวี่ก็ดูไม่รู้อะไรไม่ต่างกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ถามออกไปแบบนี้
เริ่นเสี่ยวซู่ก็สงสัยอยู่ เป้าหมายภารกิจของพวกเขากับการเปลี่ยนแปลงในเขาจิ้งซานนี่มีอะไรเกี่ยวพันกันหรือเปล่า
สูเสี่ยนฉู่โพล่ง “ที่จริงพวกเราก็ไม่ได้คาดไว้ว่าที่นี่จะอันตรายขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่นำกำลังทหารมาแค่สิบสองนาย ที่นี่เกิดอะไรขึ้นบ้างพวกเราเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน”
“พวกเราจะรอดไปจากที่นี่ได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย ทำไมไม่เผยความลับกับเราหน่อยล่ะ” หลิวปู้แทบสติแตกแล้ว เขาอยากรู้มากว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อะไร มีเบาะแสอะไรโผล่มาย่อมต้องคว้าไว้ให้ได้ เขากัดฟันกรอด กล่าวกับสูเสี่ยนฉู่ “พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ถ้าตอนนี้คุณไม่บอกพวกเรา ความลับก็คงถูกฝังไปพร้อมกับพวกเราจริงๆ นั่นแหละ!”
หน้าของหลิวปู้แทบจะไปแนบกับสูเสี่ยนฉู่อยู่แล้ว น้ำลายกระเด็นลอยฟูฟ่อง
สูเสี่ยนฉู่ผลักหลิวปู้ออกไปด้านข้าง “ยังกล้ามาโทษพวกเราอีกเหรอ นายเองเป็นคนเข้าหาพวกเราก่อนไม่ใช่เหรอไง ได้ยินมาว่านายอยากไปป้อมปราการอื่นมานานแล้วนี่ ต่อให้ไม่มีภารกิจนายก็จะออกมาเองอยู่ดีหรือเปล่า อย่าทำมาเป็นไขสือหน่อยเลย ทำอย่างกับว่าพวกเราพานายมาตายอย่างนั้นแหละ!”
เริ่นเสี่ยวซู่ชมดูพวกเขามีปากเสียงกัน ถ้ามีถั่วไว้กินเล่นนี่เหมาะเหม็งเลย ทันใดนั้นเสียงของหยางเสียวจิ่นก็ดังมาจากข้างๆ “ฉันหิว”
เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ ในใจเกิดคำถาม หิวแล้วบอกฉันเพื่อ?
หยางเสียวจิ่นพูดต่อ “มีด”
“อ๋อออ!” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้าทันที “นั่งนี่นะ เดี๋ยวหาอะไรมาให้กินเดี๋ยวนี้แหละ! มีอะไรที่กินไม่ได้หรือเปล่า”
“กินได้หมด” หยางเสียวจิ่นนั่งลงกับพื้นพลางกล่าว ลั่วซินอวี่วางเศษผ้าไว้บนพื้นก่อนจะนั่งลงไป ส่วนหยางเสียวจิ่นไม่ได้ทำอะไรพิเศษ
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่กำลังหดหู่อยู่หน่อยๆ เพราะไม่ได้เอาซากหนูที่อยู่กับตัวตลอดก่อนหน้านี้มาด้วย มือหนึ่งต้องใช้ลากคนขับรถ มือหนึ่งต้องถือมีด เลยไม่สามารถถือร่างหนูไปไหนต่อไหนได้อีก ด้วยเหตุนั้นตอนนี้จึงหาอาหารยากไม่น้อยเลย
แถมป่ารกชัฏข้างหน้าเขายังให้ความรู้สึกแปลกประหลาดเกินไป ในช่วงกลางคืนนี้ไม่สามารถมองเข้าไปได้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง คงต้องรอให้ถึงเช้าก่อน ค่อยสำรวจสังเกตการณ์ตัวป่าก่อนถึงจะกล้าเข้าไป
ผลกลับกลายเป็นว่าเขาดูเงอะๆ งะๆ อยู่กับที่ หยางเสียวจิ่นเห็นเช่นนั้นจึงพูด “ฉันโยนซากหนูไว้ที่ท้ายรถ”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป เขาจำได้รางๆ ว่าท่ามกล่างความวุ่นวาย หยางเสียวจิ่นเหมือนถืออะไรบางอย่างไว้ในมือ ตอนนั้นเขากำลังรีบร้อนเลยไม่ได้ตั้งใจมอง ที่เธอถือไว้ก็คือเจ้าซากหนูยักษ์สินะ
ต้องบอกเลยว่าความพร้อมต่อการรับมือสถานการณ์ต่างๆ ของหยางเสียวจิ่นนี่ช่วยเริ่นเสี่ยวซู่ไว้ได้มากจริงๆ เมื่อก่อนเขามักจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวในแดนรกร้าง ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ ทุกภัยอันตราย ทุกอุปสรรคขวางกั้น ล้วนเป็นเขาฝ่าฟันด้วยตัวคนเดียว
ที่จริงแล้วตอนอยู่เมืองก็เคยมีคนมาชวนให้เริ่นเสี่ยวซู่ออกล่าไปด้วยกันอยู่ แต่เขาก็ตอบปัดไป
ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่เก่งกล้ามากพอ แต่เป็นเพราะว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่อาจเชื่อใจคนพวกนั้นต่างหาก อยู่ในแดนรกร้าง ง่ายมากที่จะใช้กำลังจนหมดสิ้น เขายอมอยู่ร่วมกับสัตว์ป่าดีกว่าอยู่กับมนุษย์
เริ่นเสี่ยวซู่เคยคิดจะฝึกเหยียนลิ่วหยวนมาช่วยแบ่งเบาภาระอันหนักหน่วงนี้ แต่หลังจากคิดไปคิดมา ก็โยนความคิดนั้นทิ้งไป เขาไม่อยากให้เหยียนลิ่วหยวนตกอยู่ในอันตราย
ตอนนี้ เป็นครั้งแรกเลยที่เริ่นเสี่ยวซู่ได้รู้ซึ้งถึงความหมายของการมี ‘คนคอยช่วย’
ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่ก็รีบสลัดความคิดทิ้ง ความสัมพันธ์ตอนนี้ก็แค่เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกันล้วนๆ พวกเขาจับมือกันเป็นพันธมิตรชั่วคราวในแดนรกร้างเพราะเชื่อมั่นในฝีมือและทรัพยากรของอีกฝ่าย พันธมิตรถูกก่อตั้งในความเงียบงัน แต่พวกเขาไม่คิดจะเชื่อใจผู้อื่น มีแต่ตักตวงผลประโยชน์จากเพื่อนร่วมพันธมิตรเท่านั้น
เริ่นเสี่ยวซู่เข้าไปดูที่รถ ก่อนจะเห็นซากหนูตัวเขื่องอยู่ท้ายรถ ตอนนี้แม้ทุกคนจะหิวโหยมาก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นหมดหนทางจนต้องกินหนู ดังนั้นพอทุกคนเห็นเริ่นเสี่ยวซู่หยิบหนูขึ้นมาด้วยคิดจะเอาไปทำอาหาร ก็รู้สึกพะอืดพะอมอยู่บ้าง
ขณะคนอื่นกำลังคุยกันว่าจะเอาอย่างไรต่อ หยางเสียวจิ่นก็เตรียมจะไปหาฟืนมาจุดทำกองไฟ เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวเตือนเธอเสียงค่อย “ขาออกมาจากป่า ให้หันหน้าไปทางป่าแล้วถอยหลังมานะ”
หยางเสียวจิ่นเลิกคิ้ว “ทำไม”
“เพราะว่าพวกแมวยักษ์มักจะลอบจู่โจมจากข้างหลังตามสัญชาตญาณ ฉันคิดว่าเรื่องนี้แม้แต่พวกมันเองก็ต้านทานสัญชาตญาณตัวเองไม่ไหวหรอก มันเป็นนิสัยของแมวน่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่อธิบาย “ปกติแล้วในแดนรกร้างมีแมวป่าอยู่ไม่น้อยเลย คุณจางเคยบอกว่าแมวป่าพวกนี้น่าจะสืบพันธุ์มาจากแมวบ้านในยุคก่อนภัยพิบัติ แต่พอไม่มีเจ้านาย พวกมันก็ได้แต่เข้าไปอาศัยอยู่ในป่า และเพราะอาศัยอยู่ในแดนรกร้าง ในท้ายที่สุดก็มีลักษณะนิสัยดุร้ายไป แถมพวกแมวป่ายังตัวใหญ่และมีอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย”
“พวกมันน่ากลัวขนาดนั้นเลย?” หยางเสียวจิ่นถาม
“ใช่ น่ากลัวมาก แต่แค่เอาหน้าหันเผชิญมัน พวกมันก็จะไม่โจมตีใส่เธอ ดังนั้นอย่าได้หันหลังให้ป่าเด็ดขาด ไม่มีใครรู้ว่าตัวอะไรซ่อนอยู่ในนั้นบ้าง” เริ่นเสี่ยวซู่เอ่ย
เริ่นเสี่ยวซู่อธิบายให้เธอฟังอีกหลายอย่าง เขาคิดจะรักษาความสัมพันธ์ฉันพันธมิตรระยะสั้นนี้ไว้ให้อยู่นานขึ้นไปอีกหน่อยเพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสเอาชีวิตรอดให้ตัวเองไปในตัว
เริ่นเสี่ยวซู่ใช้มีดชำแหละร่างหนู ตามจริงแผนเดิมของเขาคือจะใช้เนื้อหนูล่อตะขาบมา เทียบกับเนื้อหนูแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าตะขาบย่างน่าจะอร่อยกว่า
แต่ว่าตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่น หลังจากเจอแมลงหน้าคน เริ่นเสี่ยวซู่กลัวว่าตัวเองจะล่อตัวอะไรบางอย่างที่ชวนขวัญผวากว่ามาแทน…
เขาผ่าน่องหนาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของหนูอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ส่งให้หยางเสียวจิ่นไปย่าง ไม่ถึงสิบนาที กลิ่นหอมของเนื้อย่างก็ลอยฟุ้งไปหลายสิบเมตร
นอกจากนี้ หลิวปู้กับคนอื่นๆ กำลังถกกันอย่างเดือดพล่าน แต่พอกลิ่นหอมของเนื้อลอยมา พวกเขาก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ เรื่องที่กำลังคุยกันอยู่พลันถูกกลืนหายไปในบัดดล
ทุกคนหันมามองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างเงียบงัน ทว่าพวกเขาก็เห็นเริ่นเสี่ยวซู่โยนซากหนูที่เหลือเข้าป่าไปด้วยการปาครั้งเดียว ตอนนี้พละกำลังของเริ่นเสี่ยวซู่มีมากมายมหาศาล ปาไปเบาๆ เนื้อก็หายวับไป
หลิวปู้พูดอย่างกระวนกระวาย “โยนเนื้อทิ้งไปทำไมน่ะ”
“ก็พวกนายไม่กิน จะเก็บไว้ล่อให้สัตว์ป่าเข้ามาทำเพื่อ” เริ่นเสี่ยวซู่มองขวางพวกเขา “ถ้าอยากกินก็ไปหยิบมาเอง”
หลิวปู้นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะแค่นเสียงพูด “ฉันไม่กินของน่าขยะแขยงแบบนี้หรอก”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เป็นเพราะว่าพวกนายยังไม่เคยกินของที่น่าขยะแขยงกว่านี้ต่างหาก…”
เอ๊ะ ไม่สิ คนพวกนี้น่าจะเคยกินของน่าขยะแขยงกว่านี้มาก่อนแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่อดคิดไม่ได้ว่า คนพวกนี้ขนาดรังนก[1]ยังเคยกินมาแล้ว แค่เนื้อหนูจะกลัวอะไร
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินมาจากคุณจางว่าพวกชนชั้นสูงในป้อมปราการหลายคนต่างชอบกินรังนก เขาละสงสัยจริงว่านกนางแอ่นไปเอาเสมหะมากมายมาจากไหน หรือว่าเจ้านกพวกนั้นกำลังทนทุกข์ทรมานจากวัณโรคอยู่กันนะ สุภาษิตที่ว่า ‘นกอีเสือแลนางแอ่นบินแยกทาง[2]’ มีที่มาแบบนี้เองสินะ
แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรพวกเขามาก เนื้อหนูชิ้นอวบอ้วนที่ลอกหนังเรียบร้อยค่อยๆ โดนย่างจนกลายเป็นน้ำตาลอ่อน พวกหลิวปู้หันกลับไปคุยกัน แต่ก็อดกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ ไม่ได้
ทั้งคืนที่ผ่านมาทุกคนวุ่นวายกันยกใหญ่ เพราะหวาดกลัวมากจึงไม่รู้สึกหิว ทว่าช่วงดึกต้องวิ่งหนีสุดชีวิต พละกำลังสูญเสียแทบหมดสิ้น ท้องจึงร้องเสียงโครกคราก
มีคนคิดจะลุกไปหยิบซากหนูที่เหลือในป่าด้วยซ้ำ แต่ประเด็นคือว่า เริ่นเสี่ยวซู่โยนไกลเกินไปแล้ว!
……………….
[1] รังนกทำมาจากน้ำลายของนกนางแอ่น
[2] **นกอีเสือแลนางแอ่นบินแยกทาง (劳燕纷飞)**หมายถึงคู่รักที่ต้องแยกจากกัน นกอีเสือ (劳) กับ อักษร痨 ใน วัณโรค (肺痨) ออกเสียงเหมือนกันว่า หลาว