เริ่นเสี่ยวซู่ตวัดมือวูบเดียวก็โยนเนื้อที่เหลือไปไกล ราวกับว่าเขาไม่คิดจะแบ่งเนื้อให้ใครแต่แรก แล้วก็ไม่คิดว่าโยนทิ้งไปเป็นการเสียเปล่าด้วย

หลิวปู้คิด ถึงไม่อยากให้คนอื่น แต่เก็บไว้กินพรุ่งนี้ก็ได้ไหม

แต่เริ่นเสี่ยวซู่คิดต่างออกไป พรุ่งนี้เขายอมออกไปหาอาหารอีกรอบดีกว่า หรือต่อต้องให้ทนหิวก็ยอม ดีกว่าปล่อยให้กลิ่นคาวโลหิตตัวตัวเขาแบบนี้

ตอนนี้หยางเสียวจิ่นกำลังมองเนื้อหนูย่างอย่างเงียบๆ ในมือมีกระปุกเกลือ มองเธอแบบนี้ ก็จินตนาการภาพยอดนักแม่นปืนที่จู่ๆ ก็หันปืนใส่คนอื่นไม่ได้เลย

เอ๊ะ? เริ่นเสี่ยวซู่จำได้ว่าก่อนหน้านี้พระราชวังให้รางวัลเขาเป็นคัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐาน ตอนที่บรรลุภารกิจปฏิเสธไม่ไปเขาจิ้งซาน คัมภีร์ม้วนนั้นยังไม่ได้ใช้เลย!

ในเมืองเขาหาเป้าหมายมาคัดลอกทักษะไม่ได้เลย ไม่ใช่ว่าตอนนี้ข้างกายเขามีเป้าหมายที่จะแอบเรียนทักษะตอนไหนก็ได้หรอกเหรอ

ถึงอย่างนั้นคัมภีร์ที่เขามีก็เป็นแค่ขั้นพื้นฐาน มันไม่สามารถใช้ในเพิ่มระดับทักษะการใช้ปืนของเขาได้ แต่ว่าคนอย่างหยางเสียวจิ่นน่าจะมีทักษะดีๆ อื่นๆ สินะ?

คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานดูจะได้มาอย่างไม่ยากเย็นอะไร เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าคงจะได้เรียนทักษะช่วยชีวิตจากหยางเสียวจิ่นอีกไม่น้อยเลย

เริ่นเสี่ยวซู่ถามพระราชวังในห้วงจิต ‘บอกรายชื่อทักษะที่หยางเสียวจิ่นมีให้หน่อยได้ไหม’

เขาอยากรู้ว่าหยางเสียวจิ่นมีทักษะอะไรบ้าง จะได้ตัดสินใจได้ถูก

[ไม่มีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล] เสียงนิ่งดังตอบมาจากพระราชวัง

“เอ๋ ไม่ใช่ว่าฉันเคยเรียนทักษะจากเธอมาแล้วเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ถามอย่างประหลาดใจ

[ไม่มีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล] เสียงนิ่งดังตอบมาจากพระราชวังอีกรอบ

เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง ก่อนจะเรียบเรียงคำถามใหม่ “ทักษะต่อสู้ของเธออยู่ระดับไหน”

[ระดับสูง] พระราชวังกล่าว

เริ่นเสี่ยวซู่เข้าใจแล้วว่าเขาได้แต่ถามชี้นำพระราชวังเป็นทักษะๆ ไป พระราชวังจะตอบเขาก็ต่อเมื่อถามคำถามชี้เฉพาะ อย่างเช่นว่าเป้าหมายทักษะต่อสู้ มีทักษะทางการแพทย์ บลาๆ หรือเปล่าเป็นต้น

แต่ถ้าเขาอยากให้พระราชไล่รายชื่อทักษะที่เป้าหมายมี พระราชวังก็จะเมินคำถามไปเสียฉิบ ดังนั้นจึงได้แต่คาดเดาไปเรื่อย

“งั้นทักษะการต่อสู้ของฉันอยู่ระดับไหน” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม

[ระดับกลาง] เสียงจากพระราชวังดังมา

ทักษะการต่อสู้ที่เขามี เป็นประสบการณ์การต่อสู้กับผู้อื่นอย่างดุร้ายมาหลายปีดีดัก ไม่ใช่เป็นทักษะได้รับการสืบทอดมาตามตำรา สำหรับเขาแล้ว รู้เพียงว่าจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามตรงไหนเหมาะโจมตีให้ถึงตายก็เท่านั้น ถ้าเทียบกับหยางเสียวจิ่นแล้ว วิชาการต่อสู้ที่เขามี ไม่ได้ ‘ตามหลักการ’ หรือ ‘มีรากฐาน’ อันใด เขาเพียงแต่ต่อสู้ตามสัญชาตญาณ

ด้วยเหตุนี้ หยางเสียวจิ่นจึงอยู่ระดับสูง ส่วนเขาอยู่ระดับกลาง

แต่ถ้าเขากับเธอได้ลงมือต่อสู้กันจริงๆ อย่างไรก็ต้องดูความสามารถทางกายภาพด้วย ถ้าความแข็งแกร่งและความคล่องแคล่วของเธอไม่ดีเท่ากับเริ่นเสี่ยวซู่ หรือว่าความแตกต่างมันมากเกินไป ต่อให้มีทักษะต่อสู้มากกว่าเขาไปก็เท่านั้น

เริ่นเสี่ยวซู่พินิศมองหยางเสียวจิ่น ก่อนจะเห็นว่าเธอไม่ได้ดูมีกล้ามเนื้ออะไร เธอคงไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าเขาหรอกใช่ไหมนะ

เริ่นเสี่ยวซู่อยากได้ทักษะการต่อสู้ระดับสูงมาก เพราะเขาเข้าใจดีว่าทักษะนี้สำคัญขนาดไหน

ถ้ามีความชำนาญทักษะการต่อสู้ระดับสูง ไม่เพียงว่ามันสามารถทำให้เขามั่นใจในการกำราบคู่ต่อสู้ได้แล้ว ในอนาคตถ้าเกิดเขาเจอคนที่มีทักษะการต่อสู้ระดับปรมาจารย์ละก็ ตนก็สามารถใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นปรมาจารย์ใส่เขาได้ ต้องครอบครองทักษะระดับสูง จึงจะเป็นกุญแจสำคัญนำไปสู่การใช้การคัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นปรมาจารย์

ถ้าไม่มีกุญแจนี้ ต่อให้เป้าหมายมีทักษะระดับปรมาจารย์ เขาก็ไม่สามารถเรียนรู้ได้อยู่ดี

“ใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานโลด!” เริ่นเสี่ยวซู่พูดกับพระราชวังในห้วงจิตเสร็จก็เฝ้ารออย่างเงียบงัน ในใจอธิษฐานยกใหญ่ ขอให้เป็นทักษะการต่อสู้ระดับสูง! ขอให้เป็นทักษะการต่อสู้ระดับสูง!

วินาทีต่อมา เสียงจากในพระราชวังก็ดังขึ้น [สุ่มได้รับทักษะกระโดดเชือกขั้นสูงจากเป้าหมาย ต้องการเรียนรู้เลยหรือไม่]

เริ่นเสี่ยวซู่ “???”

เริ่นเสี่ยวซู่มองหยางเสียวจิ่นด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงดีๆ ที่มีทักษะการใช้ปืนระดับไร้ที่ติ จะมีทักษะพวกกระโดดเชือกด้วย…

กระโดดเชือกกะผีสิ! เขาจะคัดลอกทักษะแบบนั้นไปทำพระแสงอะไร!

หยางเสียวจิ่นราวสัมผัสได้ถึงสายตาของเริ่นเสี่ยวซู่ จึงค่อยๆ หันมาหาเขา พลางว่า “เนื้อหนูจะย่างเสร็จตอนไหน”

เริ่นเสี่ยวซู่หัวร้อนจนระเบิดแล้ว ย่างเสร็จตอนไหน อั๊วไม่สนใจไข่หมาอะไรหรอกโว้ย ไอ้คัมภีร์คัดลอกทักษะนั่นขอแบบให้มันได้เรื่องได้ราวกว่านี้หน่อยเซ้ ไอ้ทักษะขี้โม้โอ้อวดหลอกลวงอะไรนั่นก็ช่างมันเหอะ แต่นี่จะเอาทักษะไร้สาระอย่างกระโดดเชือกมาให้เขาอีกเนี่ยนะ แล้วก็นะ ทำไมความสามารถแบบนี้มีระดับทักษะด้วยวะ!

ทักษะกระโดดเชือกขั้นสูงทำอะไรได้บ้างหนอ หรือว่าจะสามารถกระโดดเชือก ตีลังกากลับหลังไปได้ด้วย!

เริ่นเสี่ยวซู่พูดด้วยสีหน้าอึมครึม “กินของในแดนรกร้าง ต้องย่างให้นานกว่าหน่อย พวกน้ำก็เหมือนกัน ต้องต้มให้นานกว่าสิบนาทีถึงเอามาดื่มได้”

จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นหยางเสียวจิ่นยกแขนขึ้น เผยให้เห็นนาฬิกาที่ข้อมือเธอ เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งงันไปพักหนึ่ง เขาเคยเห็นนาฬิกาข้อมือมาก่อน และก็รู้ด้วยว่าต้องเป็นคนสำคัญในป้อมปราการเท่านั้นถึงจะมีมัน

เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “กินของจากแดนรกร้างแบบนี้ ไม่กลัวเหรอว่าจะป่วยน่ะ”

หยางเสียวจิ่นพูดเสียงสงบนิ่ง “ต้องมีชีวิตก่อนถึงจะป่วยได้”

จากนั้นเธอก็หยิบกระปุกเกลือเล็กจ้อยออกมาโรยใส่เนื้อหนู ที่ข้างๆ กัน หลิวปู้กับคนที่เหลือต่างมองตามน้ำลายไหลย้อย

ตอนคุยกันก่อนหน้า ทุกคนไม่ได้หิวอะไรกันเป็นพิเศษ แต่พอว่ากลิ่นหอมของอาหารลอยพัดใส่พวกเขา พวกหลิวปู้ก็รู้สึกราวกับว่าในกระเพาะมีสุญญากาศอยู่อย่างไรอย่างนั้น หิวท้องกิ่ว!

“มีใครมีของกินบ้างไหม” สูเสี่ยนฉู่ถาม

“ไม่มีเลย” ทุกคนส่ายหน้า

เริ่นเสี่ยวซู่ที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกขบขันนัก เขาเห็นเต็มสองตาว่าบางคนมีอาหารอยู่กับตัว แต่พวกที่มีต่างพร้อมใจกันปฏิเสธ

ดูเหมือนว่าทุกคนต่างจะรู้กันดี อาหารที่เก็บซ่อนไว้นั้นสามารถช่วยชีวิตของตนได้!

ของช่วยชีวิตแบบนั้น จะเอาไปแบ่งคนอื่นได้อย่างไร

และเริ่นเสี่ยวซู่ก็ยังสังเกตเห็นอีกว่า ทหารจากกองกำลังส่วนตัวหลายนายไม่ได้มีปืนติดตัวแล้ว พวกเขาโยนของที่สามารถช่วยปกป้องตัวเองตอนอยู่ในช่วงสับสนอลหม่านออกไปเฉยเลย คิดเผื่อว่ามันจะทำวิ่งได้เร็วขึ้นอย่างนั้นหรอกเหรอ

โง่ชะมัดยาด

ดาราของป้อมปราการอย่างลั่วซินอวี่ว่าอย่างไม่พอใจ “ไม่มีอาหารพวกเราจะรอดได้ยังไง ทำไมถึงไม่มีใครเอาอาหารมาเลยล่ะ”

มีทหารนายหนึ่งแค่นเสียงใส่เธอ “แล้วทำไมเธอไม่เอามาล่ะ”

ลั่วซินอวี่ถอยหลังตามสัญชาตญาณ เธอพบว่าในหมู่ผู้ชาย ในดวงตาพวกเขาบางคน มีความมุ่งร้ายขมุกขมัวสายหนึ่งอยู่

ในฐานะที่เป็นดาราในป้อมปราการ ลั่วซินอวี่ไม่เพียงมีรูปลักษณ์งดงาม รูปร่างก็ดีเลิศไม่ต่างกัน ช่วงหน้าร้อน เธอชอบใส่กระโปรงสั้นเผยต้นขาตลอด

คนในป้อมปราการทำได้เพียงแต่มองจากไกลๆ ไม่อาจทำอะไรได้เพราะที่นั่นยังมีอารยะอยู่

ทว่าตอนนี้เธออยู่ในแดนรกร้าง พวกเขาหลายคนตกอยู่ในความสิ้นหวังสายหนึ่ง สงสัยในตัวเองว่าจะสามารถรอดพ้นไปจากที่นี่ได้หรือไม่

ด้วยสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ความชั่วร้ายในใจเริ่มขยับขยายใหญ่ขึ้น

ไร้ซึ่งธรรมเนียม ไร้ซึ่งกฎหมาย ไร้ซึ่งคุณธรรม…ที่นี่จะเกิดอะไรขึ้นบ้างย่อมไม่มีใครทราบได้

ลั่วซินอวี่ถอยเข้าไปใกล้เริ่นเสี่ยวซู่ตามจิตใจสำนึกบอก เธอไม่คิดเลยว่าตัวเองจะยอมเชื่อใจในตัว ‘ผู้อพยพ’ ที่ดูเหมือนกับสัตว์ป่าที่สุด แทนที่จะเป็นสมาชิกกลุ่มของตนเอง