ตอนที่ 69 กลัวจะพบเขา

อันโหรวถือสมุดบันทึกไว้ในมือของเธอแน่นหนา ดวงตาของเธอไม่เพียงแต่ตอนนี้ขุ่นเคือง ตอนนี้ยังแฝงไปด้วยความไม่พอใจ

หลังจากปรับอารมณ์ได้แล้ว ในที่สุดเธอก็ล็อกไดอารี่ของตนไว้ในตู้เซฟอย่างปลอดภัย ก่อนจะนอนลงบนเตียงและหลับตาลง

กลางคืนค่อยๆมืดลงมากเรื่อยๆ บางสิ่งบางอย่างค่อยๆเปลี่ยนไปอย่าเงีงยบๆ มีเพียงแต่ความหมกมุ่นและความเกลียดชังที่จะไม่เปลี่ยนไป

เช้าวันถัดไป

อันโหรวลุกขึ้นจากที่นอนแต่เช้าตรู่ ก่อนจะเตรียมทำอาหารด้วยความรัก หลินจือเซี๋ยวเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบเห็นฉากในครัว เธอยังคงขยี้ตาก่อนจะอ้าปากค้างที่เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อในสายตาของตน

อันที่จริงไม่ใช่ว่าปฏิกิริยาของเธอนั้นจะดูโอเว่อร์ แต่เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรโหรวโหรวนั้นเธอไม่เคยเห็นเธอลุกขึ้นมาทำอาหารแต่เช้าให้พวกเขาเลย ส่วนมากปกติก็จะซื้อข้างหน้ากลับมาให้ทั้งสิ้น

ตั้งแต่ตอนไหนกันที่จู่ๆเปลี่ยนเป็นแม่บ้านที่ดีเช่นนี้ได้?

“อาหารเช้าพร้อมแล้ว เธอรีบมากินหน่อยสิ ฉันต้องไปปลุกหยางหยางกับหน่วนหน่วนนะ” อันโหรวลุกขึ้นก่อนจะทำท่าไม่สนใจเพื่อนรักของตนที่ตอนนี้ทำปฏิกิริยาตกใจ ก่อนจะเดินไปยังห้องของเด็กๆด้วยรอยยิ้ม

อาหารเช้าที่ดูเรียบง่ายและนุ่มนวล แฝงไปด้วยอาหารจีนแบบตะวันตก อาหารแบบตะวันตกยามเช้านั้นเพื่อเตรียมไว้ให้หยางหยางและหน่วนหน่วนโดยเฉพาะ

หลินจื่อเซี๋ยวแน่นิ่งไปสักพัก และเริ่มทำใจสงบลง ก่อนจะเริ่มกินอาหารเช้าที่เต็มไปด้วยความสุขเช่นนี้

อันโหรวไปที่ห้องของเด็กๆก่อนจะปลุกพวกเขาให้ตื่นขึ้นมา “หยางหยางหน่วนหน่วน ตื่นได้แล้วลูก ลุกขึ้นมากินข้าวเช้ากันเถอะ”

อันหยางเมื่อได้ยินเสียงปลุก เขาก็ตื่นขึ้นด้วยอารมณ์ที่แจ่มใส ก่อนจะอ้าปากและพูดว่า “แม่จ๋า เมื่อคืนหยางหยางจะรอแม่กลับมา แต่ก็หลับไปก่อน”

อันโหรวจูบไปที่แก้มของลูกเธอ ก่อนจะเอ่ยขอโทษไปว่า “แม่จ๋าผิดเอง แม่จ๋าเมื่อคืนทำงานล่วงเวลา หลังจากนี้ถ้าแม่จ๋ากลับดึกละก็หยางหยางไม่ต้องรอแม่จ๋านะ”

อันหยางเม้มปากเล็กน้อยลง ไม่ได้ตอบกลับอะไรไป เขาเป็นผู้ชายคนเดียวในครอบครัวตอนนี้ แน่นอนว่าต้องมีภาระหน้าที่สำหรับการปกป้องแม่และน้องสาวของตน ไม่ช้าเจ้าตัวเล็กก็ลุกขึ้นจากเตียง และรีบวิ่งไปอ่างล้างหน้าทำความสะอาดตัวเองเช่นแปรงฟันและล้างหน้าล้างตา

อันหน่วนดิ้นไปมาอยู่บนเตียง ก่อนจะมุดหัวเล็กๆขึ้นมาจากผ้านวมลูกไม้สีชมพู ก่อนจะบ่นพึมพำอย่างงัวเงีย “แม่จ๋า….” ปากพูดไป ตัวก็อ้าแขนกว้างๆไปหาตัวอันโหรว

“หน่วนหน่วน ตื่นได้แล้ว”อันโหรวได้ยินเสียงลูกสาวของเธอก็รู้ได้เลยว่าลูกของตัวเองจะหลับต่อ ก่อนจะรีบอุ้มลูกสาวของตนให้ลุกขึ้นจากผ้าห่ม

อันหน่วนยื่นมือออกไปก่อนจะขยี้ตาที่กำลังหลับใหลอยู่ ก่อนจะเอาหัวน้อยๆของเธอผิงไปบนไหล่ของอันโหรว ดวงตาของเธอนั้นเผยความงัวเงียและหลับไปนิดหน่อย

อันโหรวอุ้มลูกสาวของเธอไปที่อ่างล้างหน้า และวางเธอไว้ตรงหน้าก่อนจะพยุงร่างเล็กๆของเธออย่างระวัง “หน่วนหน่วน ถ้าหนูไม่เชื่อฟังอีกละก็ วันนี้แม่จ๋าจะพาพี่ชายออกไปคนเดียวนะ”

การยั่วยุเช่นนี้ ส่งผลให้อันหน่วนรู้สึกสะดุ้งขึ้นโดยทันที ก่อนที่จะกระพริบตาอย่างแจ่มชัด โบกมือเล็กๆที่ดูนุ่มนวล อย่างตื่นเต้น “แม่จ๋า วันนี้แม่จะพาหนูกับพี่ออกไปเที่ยวเหรอค่ะ”

“ไม่ใช่ออกไปเที่ยวจ้ะ แม่จ๋าจะพาหนูไปโรงเรียนอนุบาลต่างหากล่ะ หน่วนหน่วนรีบล้างหน้าแปลงฟันก่อนเร็วเดี๋ยวพวกเราจะได้ออกไปไวๆหน่อย” อันโหรวบีบจมูกเล็กๆของลูกสาวเธอก่อนจะลูบไปที่หน้าตาของอันหน่วนเล็กน้อยให้ตื่นขึ้น

วันนี้เธอตื่นเช้ามาก จนอยากจะพาหยางหยางกับหน่วนหน่วนไปโรงเรียนอนุบาล หลายวันก่อนเธอได้สอบถามเกี่ยวกับโรงเรียนอนุบาลเอกชนแห่งหนึ่งมาซักพัก ก่อนจะได้รับคำตอบที่ว่าที่แห่งนี้มีการศึกษาที่ดี สอนอยู่ในระดับสูง สภาพแวดล้อมเองก็ไม่เลว

โรงเรียนอนุบาลเอกชนแม้ว่าจะสภาพไม่ค่อยดีเท่าโรงเรียนของรัฐ เพียงแต่ว่าไม่มีทางเลือก เพราะเกณฑ์การเข้าโรงเรียนอนุบาลของรัฐอยู่สูงจนเกินไป และยากที่หยางหยางกับหน่วนหน่วนจะเข้าไปได้

เมื่อจัดการทำธุระเสร็จสิ้น อันโหรวก็พาเด็กๆทั้งสองไปกินข้าวเช้า หลินจือเซี๋ยวกินเกือบจะเสร็จแล้ว เธอก็เงยหน้าขึ้นไปมองอันโหรว จากนั้นก็มองไปที่นาฬิกาที่แขวนบนผนัง

“หน่วนหน่วน หนูรีบกินหน่อย เวลามีไม่เยอะแล้ว” บริษัทสกุลจิ่งไม่ชอบให้พนักงานมาสายเท่าไหร่นัก มีเวลาเลทได้มากสุดสี่สิบนาทีก่อนเข้างานนั้นก็มากจนเกินพอแล้ว

อันโหรวไม่ค่อยรีบร้อนอะไร ก่อนจะค่อยๆให้ลูกนั่งไปที่เก้าอี้ และแกล้งพูดอย่างสบายใจไปว่า “จือเซี๋ยว วันนี้ฉันจะพาหยางหยางกับหน่วนหน่วนไปโรงเรียนอนุบาลนะ เธอช่วยฉันลาทีละกัน”

คงมีแต่สวรรค์ละมั้งที่จะรับรู้ว่าตัวเธอนั้นพยายามหลีกเลี่ยงการเจอหน้าจิ่งเป่ยเฉิน

หลินจือเซี๋ยวรู้สึกงงงวยเล็กน้อย ก่อนจะรู้ว่าเธอนั้นมีอะไรแปลกๆไป แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากความในยามนี้

“งั้นฉันจะไปทำงานก่อนนะ”

พูดจบ เธอก็หันตัวและรีบไปหยิบกระเป๋า ก่อนจะจุ้บที่อันหน่วน และมองไปนัยน์ตาที่เย็นชาของอันหยาง ก่อนจะลดปากลงและเดินไปที่ประตูเพื่อเปลี่ยนรองเท้า

“น้าจือเซี๋ยวบะบาย” อันหน่วนยิ้มขึ้น หลินจือเซี๋ยวเองก็โบกมือลาตอบ

…………..

ตอนที่ 70 เรื่องพวกนี้ก็ควรต้องปล่อยวางเสียบ้าง

หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จ อันโหรวก็พาหยางหยางและอันหน่วนแต่งตัวให้เรียบร้อย นี่เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่แต่งตัวดี อย่างน้อยก็ต้องสร้างประทับใจที่ดีให้กับอาจารย์เสียก่อน

ครั้งนี้ เธอไม่ได้ให้ลูกชายของเธอใส่แว่นกันแดด ตัวเธอเองก็ไม่ได้แต่งหน้าที่ดูน่าเกลียดขี้ริ้วขี้เหล่ เธอเอาหมวกลูกไม้ไปให้หน่วนหน่วนใส่ หนึ่งใหญ่สองตัวเล็กกำลังก้าวออกจากประตูแล้ว

เพียงแต่ว่าเธอเองก็เตรียมแว่นตากันแดดใส่ลงไปในกระเป๋าของเธอเพื่อป้องกันเอาไว้

โรงเรียนอนุบาลสายรุ้ง

อันโหรวในตอนนี้กำลังยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาล ที่นี้คือย่านใจกลางเมืองที่ดูคึกคักมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามามากมาย แต่ทว่าโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้กลับเป็นพื้นที่ที่โดดเดี่ยวมีคนผ่านไปมาน้อยมาก

“แม่จ๋า ที่นี่น่ะเหรอโรงเรียนอนุบาลเหรอ?” อันหน่วนถามอย่างไม่เข้าใจ เธอไม่เคยเห็นโรงเรียนอนุบาลมาก่อน เคยได้ยินแต่ที่พี่ชายพูดขึ้นมาเท่านั้น

พี่ชายเคยให้เธออ่านหนังสือสมุดภาพมาก่อน ตอนนั้นเธอยังเด็กอยู่มากแม้ว่าจะเห็นเด็กหลายคนค่อนข้างชื่นชอบ แต่ทำไมที่นี่เหมือนจะไม่เป็นแบบนั้นเลยล่ะ

อันหยางเองก็หน้าบึ้งเช่นเดียวกัน ในโรงเรียนอนุบาลตามหนังสือ มันไม่ได้เป็นแบบนี้นี่หน่า

อันโหรวรู้ดีว่าเด็กทั้งสองคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะที่จมูกลูกสาวของเธอและพูดขึ้น “หน่วนหน่วนมันไม่ใช่แบบที่ลูกคิดหรอก ทำไมหรือคิดว่าที่นี้ไม่เหมือนกับสิ่งที่พี่ชายเคยพูดไว้งั้นเหรอค่ะ”

“อืม พี่ชายบอกหนูว่าโรงเรียนอนุบาลนั้นมีคนน่ารักมากมายเหมือนกับหน่วนหน่วนเลย และก็มีผู้ชายหล่อๆเหมือนพี่หนูด้วย”

อันโหรวจะยิ้มก็ยิ้มไม่ออกจะหัวเราะก็หัวเราะไม่ได้ ก่อนจะมองไปยังลูกชายของเธออีกครั้ง และยิ้มออกมา : “โรงเรียนอนุบาลน่ะมีเด็กอยู่หลายคนก็จริงนะ แต่นี่น่ะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เด็กๆคนอื่นก็ต้องอยู่บ้านกัน พรุ่งนี้ถ้าหนูมา เดี๋ยวหนูก็ได้เห็นพวกเขาเอง”

เมื่อคิดว่าจะมีเพื่อนเด็กๆเยอะและจะมาเล่นกับเธอ อันหน่วนก็รู้สึกมีความสุขเข้าทันควัน แต่ในทางกลับกันอันหยางนั้นใจเย็นเป็นพิเศษและพูดตรงๆไปว่า “แม่จ๋า แม่อย่าพูดคำใหญ่โต ผมรู้ผมกับหน่วนหน่วนนั้นยากที่จะเข้าโรงเรียนอนุบาลได้”

อันโหรวก่ายหน้าผากอย่างช่วยไม่ได้ ลูกชายของเธอนั้นจะฉลาดเกินไปแล้ว ฉลาดเสียจนตัวแม่เองรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทันที

ไม่ช้าก็พาลูกๆทั้งสองเข้าไปข้างใน การตกแต่งภายในสถานที่แห่งนี้นับได้ว่าดีมาก ผนังส่วนใหญ่ก็ทาโทนสีฟ้าเอาไว้ มันดูทั้งสว่างตาและก็ดูอบอุ่นในเวลาเดียวกัน

อันหน่วนเมื่อเห็นสายรุ้งที่อยู่บนผนัง ดวงตาของเธอก็พลันเป็นประกายและพูดขึ้น “แม่จ๋า สายรุ้งอันนี้สวยจังเลย หน่วนหน่วนชอบมันจังค่ะ”

ดวงตาของอันโหรวจับจ้องไปที่ลูกสาวของตน ที่ตอนนี้กำลังมองสายรุ้งอยู่ตรงกลางผนังห้อง สีของสายรุ้งนั้นก็พิเศษสมจริงมากนัก ใต้สายรุ้งมีเด็กคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ เมื่อหันไปมองข้างบนก็เปรียบดั่งรอยยิ้มที่เงยหน้ามองท้องฟ้า

การวาดภาพแบบนี้ช่างสอดคล้องกับชื่อของโรงเรียน โรงเรียนอนุบาลสายรุ้งมากนัก มันมีความหมายแฝงนัยๆไปว่าจะมอบความหวังและความงดงามและอนาคตที่ดีของเด็กๆ

ซึ่งมันมองดูแล้วช่างรู้สึกว่าไม่เลวจริงๆ

ขณะที่อันโหรวกำลังรู้สึกพึงพอใจอยู่นั้น ก็มีหญิงคนนึงกำลังเดินออกมา จากความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือนของเธอนั้น ก็รู้ได้ว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะชื่อห่าวเหล่ยที่เป็นอำนวยการของโรงเรียนอนุบาล

“สวัสดีค่ะ ฉันคือผู้อำนวยการห่าวเหล่ยของโรงเรียนอนุบาลสายรุ้งค่ะ” ห่าวเหล่ยตอนนี้มีอายุได้ห้าสิบปีแล้ว หน้าตาดูแล้วจิตใจดีมาก ทั้งยังยื่นมือไปจับกับอันโหรวอีก

“ผู้อำนวยการห่าวเหล่ยสวัสดีค่ะ ดิฉันชื่ออัน….อีหานค่ะ” อันโหรวเกือบจะพูดจริงของเธอไป แต่หลังจากที่คิดได้สักพักเธอก็เปลี่ยนคำพูดโดยทันทีและชี้ไปยังลูกชายและลูกสาวของตนก่อนจะแนะนำไปว่า “นี่คืออันหยางเป็นลูกชายของฉัน ส่วนอันหน่วนเป็นลูกสาวของฉันค่ะ เด็กทั้งสองคนอายุห้าขวบเท่ากัน และที่ฉันมาที่โรงเรียนของคุณ อนึ่งเนื่องจากชื่นชมในด้านชื่อเสียงเลยอยากคิดจะฝากลูกๆของฉันไว้ที่นี่ค่ะ”

ห่าวเหล่ยสวมชุดสีม่วง การแต่งหน้าดูละเอียดละอ่อนซึ่งนั้นทำให้เธอไม่อาจซ่อนรอยตีนกาไว้บนมุมดวงตาของเธอได้ เธอมองไปที่เด็กทั้งสองคนก่อนจะประเมินคิดอยู่ในใจของตน

อันหยางยื่นมือไปที่หน้าของท้องของเขา ก่อนจะก้มตัวและโค้งคับนับอย่างสุภาพนอบน้อม และพูดขึ้น “สวัสดีครับ ผู้อำนวยการ ผมอายุเกือบจะห้าขวบครึ่งแล้ว แต่แม่จ๋าก็มักจะบอกผมว่าผมเด็กอยู่เสมอ”

อันโหรวเกือบจะสำลักเพราะคำพูดของเขาเจ้าลูกชายของเธอคนนี้ เขาคิดว่าตัวเองโตมากพอแล้วงั้นเหรอ?

“หยางหยาง นี่ลูกพูดอะไรของลูกกับผู้อำนวยการเนี่ย!” อันโหรวเอ่ยเสียงต่ำและก้มหัวลงดุเขา แต่น้ำเสียงของเธอแทบจะไม่ได้ตำหนิอะไรเลย

เธอยังคงอดกลั้นเอาไว้เล็กน้อย ไม่กล้าพูดอะไรไร้สาระ เพราะกลัวว่าเด็กทั้งสองจะเข้าโรงเรียนไม่ได้

แต่ทว่าอันโหรวกลับคิดไม่ถึงเลยว่า ห่าวเหล่ยจะหัวเราะออกมาโดยทันที ไม่ใช่รอยยิ้มที่ปลอมเปลือก แต่กลับพยักหน้าไปมา “มาๆ ตามฉันมาที่ห้องทำงานสิเด็กๆ เด็กพวกนี้ไม่เลวเลยนะคะ แต่ทว่ายังไงก็ต้องสอบเข้าก่อนเข้าเรียนนะคะ”

อันโหรวอุทานเบาๆ ก่อนจะตอบกลับไป “ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะผู้อำนวยการ”

“แม่จ๋า เรื่องพวกนี้ก็ควรต้องปล่อยวางเสียบ้างนะ” อันหยางผู้ใหญ่ในร่างเด็กดูเหมือนครั้งนี้จะสั่งสอนบทเรียนให้กับอันโหรวเสียแล้ว ส่วนหน่วนหน่วนก็จับจ้องดวงตาที่เต็มไปด้วยประกาย ก่อนจะเอามือน้อยๆของเธอนั้น  ไขว้ไปไว้ข้างหลังและเดินตามหลังผอ.ห่าวเหล่ยไป

อันโหรวไม่รู้เพราะอะไร สมองกับตื้อ ก่อนจะทนหัวเราะออกมาไม่ได้ ในเมื่อสถานการณ์ผ่อนคลายเช่นนี้ เขาก็อุ้มลูกสาวของตนเดินเข้าไปในห้องสำนักงานทันที