ตอนที่ 67 มันน่าสมควรตายนัก

“ปล่อยมือนะ!” อันโหรวบิดข้อมือของตัวเองออกมา  แม้ปากจะพูดไป สุดท้ายตัวเองก็ไม่อาจปล่อยหลุดพ้นไปได้ ก็มีแต่ต้องเจ็บมือมากขึ้น และเอ่ยออกไปว่า “ประธานจิ่ง คุณเป็นบ้าอะไรไปเนี่ย รีบปล่อยมือฉันนะ!”

“เธอบอกให้นายปล่อย นายไม่ได้ยินรึไง?” โอวหยางลี่รีบลงออกมาจากรถ ก่อนจะควบคุมน้ำเสียงของตัวเองไม่ได้

เขาไม่รู้เลยว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น คืนนี้ดูเหมือนว่าเขานั้นจะสูญเสียความเป็นตัวเองไปค่อนข้างง่ายดายนัก แม้กระทั่งหลงลืมว่าตัวเองควรใช้บุคลิกแบบไหน

จิ่งเป่ยเฉินเหลือบมองไปยังโอวหยางลี่อย่างเย็นชา ที่มุมปากเผยให้เห็นถึงความเยาะเย้ยเกิดขึ้นและเอ่ยออกไปว่า “อันอีหานเป็นพนักงานของบริษัทสกุลจิ่ง ตอนนี้ก็ถือได้ว่าทำงานล่วงเวลา หรือว่าคุณ คิดต้องการข้ามเส้น?”

“นาย….” โอวหยางลี่แทบจะสะอึกคำพูด เขาได้สติกลับคืนมา ทั้งยังไม่อาจพูดอะไรได้อีก เพียงแค่ใช้สายตามองไปยังอันอีหานอย่างขมขื่น เพราะยามนี้ตัวของเธอกำลังถูกจิ่งเป่ยเฉินดึงเข้าไปในรถ จนในที่สุดเขาก็ระบายอารมณ์โดยการทุบไปที่ประตูรถหนึ่งหมัด

ปากัวนีขับรถผ่านไปปต่อหน้าต่อตาของโอวหยางลี่

“ประธานจิ่ง ตอนนี้คุณกลับมาเป็นปกติแล้วรึยัง?” อันโหรวถูกบังคับเข้าไปในรถ และกำลังนั่งอยู่บนด้านข้างคนขับ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

เธอยังคงบีบข้อมือของเธอเบาๆ เพราะตอนนี้มันเกิดรอยแดงขึ้นมาอีกครั้ง เธอรู้สึกเจ็บ และรู้สึกโกรธมาก

ความเร็วของรถยิ่งมากขึ้นมากขึ้น ตรงข้อมือจิ่งเป่ยเฉินเผยให้เห็นเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมาที่หลังมือ ริมฝีปากของเขานั้นยังคงกัดไปมา อารมณ์ความโกรธนั้นปะทุและเผยให้เห็นถึงไอเย็น

อันโหรวเองก็ฉลาดมากพอ เมื่อมองดูผู้ชายคนนี้กำลังโกรธ เธอก็ยังเอ่ยประโยคไปอีกว่า “หยุดรถ ฉันต้องการจะลง!”

จิ่งเป่ยเฉินไม่สนใจเธอแม้แต่น้อย ไม่มีแม้แต่จะใช้หางตามองเธอแต่อย่างใด แต่กลับตอบกลับเธอด้วยเสียงคันเร่งรถที่เร่งขึ้นไปอีก

อันโหรวหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาหนึ่งครั้ง ก่อนจะถอดรองเท้าส้นสูงของเธอและยื่นออกไปเพื่อหวังจะเปิดประตูรถโดยไม่สนใจอะไร ไม่ช้าเธอก็ดึงเข็มขัดนิรภัยออก และรีบลุกขึ้นเพื่อหวังจะกระโดดออกจากรถ

“อันอีหาน นี่เธอบ้าไปแล้วเรอะ!” จิ่งเป่ยเฉินหัวใจเต้นรัวๆเมื่อเห็นอันอีหานที่คิดอยากจะกระโดดลงจากรถ เขารีบเหยียบเบรกอย่างรวดเร็ว ตัวยางล้อรถนั้นถูกับพื้นด้วยความเร็วสูง ดัง “เอี๊ยดดด”

ก่อนที่รถจะหยุดสนิท อันอีหานก็ได้กระโดดลงจากรถไป และไหลตกลงไปบนถนน พร้อมกับกลิ้งไปมาอยู่หลายครั้ง

จิ่งเป่ยเฉินตกใจสะดุ้งเฮือก รีบเปิดประตูรถและลงไปดู

“เป็นยังไงบ้าง ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เขาคุกเข่าย่อตัว และรีบดึงอันอีหานขึ้นมา เพื่อตรวจดูว่าเธอมีอะไรบาดเจ็บบ้างรึเปล่า

แต่ทว่าอันอีหานกลับผลักเขาออกไป และค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนจะเผยสีหน้าที่เย็นชา “ประธานจิ่ง หวังว่าหลังจากนี้คุณจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้นะคะ อย่ามาโกรธตามอำเภอใจไปเรื่อย และไม่ต้องมายุ่งในเรื่องของคนอื่นด้วย”

การที่เอ่ยพูดจาเช่นนี้อย่างไม่แยแส แน่นอนหนึ่งก็เพื่อหวังจะกำจัดสายสัมพันธ์ของเขาและเธอไปอย่างสิ้นหวัง

จิ่งเป่ยเฉินเองก็ค่อยๆสงบลง ก่อนจะยืนอยู่ตรงข้ามอันโหรว ทั้งสองคนมองหน้ากันชั่วครู่ จนเขาก็เลียริมฝีปากอย่างชั่วร้ายและเอ่ยออกไป “คืนนี้ถ้าหากผมควบคุมตัวเองไม่ได้ เรื่องขิงคุณหลังจากนี้ ผมก็คงไม่ขอยุ่งอีก!”

ค่ำคืนนี้แม้ว่าบรรยากาศจะดีไม่เลว แต่การที่เธอเอ่ยถึงสามีกับลูกๆ มันเลยทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ ก่อนจะอยากทิ้งเธอไว้คนเดียว แต่เมื่อขับรถไปได้ครึ่งทางก็ต้องกลับมา เพราะว่าเป็นห่วงเธอมากนัก

เมื่อเขารู้ว่าสถานที่จัดงานแห่งนี้เรียกรถไม่ได้ ในใจก็กลับเป็นห่วงเธอมากขึ้น กลัวว่าเธอจะกลับบ้านยังไง แต่เมื่อเห็นฉากนั้นเข้า เขาเองก็…..

ทำไมเขาถึงได้สมควรตายนัก!

อันโหรวกำกระเป๋าในมือไว้แน่น ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เมื่อได้ยินคำพูดของจิ่งเป่ยเฉินที่บอกจะไม่สนใจเธอแล้ว เธอก็กลับหายใจไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง

หากสถานการณ์นี้ยังคงดำเนินการต่อไป แน่นอนว่าคงกลายเป็นสถานการณ์ที่เธอควบคุมไม่ได้อีกแน่นอน เพราะงั้นตอนนี้เหตุการณ์ก็คงชัดเจนพอสมควร นี่นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

“ประธานจิ่ง หวังว่าคุณจะจำคำพูดของคุณไว้ด้วย ลาก่อน!” อันโหรวพูดจบ ก็เดินหันหลังกลับโดยทันที ก่อนจะหยิบรองเท้าส้นสูงขึ้นมา และเดินออกไปด้วยเท้าเปล่าบนพื้นยางมะตอน

แผ่นหลังบางๆของเธอนั้นเมื่อส่องอยู่ภายใต้แสงไฟบนถนน มันก็ดูบอบบางและอ่อนแอมากขึ้น

จิ่งเป่ยเฉินเดินขึ้นไปในรถและเฝ้ามองดูเธอเดินกะเผลกไปมาด้วยเท้าเปล่า ต่อหน้าต่อตาของเขา แต่แน่นอนด้วยความดื้อรั้นของเธอ ตัวของเธอเองก็ไม่คิดจะหันกลับมาดูเขาด้วย เขาเลยทุบไปที่พวงมาลัยอย่างแรงก่อนจะเร่งคันเร่งและขับผ่านอันโหรวไปอย่างรวดเร็ว

อันโหรวเดินเท้าเปล่าแทบจะไม่ไหว เธอรู้สึกเจ็บมาก ตอนที่กำลังเดินบนถนนที่มีพื้นยางมะตอย จิ่งเป่ยเฉินเองก็ขับรถผ่านไปเร็วมาก ยามนี้มีแต่สายลมที่ผัดผ่านเธอกระชากไปมาโดยไม่เห็นมีแม้แต่เงา

เธอหยุดหอบลงเล็กน้อย ที่นี้อย่างน้อยก็น่าจะพอเรียกรถออกมาได้บ้างละนะ

………

ตอนที่ 68 ทุกสิ่งที่เธอคิดล้วนเป็นเขา

ถนนซานฮวาบ้านของหลินจือเซี๋ยว

เด็กทั้งสองหลับไปนานแล้ว ตอนนี้ก็เป็นเวลากว่าห้าทุ่มแล้ว อันหยางตอนแรกก็ว่าจะรอแม่กลับมา แต่แล้วก็ทนไม่ไหว พล่อยหลับไปจนได้

หลินจือเซี๋ยวนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นก่อนจะหลับสนิท แต่พยายามฝืนรั้งตัวเองไม่ให้นอนหลับ เพื่อรอให้อันโหรวกลับมา

เธอกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนโซฟา เธอไม่อาจฝืนรั้งตัวเธอไหวได้ ไม่ช้าประตูห้องก็ถูกเปิดขึ้น อันโหรวก็ปรากฎตัวขึ้นมาอย่างสวยสง่างาม

ทำไมต้องบอกว่าสวยน่ะเหรอ นั้นก็เพราะว่าอันโหรวแต่งตัวออกมาสวยมากน่ะสิ

เว้ยเสียแต่การแต่งหน้าที่ดูน่าเกลียด ซึ่งเรียกได้ว่าถ้าหากไม่มีส่วนนี้ไปก็นับได้ว่าสมบูรณ์แบบ

“โหรวโหรว ทำไมวันนี้เธอแต่งตัวสวยจังเลย?” หลินจือเซี๋ยวที่กำลังนอนอยู่ดวงตากลับพลันเป็นประกาย และรีบมองไปที่อันโหรวด้วยท่าทีที่ตกตะลึง

อันโหรวกุมหน้าผากอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะยื่นมือผลักหลินจือเซี๋ยวไปอย่างเบาๆ และมองไปที่ห้องของเด็กๆ และกระซิบไปว่า “หยางหยางกับหน่วนหน่วนนอนหลับแล้วรึยัง”

“หลับไปแล้ว ดึกขนาดนี้แล้วนะ!” หลินจื่อเซี๋ยวอ้าปากหาว ก่อนจะมองไปดูเพื่อนรักของเธอและพูดขึ้น “ค่ำคืนนี้เธอกับประธานจิ่งไปถึงไหนบ้าง ทำไมแต่งตัวสวยขนาดนี้เชียว คงไม่ใช่ว่ากินข้าวดินเนอร์ใต้แสงเทียนอะไรแบบนี้หรอกใช่ไหม ถ้าหากไม่ใช่ละก็ ทำไมไม่กินอะไรนิดๆหน่อยๆสักคืนล่ะ คิกคิก”

อันโหรวหัวเราะในลำคอเบาๆ และพูดขึ้น “จือเซี๋ยว เธอก็น่าจะรู้ว่าเจ้านายเธอเป็นคนยังไง ประธานจิ่งพาฉันไปแค่งานเต้นรำเท่านั้น เธอไม่ต้องคิดเยอะหรอก”

“เต้นรำ?” หลินจือเซี๋ยวดวงตาฉายแววสีเขียว “การสัมผัสร่างกาย เต้นรำจำเป็นต้องใช้ท่วงท่าจับมือประสานไปมา……..” เธอพูดไปพร้อมกับจับมือสองข้างอย่างคลุมเครือสองสามครั้ง

อันโหรวยอมพ่ายแพ้ เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพื่อนรักของตนถึงได้คิดอะไรแบบนี้ออกมา ถึงได้คิดทำท่าเช่นนี้ เธอจึงเอ่ยออกไปว่า “ประธานจิ่ง พาฉันไปงานเต้นรำ แน่นอนไปเพื่อพูดคุยด้านธุรกิจ ในเมื่อสกุลเห่อผู้อำนวยการหลี่อยู่ที่นั้นด้วย ฉันเองก็ต้องพูดคุยเกี่ยวกับฮุบกิจการ”

หลินจือเซี๋ยวเบ้ปาก เมื่อรู้ว่าตัวเองผิดหวัง ก่อนจะเอ่ยไปว่า “พวกเธอนี่จริงๆเลยนะ ไปงานเต้นรำเพื่อคุยธุรกิจ การเต้นรำสมควรเป็นประธานจิ่งจริงๆ”

อีกอย่าง พูดถึงจุดนี้ อันโหรวก็เริ่มไม่พอใจ

ถ้าหากให้เปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนอื่นละก็ กลัวว่าประธานจิ่งคงจะกินจนไม่เหลือกระดูกแน่ๆ

เมื่อเธอเอ่ยจบ เธอก็หาวอีกครั้ง ก่อนจะทนไว้ไม่ไหว “เห็นเธอกลับมาแบบปลอดภัยก็ดีแล้ว ฉันขอไปนอนก่อนนะ โหรวโหรวเธอก็นอนเร็วๆล่ะ”

ทำงานระดับหนักขนาดนั้น ทั้งยังต้องมาปะทะคมรมนู้นนี่นั้นจากราชาปีศาจ เธอก็ควรเก็บแรงเอาไว้ ไม่งั้นละก็สู้ไม่ไหวแน่

“อืม เธอรีบไปนอนเถอะ ตาแดงแบบนี้แล้ว ครั้งหน้าถ้ามีเรื่องพวกนี้อีก ไม่ต้องมารอฉันนะ”

เธอรู้สึกเสียใจแทนหลินจือเซี๋ยว ทุกๆครั้งที่เธอกลับมาบ้าน ต้องเป็นหลินจือเซี๋ยวที่รออยู่ตลอด ที่คอยเปิดไฟเอาไว้ให้

เธอเองก็ยังรู้อีกว่าจือเซี๋ยวกลัวว่าเธอนั้นเมื่อกลับมาบ้านและจะรู้สึกเหงาเหมือนโดดเดี่ยว ดังนั้นทุกครั้งที่กลับดึกก็มักจะรออันโหรวกลับบ้านเสมอ

หลินจือเซี๋ยวยิ้มและโบกมือ ก่อนจะพูดไปด้วยน้ำเสียงที่ง่วงมาก “ไม่เห็นเป็นไรเลย ไม่รอเธอกลับมาปลอดภัย ฉันก็นอนหลับไม่ลงหรอก”

ในเมืองที่ใหญ่โตเช่นนี้ โหรวโหรวมีเพื่อนที่ดีอยู่แค่คนเดียว และเป็นเพื่อนรักที่ดีที่สุดในประเทศจีน เธอมักจะดูแลโหรวโหรวเป็นอย่างดี

ความอบอุ่นในใจของอันโหรวนั้นสามารถสัมผัสมันได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ก่อนจะผลักให้หลินจือเซี๋ยวเข้าไปนอนหลับในห้อง ก่อนที่เธอจะจัดแจงธุระของตัวเอง

ชุดที่ไม่มีประโยชน์แบบนี้ ถอดมันไว้และแขวนไว้ในตู้ก็พอ เมื่อซักมันเสร็จ โหรวโหรวก็นอนหลับไม่ลง เธอนอนลงอยู่บนเตียง แต่จิตใจนั้นกลับเหม่อลอยนึกถึงภาพจิ่งเป่ยเฉินในสภาพนั้น ทั้งโกรธ ทั้งโมโหยิ้มเยาะอย่างชั่วร้าย ทั้งเย็นชา ทั้งหยิ่งผยอง เมื่อเขาบอกว่าเขาจะไม่สนใจเธออีกต่อไป……

เธอลุกขึ้นมายืน เธอก็นั่งขยี้ผมตัวเองให้ยุ่งอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย

ทำไมเธอถึงยังคิดถึงเขาแบบนั้น?

เธอสนใจยังงั้นเหรอ?

อันโหรวเคาะไปที่หัวของตัวเอง เพื่อไล่ความคิดพวกนี้ออกไป ก่อนจะลุกขึ้นมาหยิบสมุดเพื่อเขียนไดอารี่ประจำวันของตน สมุดบันทึกเล่มนี้เธอซื้อมันมาตั้งแต่วันที่เธอท้อง ยามนั้นเธอมีเงินติดตัวอยู่แค่สิบเหรียญ ก็ใช้ห้าเหรียญเพื่อซื้อสมุดหนึ่งเล่มเท่านั้น นั้นคือเล่มนี้

นี่เป็นการบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันแต่ละวัน ตั้งแต่ที่หยางหยางเกิดหน่วนหน่วนก็ถือกำเนิดขึ้น ช่วงเวลาที่อยู่ในอังกฤษอย่างขมขื่นถูกจดเอาไว้ในนี้ ครั้งไหนที่เธอคิดอยากยอมแพ้ก็มักจะหยิบไดอารี่เล่มนี้ขึ้นมาดูอยู่เสมอ

ตราบใดเท่าที่ผ่านพ้นความทุกข์ยากพวกนี้ไปหมด เธอก็มักจะจุดไฟประกายความหวังของตัวเองขึ้นมาใหม่

เธอต้องการหาคำตอบว่าทำไมสกุลอันถึงได้ไม่มีอยู่แล้วแบบนี้ แม่ของตนเองก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนแล้ว ตอนนี้เธอจำเป็นต้องพึ่งพาตัวเอง

แน่นอน เธอยังมีอีกเรื่องนึงที่ค่อนข้างสำคัญที่ต้องทำ นั้นก็คือ……