หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.356 – ปรากฏกาย(1)

 

กู่ฉิงซานหยิบถุงเครื่องหอมที่มีสีสันออกมา และเริ่มแทรกจิตสัมผัสเทวะลงไปเพื่อทำการค้นหาวิชาลับในขอบเขตก้าวสู่เทพ

 

เนื่องด้วยความผันผวนทางพลังวิญญาณหลังจากในตอนแรกที่พึ่งยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นต้นได้ลดลงไปมากแล้ว ดังนั้น มันจึงถึงเวลาที่จะทะลวงเข้าสู่ก้าวสู่เทพขั้นกลางเสียที

 

แต่แล้วการแสดงออกทางสีหน้าของเขาก็วูบไหวอย่างกระทันหัน

 

เพราะภายในถุงเครื่องหอม ท่ามกลางหลายสิ่งที่กองซ้อนๆกันไม่เป็นระเบียบ

 

มีเพียงแค่ในส่วนเทคนิคฝึกยุทธของเขา เซี่ยวโหลว และซิวซิวเท่านั้นที่ถูกจัดแจงไว้อย่างเป็นระเบียบ

 

กู่ฉิงซานคว้าจับสิ่งหนึ่งมาไว้ในมือ

 

มันเป็นใบหยกที่ถูกสลักคำว่า ‘ซาน’ เอาไว้

 

เขารีบปล่อยพลังวิญญาณออกไปกระตุ้นมัน และเสียงของนางเซียนไป่ฮั่วก็ดังสะท้อนออกมาจากใบหยกทันที

 

“การเลือกเทคนิคฝึกยุทธในขอบเขตก้าวสู่เทพน่ะ มันเป็นอะไรที่สำคัญมากๆเลยนะรู้ไหม นั่นเพราะมันเกี่ยวข้องโดยตรงกับความยากลำบากในการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตประทับเทพ”

 

“ฉิงซาน วิชาลับ‘มังกรฟ้า’ก้าวสู่เทพ  นี้ข้าตั้งใจเลือกมันอยู่นาน และในที่สุดก็ตัดสินใจว่าเทคนิคฝุกยุทธชนิดนี้นี่แหละ ที่มันเหมาะสมกับรูปแบบการต่อสู้ของเจ้ามากที่สุด”

 

“ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน มีผู้ฝึกยุทธทั้งหมด 37 คนที่ได้รับวิชาลับที่ว่านี้ และมีถึง 9 คนที่สามารถยกระดับขึ้นสู่ประทับเทพได้ นอกจากนี้6ใน9ยังเป็นผู้ฝึกดาบและนักสู้หวู๋เต๋าอีกด้วย”

 

“ข้าเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เรียนรู้วิชาลับนี้เช่นกัน และก็ค้นพบว่ามันเหมาะสมจริงๆสำหรับผู้ฝึกดาบ”

 

“ฉิงซาน เจ้าจักต้องศึกษาวิชานี้อย่างจริงจัง นี่เป็นเรื่องใหญ่มากเพราะมันจะก่อประโยชน์อย่างมหาศาลต่อตัวเจ้าในอนาคต”

 

แล้วเสียงก็หายไป

 

มุมปากของกู่ฉิงซานกระตุกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขา

 

ในช่วงชีวิตใหม่นี้ สิ่งที่นับว่าตนตัดสินใจได้ถูกต้องมากที่สุดหากเทียบกับหลายๆสิ่งที่กระทำมา ก็คงจะไม่พ้นการได้คารวะนางเซียนไป่ฮั่วเป็นอาจารย์นี่แหละ

 

นางเซียนไป่ฮั่ว เซี่ยเต๋าหลิง ปฏิบัติกับสาวกราวกับเป็นคนในครอบครัวของเธอ

 

ดังนั้นเธอจึงย่อมปกป้อง ใส่ใจ และห่วงใยในตัวเขาเป็นธรรมดา

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงในใบหยก และกวาดอ่านมันทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

 

ในเวลาเดียวกัน หลายบรรทัดแสงตัวอักษรก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

“ค้นพบเทคนิคฝึกยุทธ : วิชาลับมังกรฟ้าก้าวสู่เทพ ”

 

“การเรียนรู้วิชาลับนี้โดยสมบูรณ์ จำเป็นต้องจ่าย 200 แต้มพลังวิญญาณ ผู้เล่นยินดีที่จะจ่ายหรือไม่?”

 

“ฉันยินดี” กู่ฉิงซานกล่าว

 

กระแสความร้อนไหลจากใบหยกเข้าสู่แขน กระจายไปตลอดทั่วตัวและกระดูก และในที่สุดก็มาบรรจบกันในทะเลแห่งห้วงสติ

 

ในทันที กู่ฉิงซานก็สามารถเข้าใจถึง ‘วิชาลับมังกรฟ้าก้าวสู่เทพ’ ได้อย่างสมบูรณ์

 

เขาหลับตาลงเพื่อที่จะตระหนักรู้ถึงทุกขั้นตอนในการฝึกยุทธ

 

หลังจากตรวจสอบจนแน่ใจว่าทุกอย่างถูกต้อง กู่ฉิงซานก็หยิบเม็ดยาวิญญาณทรงเมล็ดข้าวที่มีฤทธิ์แรงที่สุดออกมาและโยนมันเข้าปากกลืนลงไป

 

จากนั้น เขาก็เริ่มทำการทะลวงก้าวสู่เทพขั้นกลาง

 

ด้วยความเข้าใจในเทคนิคฝึกยุทธอย่างถ่องแท้ ทุกๆกระบวนการที่เขาทำจึงดูราวกับเป็นผู้ฝึกยุทธที่ฝึกฝนอยู่ในขอบเขตนี้มาเนิ่นนานแล้ว แต่ละขัั้นตอนค่อยๆบรรลุอย่างง่ายดาย และเริ่มต้นด้วยขั้นตอนต่อไปอีกครั้ง

 

เนื่องเพราะได้รับประสบการณ์มาก่อนแล้ว ทำให้กระบวนการนี้ช่างคืบหน้าไปอย่างง่ายดาย

 

ช่วงกลางดึก แสงสวรรค์ในร่างของกู่ฉิงซานก็ทวีอานุภาพขึ้น ส่องสว่างยิ่งขึ้น จนห้องพักของเขาในเวลานี้เจิดจ้าราวกับอยู่ในช่วงกลางวัน

 

คืนที่มืดมิดได้ผ่านพ้นไป และแสงแรกแห่งรุ่งอรุณก็ค่อยๆสาดลงมาจากสุดขอบฟ้า

 

แสงสวรรค์บนร่างกายของกู่ฉิงซานค่อยๆควบรวมกลับคืน และจมลงสู่ร่างกายของเขา

 

สองตาที่ปิดแน่นได้ลืมขึ้น

 

เขาได้กลายเป็นก้าวสู่เทพขั้นกลางเรียบร้อยแล้ว

 

ในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านขอบเขตฝึกยุทธ หรือความสำเร็จในด้านสกิลดาบ เขาก็มิแตกต่างไปจากช่วงเวลาที่อยู่ในจุดสูงสุดของชีวิตก่อนหน้าแล้ว!

 

งั้นจากนี้ก็สามาถทะลวงก้าวสู่เทพขั้นปลายได้เลยน่ะสิ?

 

กู่ฉิงซานคิดอย่างถี่ถ้วน แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไม่ทะลวงสู่ก้าวสู่เทพขั้นปลายในทันที

 

เพราะหลังจากทั้งหมดนี้ เขาจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสียก่อนสำหรับขอบเขตประทับเทพในระดับต่อไป

 

นี่คือเส้นแบ่งที่มีนัยยะสำคัญ

 

เพราะผู้ฝึกยุทธมากมายติดอยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพตลอดช่วงชีวิตของพวกเขา และไม่อาจที่จะทะลวงไปยังขอบเขตประทับเทพได้ ดังนั้นก่อนจะยกระดับแต่ละที เขาก็จำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสียก่อน

 

แต่ ณ ตอนนี้ ด้วยการที่ความผันผวนทางพลังวิญญาณของตนเองยังไม่แน่ไม่นอน ร่างกายยังมีได้ปรับตัวให้เข้ากับพลังของก้าวสู่เทพขั้นกลาง ดังนั้นการจะทะลวงสู่ขั้นต่อไป มันจะเป็นการง่ายที่จะส่งผลกระทบให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ

 

มันจะดีกว่าหากรอสักพักหนึ่ง รอให้ความผันผวนทางพลังวิญญาณลดลง แล้วจากนั้นค่อยมาวางแผนที่จะทะลวงมันอีกครั้ง

 

“ใต้เท้า ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว โปรดกินให้ตรงเวลา เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้รับสารอาหารที่พอเพียง” เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้นจากสมองควอนตัม

 

“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นระหว่างกินข้าว ฝากเตรียมรถเหินเวหาให้ฉันด้วยนะ ช่วงเช้าฉันว่าจะไปฟูซีเพื่อดูพิธีขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดินีเวโรน่าซะหน่อย”

 

“โปรดวางใจ รถเหินเวหาได้ถูกตระเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว”

 

…….

 

ณ คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์

 

สาวกศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ด แต่ละคนต่างย่อตัวคุกเข่าลง

 

เจ็ดแสงบริสุทธิ์ลอยออกมาจากพวกเขา ควบรวมเข้าด้วยกัน แปรสภาพเป็นเสาแสงอันกว้างใหญ่

 

ตลอดทั้งตัวโบสถ์ใหญ่ ได้ถูกครอบคลุมไปด้วยแสงบริสุทธิ์นี้

 

เพียงไม่นาน

 

บนบัลลังก์ของโบสถ์ ก็เริ่มปรากฏร่างของคนๆหนึ่งขึ้น

 

สามารถมองเห็นส่วนปีกที่ซ่อนอยู่ได้อย่างชัดเจน ขณะที่เหนือหัวของคนผู้นั้นมีรัศมีแสงแขวนอยู่

 

บนร่างกายสวมใส่ชุดคลุมสีขาว ขณะที่บนใบหน้าถูกปิดบังไว้ด้วยผ้าโปร่ง

 

พระสันตะปาปาได้กลับมาแล้ว

 

เธอนั่งลงบนบัลลังก์และกล่าวว่า “หากไม่มีเรื่องเร่งด่วนก็จงอย่าติดต่อข้า เรื่องนี้พวกเจ้าน่าจะทราบดีนี่”

 

เจ็ดสาวกศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าพร้อมกัน

 

พระสันตะปาปามองไปที่พวกเขา ก่อนจะลอบถอนหายใจออกมา

 

ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ

 

—ตนเองได้พ่ายแพ้

 

ตอนนี้ เธอทำได้เพียงเดินเหินไปในมหาสมุทรแห่งซากศพ และไม่มีทางที่จะเข้าสู่เกาะหมอกได้

 

ข้าไม่ยินยอม!

 

หลังจากเตรียมการและใช้ความพยายามอย่างหนัก แต่ท้ายที่สุดเธอกลับถูกนังเด็กนั่นผลักไสจนต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

 

ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!

 

แต่ก็นับว่าข้ายังมิได้พ่ายแพ้โดยสมบูรณ์

 

นังเด็กสาวนั่นจะต้องเป็นใครบางคนในโลกใบนี้อย่างแน่นอน

 

ข้าจะต้องหาวิธีที่จะตามตัวเธอในโลกจริง จากนั้นก็ฆ่าเธอซะ!

 

ตราบใดที่นังเด็กนั่นตาย ย่อมเป็นธรรมดาที่ระบบจะกลับมาสู่อ้อมอกของตนเอง

 

แต่สำหรับตอนนี้ มาดูกันก่อนดีกว่าว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

เธอเอ่ยถาม “งั้นก็ดี ในเมื่อพวกเจ้ารู้ แต่ก็ยังดึงดันจะเรียกข้ากลับมา ฉะนั้นข้าต้องการจะทราบว่าแท้จริงแล้วมันเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”

 

“นายทหารของรัฐบาลกลางที่เป็นตัวสร้างปัญหาขึ้นในงานเลี้ยงอาหารค่ำของมาดามดู่ได้หายตัวไปแล้ว ไม่มีวี่แววของเขาโดยสมบูรณ์” สาวกศักดิ์สิทธิ์ฮัทท์กล่าวรายงาน

 

เสียงของพระสันตะปาปาเปล่งออกมาอย่างแผ่วเบา “เพียงเพราะเรื่องแค่นี้หรือ?”

 

ในจิตใจของฮัทท์รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะโกรธ เขาจึงเร่งเอ่ยว่า “มิได้มีแค่นั้น แต่ตอนนี้โลกได้เกิดปัญหาขึ้น นรกกำลังมาเยือนพวกเราแล้ว”

 

“นรก?”

 

พระสันตะปาปาทวนซ้ำ น้ำเสียงของเธอค่อนข้างประหลาดใจ ความโกรธได้สลายไป

 

“ขอรับ นรกเยือกแข็ง” ฮัทท์ถอนหายใจโล่งอก

 

แล้วเขาก็เริ่มบอกเล่าเกี่ยวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้

 

พระสันตะปาปานั่งเงียบไปครู่หนึ่ง สักพักจึงถอนหายใจออกมา “จักรพรรดิฟูซี อันที่จริงแล้วข้าเข้าใจตัวเขานะ แต่น่าเสียดายจริงๆที่เขาเลือกเป้าหมายผิด”

 

“เกิดความผิดปกติบางอย่างขึ้นกับปรภพอย่างงั้นหรือ … ” พระสันตะปาปาพึมพำ

 

หนึ่งศอกวางลงบนพนัก เอนตัววางแก้มลงบนมือข้างเดียวกันขณะที่ในสมองกำลังครุ่นคิด

 

ดูเหมือนว่าการที่ตนเองถูกเรียกกลับมาจะนับว่าถูกต้องแล้ว

 

สถานการณ์โลกในเวลานี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และเธอต้องก้าวเข้ามาควบคุมสถานการณ์ด้วยตนเอง

 

ด้วยความแข็งแกร่งของโลกใบนี้ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรับมือกับนรก

 

ดูเหมือนว่าข้าจะต้องจากไปเร็วขึ้นสักหน่อยเสียแล้วกระมัง

 

—แต่ดูทุกสิ่งที่สร้างมาเป็นอย่างดีนี่ซี? จะต้องทิ้งมันไปจริงๆน่ะหรือ?

 

เธอมองไปรอบโบสถ์

 

ห้องโถงกว้างขวาง ส่องสว่างและสดใส

 

กลุ่มคนที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ภักดี ซื่อสัตย์ และเต็มใจอุทิศตนเพื่อเธอ

 

แสงแดดจากดวงอาทิตย์สาดเข้ามาทางกระจกหน้าต่างที่เป็นรูปวาดหลากสีสัน นำมาซึ่งความรู้สึกสงบอย่างน่าแปลกประหลาด

 

เงียบสงบและอบอุ่น ทุกอย่างดูเป็นระเบียบ

 

ไม่เพียงแต่โบสถ์นี้เท่านั้น แต่กระทั่งทั้งประเทศก็ยังเป็นของตนเอง

 

หากต้องจากไปในตอนนี้จริงๆ บอกตรงๆว่าเธอลังเล

 

มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยสำหรับตนเองที่จะได้รับร่างกายนี้ ศาสนานี้ และประเทศนี้ แต่มาตอนนี้กลับจะต้องหนีไป?

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่พึ่งถูกขับไล่ออกจากเกาะหมอก

 

ให้เตร่ไปทั่วจักรวาลเนี่ยนะ? เพียงแค่คิดก็เจ็บปวดใจยิ่งแล้ว

 

พระสันตะปาปาลุกขึ้น และเดินไปรอบๆโบสถ์ ด้วยสองมือที่ไขว้กันอยู่เบื้องหลัง

 

ใช่ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือนังเด็กสาวคนนั้น

 

เมื่อเธอกลับมาสู่โลกใบนี้ ข้าจะต้องตามหาเธอให้พบและจัดการสังหารซะ!

 

ทันทีทีนังเด็กนั่นตาย อะไรๆมันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นก็ได้

 

ดังนั้น เวลานี้จึงยังไม่สมควรที่จะทอดทิ้งโลกใบนี้ไป

 

สำหรับเรื่องของปรภพ-

 

จากมุมมองในปัจจุบัน มันยังไม่ชัดเจนว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับปรภพ

 

สถานการณ์ยังไม่กระจ่าง หากตนเองผลีผลามจากไปอย่างเร่งร้อน เกรงว่าคงจะสูญเสียมากเกินไป

 

บางทีความผิดปกติจากทางปรภพอาจจะหายไปในไม่ช้าก็ได้

 

ถ้างั้นรอดูก่อนก็แล้วกัน

 

พระสันตะปาปารำพึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปล่งเสียงเอ่ยถามว่า “เวโรน่าได้ขึ้นครองบัลลังก์ใช่หรือไม่?”

 

“ใช่ โปรดดูในจอม่านแสง”

 

ขณะที่ฮัทท์กำลังกล่าว จอม่านแสงก็โผล่ออกมา

 

บนจอม่านแสง เป็นพระราชวังที่สวยงาม

 

ณ เมืองหลวงของฟูซี

 

ภายในพระราชวังหลวง

 

ตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของพิธีราชาภิเษกแห่งฟูซี เวโรน่าจะต้องนั่งอยู่ในรถม้าที่ถูกลากโดยอาชาสีขาวบริสุทธิ์แปดตัว เดินทางออกจากพระราชวังภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์ มุ่งหน้าไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ของฟูซี

 

พระสังฆราชแห่งฟูซีจะรับผิดชอบเป็นประธานในการดำเนินพิธีนี้

 

ผู้นำระดับโลก และบุคคลสำคัญจากประเทศต่างๆจะรออยู่ในภายในมหาวิหารเพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในพิธี

 

เวโรน่าสวมใส่เสื้อคลุมจักรพรรดิสีดำและแดง ในมือข้างหนึ่งถือคทาของกษัตริย์ ขณะที่อีกข้างถือแอปเปิ้ลทองคำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจในรูปแบบของฟูซี

 

เธอเอ่ยปฏิญาณอย่างเคร่งครัดกับรูปปั้นเทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหลใจกลางวิหาร

 

“เราจะปกป้องอาณาจักรนี้เพื่อประโยชน์ของประชาชน เพื่อความผาสุขและศักดิ์ศรี เราจะ … ”

 

พระสันตะปาปามองไปยังฉากนี้ ปากเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา “น่าสนใจดีนี่”

 

เดิมทีแล้ววิหารศักดิ์สิทธิ์ของฟูซีถูกสร้างขึ้นก่อนที่องค์จักรพรรดิฟูซีจะแต่งงาน

 

แน่นอน ว่าเป็นการแต่งงานกับเวโรน่าจากตระกูลเมดิซี

 

เวโรน่า เมดิซี ครั้งหนึ่งในวัยเยาว์เธอเคยเป็นถึงพระคาร์ดินัลของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์

 

เพื่อที่จะได้ครอบครองเธอ องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีถึงขั้นประกาศแก่สาธารณชนว่า ตนจะสร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์อันงดงามยิ่งใหญ่ขึ้นในเมืองหลวงของฟูซี

 

วิหารนี้เปรียบดั่งตัวแทนของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ เป็นตัวแทนของความเชื่อแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ และความศรัทธาของเวโรน่าที่จะปกป้องจักรวรรดิ์ศักดิ์สิทธิ์

 

—แต่ปัจจุบันมันไม่ได้เป็นตัวแทนของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปแล้ว

 

พระสันตะปาปาขบคิดอย่างเงียบๆ

 

โชคดีจริงๆที่ได้ร่างนี้มา เพราะปัญหาที่ร่างนี้ต้องเผชิญนับว่าใหญ่หลวงไม่น้อย

 

เป็นเรื่องบังเอิญที่โชคดีมากเสียจริงๆ

 

แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ในตอนที่ตนเองได้เข้าสู่ร่างกายนี้ มันกลับไม่หลงเหลือร่องรอยของพระสันตะปาปาคนเก่าเสียแล้ว

 

ดังนั้นเธอจึงไม่ได้รับความทรงจำใดๆมาเลย

 

บนจอม่านแสง เวโรน่ายังคงคุกเข่าต่อหน้าเทพแห่งความตายที่หลับไหล เปล่งวาจาสัตย์อย่างเคร่งขรึมจริงจัง

 

เหตุการณ์นี้ดำเนินไปอีกราวๆ2-3 นาที

 

สายตาของพระสันตะปาปาก็เบนไปตกลงบนรูปปั้น

 

เทพแห่งความตายที่หลับไหล

 

กล่าวกันว่าเทพแห่งความตายกำลังปกป้องตระกูลเมดิซี

 

—แต่ในโลกที่ตัวพระสันตะปาปารู้จัก กลับไม่เคยได้ยินถึงมอนสเตอร์อย่างเทพแห่งความตายนี้มาก่อนเลย

 

เดิมทีเธอกะว่าหลังจากเอาชนะราชวงศ์เมดิซีได้อย่างเด็ดขาดแล้วจึงค่อยมาตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้งอย่างช้าๆ

 

แต่น่าเสียดายเหลือเกิน ที่ในที่สุด ก็ยังไม่ค้นพบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใดๆ

 

มีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่ได้รู้

 

ประการแรก ครั้งหนึ่งในอดีต เทพแห่งความตายได้เคยปรากฏตัวขึ้น

 

ประการที่สอง มันกำลังหลับไหลอยู่

 

อย่างไรก็ตาม เทพแห่งความตายมันคืออะไรกันแน่?

 

ทำไมตระกูลเมดิซีถึงได้เคารพบูชามัน?

 

ไม่มีใครรู้คำตอบนี้

 

ว่ากันว่าความลับนี้ มีเพียงกษัตริย์แห่งจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์และพระสันตะปาปาที่แท้จริงเท่านั้นที่รู้คำตอบ

 

สิ่งเดียวที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันมีอยู่จริงก็คือ ตรายมทูต … สัญลักษณ์แห่งความตาย

 

สัญญาชีวิตนั่นเอง

 

และสิ่งนี้ กษัตริย์แห่งจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ส่งต่อมันให้แก่แอนนาไปแล้ว

 

และตัวเธอเอง ก็ได้ส่งผู้คนออกไปเป็นจำนวนมาก ทว่ากลับยังจับตัวแอนนาไม่ได้เลย

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ อารมณ์ของพระสันตะปาปาก็ขุ่นมัวทันที

 

“เวโรน่าไม่ได้เชิญเราใช่ไหม”

 

“เชิญขอรับ”

 

“โอ้?”

 

สีหน้าของพระสันตะปาปาเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

ผู้หญิงคนนี้ … ไม่ง่ายเหมือนกันนี่

 

เธอเกือบจะฆ่าคนในตระกูลเมดิซีทั้งหมด ทว่าอีกฝ่ายกลับเชื้อเชิญตนเพื่อไปเข้าร่วมพิธี

 

หญิงนางนี้กล้าเผชิญหน้ากับข้า  เพราะคิดว่าจริงๆแล้วข้าไม่กล้าที่จะลงมือใช่หรือไม่?

 

ไม่น่าใช่ … คนอย่างเวโรน่าจะต้องมีความคิดอื่นแอบแฝงอยู่ด้วยอย่างแน่นอน

 

ดูเหมือนว่าข้าจะต้องกลับมาจริงๆ คงจะไม่สามารถปล่อยเรื่องพวกนี้ไว้เฉยๆโดยไม่จัดการไม่ได้อีกแล้ว

 

พระสันตะปาปากล่าว “ฟูซีมีจัดเลี้ยงมื้อเที่ยงหรือไม่?”

 

“มีขอรับ”

 

พระสันตะปาปาลุกขึ้นและกล่าวว่า “เจ้ามากับข้า เราไปดูกันว่าทางฟูซีกับรัฐบาลกลางกำลังวางแผนอะไรอยู่”

 

“น้อมรับคำสั่ง รถเหินเวหาถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมที่จะเดินทางทุกเมื่อ” ฮัทท์กล่าวด้วยความเคารพ

 

“ดีมาก ข้าสงสัยนักเชียวว่าพอได้เห็นข้า เวโรน่าจะทำหน้ายังไง” พระสันตะปาปากล่าว

 

เธอเหลือบมองพิธีราชาภิเษกบนจอม่านแสง บังเกิดระลอกคลื่นของความหงุดหงิดอันยากจะอธิบายขึ้นในจิตใจ

 

ราวกับว่าในอากาศ จะมีแรงที่มองไม่เห็นกำลังบีบคอเธอจนหายใจได้ลำบากอยู่

 

“ปิดมันซะ ไม่มีสิ่งใดน่าดึงดูดพอจะให้ดูอีกต่อไปแล้ว” พระสันตะปาปาสั่ง

 

“รับทราบ”

 

“พวกเราก็ไปกันเถอะ”

 

สาวกศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดยืนขึ้นอย่างพร้อมเพรียง และออกเดินตามไปส่งเธอข้างนอก

 

ทว่ามาได้เพียงครึ่งทาง พระสันตะปาปาก็หยุดฝีเท้าลง

 

“มีบางอย่างไม่เหมาะสม” เธอเอ่ยพึมพำ

 

“สมเด็จพระสันตะปาปา มีอะไรหรือขอรับ?” ฮัทท์เอ่ยถาม

 

“ ทอง , ไม้ , น้ำ , ไฟ , ดิน , ลม , สายฟ้า , แสงสว่าง , ความมืด และเสียง ธาตุทั้งสิบกำลังเกิดความโกลาหล พวกมันถูกเติมเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า”

 

พระสันตะปาปาพยายามรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างเงียบๆ แล้วจู่ๆสีหน้าของเธอค่อยๆเปลี่ยนไป!

 

เธอตะโกนลั่น “เร็วเข้า! รีบสั่งการแจ้งเตือนทั้งหมด เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับศัตรู!”

 

“ขอรับ!”

 

สาวกศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดเปิดสมองควอนตัมของตนเอง และออกคำสั่งไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาทันที

 

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ที่บังเกิดเสียงระเบิดจากระยะไกลออกไปขึ้นประปรายลอยมาตามสายลม

 

พระสันตะปาปาโบกมือ และไพ่กว่าสิบใบก็ปรากฏขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า ร่วงตกลงในมือของเธอ

 

เธอกล่าวอย่างเฉียบขาด “ออกไปกับข้า ไปดูหน้าคนบาปเหล่านั้นกันว่ามันเป็นใคร!”

 

ฮัทท์กล่าวหยันด้วยรอยยิ้มฉกาจฉกรรย์ “ใครกันที่กล้ามาสร้างปัญหาในเมืองหลวงของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ เดี๋ยวก็ – ”

 

ตูม!

 

พื้นดินสั่นสะเทือน

 

หลังคาของโบสภ์ใหญ่ทั้งหมดถูกระเบิดออก

 

ตามด้วยกลุ่มแสงหลากสีสันแลดูงดงามปรากฏตัวขึ้น ลอยเด่นอยู่กลางเวหา