“เหลิ่งรั่วปิง คุณตั้งใจ!” หนานกงเยี่ยทำท่าทางแยกเขี้ยวยิงฟัน
“เปล่าค่ะ…ไม่ใช่แบบนั้น” เหลิ่งรั่วปิงจึงรีบส่ายหัวอธิบาย
เขาไม่ให้โอกาสเธอได้อธิบาย จูบของหนานกงเยี่ยประกบลงมาดั่งฝนที่ตกลงมาจากฟ้า ยิ่งจูบก็ยิ่งได้อารมณ์
ตลอดทั้งเมื่อคืน ตอนแรกเหลิ่งรั่วปิงก็ขับรถซิ่งเพื่อที่จะไปฆ่าคน และหลังจากเที่ยงคืนก็ได้ทำเรื่องอย่างว่ากับเขาอย่างดูดดื่ม ตอนนี้เธอแทบจะไม่มีแรง ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถตขัดขืนเขาได้ ขณะที่เธอกำลังจะถูกเขากลืนกินเข้าไปนั้น ท้องของเธอก็ได้ช่วยชีวิตเธอเอาไว้
“จ๊อกๆ” ท้องของเหลิ่งรั่วปิงร้องเพราะความหิว จึงได้เป็นสิ่งที่หยุดกระทำของเขา
หนานกงเยี่ยหยุดการกระทำของตนเองลง ใบหน้าที่ดูดีของเขาเร่าร้อนด้วยความต้องการ จู่ๆ ก็ดูหม่นหมองขึ้นมาทันที เหมือนคนที่กำลังจะเพลิดเพลินไปกับงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยอาหารหลากหลายอย่าง แต่แล้วก็เห็นแมลงวันตัวหนึ่งบินมาอย่างกะทันหัน
เหลิ่งรั่วปิงก็รู้สึกเซ็งมาก เธอรู้สึกอายจริงๆ
ผ่านไปสักพัก หนานกงเยี่ยรู้สึกหงุดหงิดแล้วแสยะยิ้มออกมา “เหลิ่งรั่วปิง คุณให้เกียรติสถานการณ์ตอนนี้หน่อยได้ไหม”
เหลิ่งรั่วปิงเบะปาก เธอไม่พูดไม่จา ทว่าสีหน้าของเธอกำลังบอกเขา นี่เป็นปฏิกิริยาที่ปกติของร่างกาย เธอไม่สามารถควบคุมมันได้
หนานกงเยี่ยจึงลุกขึ้น “ใส่เสื้อแล้วไปกินข้าวกันเถอะ”
หลังจากที่เหลิ่งรั่งปิงถูกปล่อยตัว เธอจึงรีบลุกขึ้นจากเตียง แล้วรีบใส่เสื้อให้เร็วที่สุด
อาหารเช้านั้นสมบูรณ์แบบมากๆ มีซูชิ นมสด เนยก้อน และกุ้งชุบแป้งทอด แล้วยังมีโจ๊ก ผักกาดดอง เสี่ยวหลงเปา แม่บ้านในวิลล่าหย่าเก๋อนั้นปฏิบัติหน้าที่ได้ดีมาก รู้ว่าเจ้านายทั้งสองคนนั้นชอบอาหารที่ไม่เหมือนกัน จึงได้ทำตามอาหารที่แต่ละคนชอบ
หนานกงเยี่ยจึงเอาซูชิทาแยม จากนั้นก็กินอย่างสง่า ผู้ชายคนนี้ดูหยิ่งมากๆ แม้กระทั่งตอนกินข้าวยังให้ความรู้สึกว่าเขาเหมือนกับราชา
เหลิ่งรั่วปิงก็ไม่ได้คนที่หยาบคาย คำว่าสง่าผ่าเผยก็เป็นคำศัพท์ที่แทนตัวเธออยู่แล้ว เธอดื่มโจ๊กไปไม่กี่คำ จากนั้นก็คีบเสี่ยวหลงเปาขึ้นมา ถึงแม้จะกินได้เร็วมาก ทว่าดูยังไงก็รู้สึกว่าเธอดูสง่าและมีเสน่ห์
หนานกงเยี่ยจึงรู้สึกสนใจเธอมาก “เหลิ่งรั่วปิง คุณคือผู้หญิงแบบไหนกันแน่”
เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มหวาน แล้วพูดขึ้นอย่างกวนประสาท “คิดว่าคงจะเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนแปลงได้เป็นหลายๆ บุคลิก ทว่าฉันเป็นคนยังไง คิดว่าก็คงไม่สำคัญกับคุณหนานกงหรอก อีกครึ่งเดือน ฉันกับคุณก็กลายเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันแล้ว”
หนานกงเยี่ยที่สนใจตัวเธอในตอนแรก กลับถูกคำพูดที่เหมือนน้ำเย็นหนึ่งกะละมังสาดเข้าตัวของเขา จนทำให้เขาล้มเลิกความคิดนั้นไป ยัยผู้หญิงคนนี้ เธอจะพูดถึงเวลาที่พวกเขาจะเลิกกันอยู่ตลอดเวลาเลยหรือไง
“คุณรีบที่จะไปจากผมขนาดนั้นเชียว?” หนานกงเยี่ยจึงวางซูชิลง แล้วมองเหลิ่งรั่วปิงด้วยความเลือดเย็น
จู่ๆ เหลิ่งรั่วปิงก็รู้ตัวว่าตัวเองกระทำความผิด ต่อให้ผู้ชายคนนี้ไม่ชอบเธอ แต่เขาก็ไม่หวังว่าเธอจะแสดงพฤติกรรมที่ไม่แคร์เขา เพราะว่านี่มันเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีและความมีเสน่ห์ของเขา
เหลิ่งรั่วปิงจึงยิ้มเพื่อเอาใจเขา “ไม่ใช่ค่ะ ฉันแค่รู้ตัวดี คุณหนานกงไม่ชอบฉัน และยังสงสัยว่าฉันวางแผนการบางอย่างที่เป็นอันตรายกับตัวคุณ ฉันก็แค่อยากจะแสดงว่าฉันจะไม่มีทางพัวพันกับคุณ และทำให้คุณวางใจเท่านั้น จะได้หลีกเลี่ยงสถานการณ์ในตอนที่คุณอารมณ์ไม่ดี แล้วจะใช้ปืนจี้หัวของฉัน”
หลังจากที่ผ่านชีวิตเสี่ยงตายจากเมื่อคืน เหลิ่งรั่วปิงพึ่งจะรู้สึกว่าเธอได้ป่วยเป็นโรคชนิดหนึ่ง เป็นโรคที่แค่เห็นหนานกงเยี่ยทำสีหน้าที่หม่นหมอง เธอก็จะพยายามเกลี้ยกล่อมเพื่อเอาใจเขาให้มีความสุขอย่างสุดความสามารถ ถ้าเกิดเธอได้สิทธิ์โปรเจคดีไซน์แลนมาร์กนั้นมา ตอนที่มันตกอยู่ในมือของเธอ ก็จะเป็นเวลาที่พลิกชีวิตเธอ
คำตอบของเธอกลับไม่ได้ทำให้หนานกงเยี่ยดีใจ เขากลับทำสีหน้าที่ขุ่นเคืองใจกว่าเดิม น้ำเสียงเย็นชาจนทำให้คนตกอกตกใจ “ถึงแม้ว่าการที่เราจะต้องเลิกกันเป็นเรื่องจริง แต่ผมก็ไม่หวังว่าตอนที่เราอยู่ด้วยกัน คุณจะเอาแต่พูดคำว่าเลิกให้ผมได้ยิน เข้าใจไหม”
“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ!” เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้าในทัที
หนานกงเยี่ยก็ไม่มีอารมณ์กินข้าวอีกต่อไป จึงได้ดึงทิชชู่มาหนึ่งแผ่น แล้วเช็ดมือ จากนั้นก็โยนเศษทิชชู่ลงบนโต๊ะอย่างเย็นชา และลุกขึ้นเดินออกจากห้อง ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงสุดท้ายก็ไม่ได้ให้สีหน้าที่ดีกับเหลิ่งรั่วปิงเลย