บทที่ 57 เรื่องมงคลคู่

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

เผยเยี่ยนและโจวจื่อจินก็จากไปเช่นนี้ หูซิ่งมองอย่างตกตะลึง ขวางเผยหม่านที่เตรียมจะออกไปสะสางธุระ “พ่อบ้านใหญ่ ปกติเจ้าก็พูดคุยกับนายท่านสามเช่นนี้รึ? เจ้าไม่กลัวนายท่านสามโกรธหรอกหรือ?”

เผยหม่านกล่าว “สิ่งที่นายท่านสามเกลียดที่สุดคือคนอื่นไม่พูดความจริง ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ยอมพูดแต่อย่างใด เจ้าปฏิสัมพันธ์กับนายท่านสามนานเข้าก็จะรู้เอง”

หูซิ่งครุ่นคิด ตัวเองเข้าจวนตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ทั้งเป็นคนแก่ในเรือนไปแล้ว แบบไหนจึงจะเรียกว่าปฏิสัมพันธ์ยาวนานกับนายท่านสามอีก?

นี่ไม่ใช่คำกล่าวไร้สาระ

เหตุที่หูซิ่งผู้นี้สามารถโดดเด่นท่ามกลางสกุลเผยที่บ่าวรับใช้เต็มจวนได้ นอกจากฉลาดเฉลียว ทะเยอทะยาน ข้อได้เปรียบที่สุดก็คือรู้จักตรวจสอบความคิดการกระทำของตัวเอง

แม้ว่าเขาจะไม่พอใจ แต่ยังคงครุ่นคิดถึงสีหน้าและท่าทางที่เผยเยี่ยนคุยกับเผยหม่านเมื่อครู่อยู่หลายครั้ง จู่ๆ ก็เข้าใจความหมายของเผยหม่านขึ้นมาบ้าง

ด้านสกุลอวี้ หลายวันนี้สามารถเรียกได้ว่าเรื่องมงคลคู่มาเยือนถึงหน้าประตู

เริ่มจากเรื่องงานแต่งของอวี้หย่วนและคุณหนูเซียง แม้ว่าจะมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่สุดท้ายยังคงแลกเปลี่ยนวันเดือนปีเกิดของทั้งคู่อย่างเป็นทางการแล้ว ผ่านเทศกาลฉงหยางไปก็จะส่งมอบสินสอดแล้ว ยามที่คนสกุลหวังนึกถึงเรื่องนี้ล้วนคิดกังวลภายหลังอยู่บ้าง ลอบกล่าวกับคนสกุลเฉิน “คาดไม่ถึงว่าแม่เลี้ยงของคุณหนูเซียงจะร้ายกาจเพียงนี้ กล่าวว่างานแต่งครั้งนี้ไม่ได้บอกผ่านนางก่อน นางไม่เห็นด้วย ยังดีที่นายหญิงเว่ยกล้าจัดการแทนคุณหนูเซียง ไม่กลัวว่าจะล่วงเกินแม่เลี้ยงของคุณหนูเซียง ยกแม่ที่ล่วงลับไปของคุณหนูเซียงออกมา ต้อนให้แม่เลี้ยงคุณหนูเซียงถอยหลบไป ข้ากลัวก็แต่ว่าภายหลังคุณหนูเซียงคงไม่มีสกุลมารดาให้กลับแล้ว”

คนสกุลเฉินคิดว่าคนสกุลหวังตีตนไปก่อนไข้ “คุณหนูเซียงในตอนนี้ มีสกุลมารดาก็เหมือนไม่มี ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่เล็กก็เติบใหญ่มากับนายหญิงเว่ย สนิทสนมกับลูกพี่ลูกน้องยิ่งกว่าพี่น้องของตัวเองเสียอีก ภายหลังจะยกเอาสกุลเว่ยเป็นสกุลมารดาอย่างเป็นทางการก็คงไม่ต่างกัน ข้าว่านายหญิงเว่ยกล้าแข็งข้อเช่นนี้กับแม่เลี้ยงของคุณหนูเซียง ก็เพราะว่าวางแผนจะทำเช่นนี้กระมัง? มิเช่นนนั้นจะจัดการเรื่องอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ต่อหน้าพวกเราไปทำไม”

คนสกุลหวังใคร่ครวญดูก็คิดว่ามีเหตุผล อดสงสารคุณหนูเซียงขึ้นมาไม่ได้ “คนอื่นพูดว่าลูกสาวออกเรือนก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป ข้าก็จะทำเหมือนว่าข้ามีลูกสาวเพิ่มอีกคน ปฏิบัติกับคุณหนูเซียงดีๆ ก็แล้วกัน”

ในขณะที่ทั้งสองคนแสดงความเห็นอกเห็นใจคุณหนูเซียง นายท่านเซียงกลับแอบมาพบอวี้เหวินอย่างเงียบๆ มอบกล่องไม้หอมใบเล็กให้อวี้เหวิน ให้เขาส่งต่อแก่คุณหนูเซียง กล่าวว่านายหญิงเว่ยให้คุณหนูเซียงแต่งงานในนามสกุลเว่ย แม่เลี้ยงคุณหนูเซียงตอบรับแล้ว ภายหลังกลัวว่าคุณหนูเซียงคงยากที่จะได้กลับเรือนไปเยี่ยมเขาซึ่งเป็นพ่อ นี่เป็นความอาทรเล็กๆ สุดท้ายที่พ่ออย่างเขาพอจะทำเพื่อคุณหนูเซียงได้ ให้คุณหนูเซียงรับไว้ ภายหลังก็เก็บไว้ให้ลูกหลานตัวเอง

อวี้เหวินรู้สึกว่าแม้นายท่านเซียงจะแต่งนายหญิงที่มีฐานะเกินตัวเข้ามา แต่เล่นแง่แค่นี้นับว่ายังน้อยไป ไม่ได้ชื่นชมนายท่านเซียงเท่าใด แต่ก็ไม่ได้คิดมาก นำกล่องนี้ส่งให้อวี้หย่วน อวี้หย่วนคิดว่าไม่ว่าจะอย่างไรสิ่งนี้ก็เป็นของแทนใจของนายท่านเซียง เพื่อไม่ให้คุณหนูเซียงคิดว่าตัวเองออกเรือน บิดากลับไม่สนใจอันใด เขาจึงส่งไปให้สกุลเว่ยในคืนนั้น

นายหญิงเว่ยเพราะปรึกษาเรื่องสินเดิมในการออกเรือนของคุณหนูเซียงกับสกุลเซียงจึงเกิดขัดแย้งกันขึ้นมา นางคิดว่ายามนี้นายท่านเซียงมีชีวิตอยู่ นายหญิงเซียงยังกล้ากดขี่ข่มเหงคุณหนูเซียงอย่างนี้ ภายหลังหากนายท่านเซียงไม่อยู่แล้ว เกรงว่าสกุลเซียงจะทำเป็นไม่มีลูกสาวคนนี้ไป คิดที่จะเรียกร้องสินเดิมจากสกุลเซียงให้คุณหนูเซียงมากหน่อย เวลานี้จึงทะเลาะกับนายหญิงเซียงขึ้นมา เพียงแต่เรื่องนี้ทุกคนล้วนห่วงเรื่องหน้าตา ไม่ว่าจะนายหญิงเว่ยหรือนายหญิงเซียงต่างก็ไม่ได้เอาไปพูดข้างนอกตรงๆ

วันนี้เห็นอวี้หย่วนส่งของเข้ามา นายหญิงเว่ยก็โมโหจนเขวี้ยงกล่องไม้นั้นลงพื้น “ใครต้องการของจอมปลอมของเขากัน กล่าวว่าอะไรนะ นอกจากสินเดิมของแม่อาอิงและเงินสามพันตำลึง ก็ไม่มีอะไรไปมากกว่านี้…”

นางพูดยังไม่ทันจบ ทุกคนต่างก็ตกตะลึง

กล่องไม้ที่ร่วงลงบนพื้นดัง ‘ตุ้บ’ ถูกเปิดออก ตั๋วเงินกองใหญ่ถูกลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงพัดปลิวราวกับผีเสื้อที่บินว่อน

“เร็ว เร็วเข้า” ยังคงเป็นนายท่านเว่ยที่สั่นเทิ้ม ดึงสติกลับมาเป็นคนแรก “อย่าให้ลมพัดไปเชียว ตั๋วเงินของร้านขายเครื่องเงินพวกนี้เริ่มที่สิบตำลึง ข้าดูขนาดแล้วอย่างน้อยก็คงประมาณหนึ่งร้อยตำลึง…”

นายหญิงเว่ยก็ตะลีตะลาน รีบเรียกอวี้หย่วน “ยังยืนนิ่งอยู่ที่นั่นทำไม รีบเก็บตั๋วเงินพวกนี้ขึ้นมาเร็วเข้า”

อวี้หย่วนใจฝ่อเป็นอย่างยิ่ง ล้วนไม่รู้ว่าตัวเองถูกให้ค้างคืนที่สกุลเว่ยได้อย่างไร ทั้งรีบเดินทางกลับมาสกุลอวี้ตั้งแต่ยามที่ประตูเพิ่งเปิดได้อย่างไร จำได้เพียงว่ายืนสั่นอยู่เบื้องหน้าคนสกุลหวังเอ่ยกับบิดา “ตั๋วเงินเยอะมากจริงๆ นายหญิงเว่ยกล่าวว่า อย่างน้อยก็มีประมาณสี่หมื่นห้าหมื่นตำลึง สามารถซื้อร้านขายเครื่องเงินสกุลเผยในถนนฉางเซิ่งแห่งนั้นจนหมดเกลี้ยงได้ ยังถามข้าว่า เอาเงินไปไว้ในร้านขายเครื่องเงินก็ได้ไม่กี่บาท ถามข้าว่าอยากซื้อร้านค้าสักแห่งในหังโจว แล้วย้ายไปค้าขายที่นั่นหรือไม่”

คนสกุลหวังและอวี้ป๋อต่างก็ตกใจ เรียกอวี้เหวินและคนสกุลเฉินตื่นจากฝัน ถามเรื่องนี้กับอวี้เหวินว่าควรทำอย่างไรดี “สกุลเว่ยหมายความว่าอยากให้อาหย่วนย้ายไปหังโจว? หรือว่าเพียงอยากถามสกุลพวกเราว่าเงินมากมายขนาดนั้นจะใช้อย่างไร?”

อวี้ถังสะดุ้งตื่นจากเสียงดัง ยังคงสับสนมึนนงงอยู่บ้าง ได้ยินคำพูดนี้ก็ตื่นเต็มตาขึ้นมา

นางพยายามนึกเรื่องในชาติก่อน

ยังคงไม่เคยได้ยินเรื่องสกุลเว่ยกับคุณหนูเซียงจริงๆ

ทั้งไม่รู้ว่าชาติที่แล้วคุณหนูเซียงแต่งไปสกุลใด

งานแต่งของญาติผู้พี่ครั้งนี้นับว่าทุบถูกไข่ทองคำจริงๆ

อวี้เหวินกลับเผยท่าทีปกติ หาวหวอดอยู่เบื้องหน้าพี่ชายที่นั่งไม่ติดที่ “ข้าเพียงได้ยินมาบ้างว่าสกุลเซียงมีเงิน ตอนแรกที่สกุลเสิ่นและสกุลเซียงเกี่ยวดองกัน ถึงกระทั่งไม่รังเกียจนายท่านเซียงที่เคยแต่งงานมาแล้ว ล้วนเป็นเพราะนายท่านเซียงผู้นี้ทำการค้าขายเก่งเป็นอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ จากความเห็นข้า พวกเจ้าควรจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นไป หรือไม่มีตั๋วเงินสี่หมื่นห้าหมื่นตำลึงนี้ พวกเจ้าก็จะไม่รับคุณหนูเซียงเข้าสกุลแล้ว?”

อวี้ป๋อได้ยินน้องชายกล่าวเช่นนี้ ก็ค่อยสงบลงมา ครุ่นคิดเล็กน้อย “เจ้าพูดมีเหตุผล เป็นพวกเราที่เห็นเงินก็เกิดความคิดชั่ววูบ สูญเสียความตั้งใจเดิมไป สินเดิมอย่างไรก็เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของสะใภ้ นางจะใช้อย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนาง ข้าเพียงกลัวว่าถึงเวลานั้นอาหย่วนของพวกเราจะเสียเปรียบ”

อวี้เหวินบอกเป็นนัยให้ป้าเฉินไปชงชาเข้มๆ ให้เขา พอได้จิบชา เวลานี้จึงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ก่อนจะให้ป้าเฉินไปทำอาหารเช้า “เดิมทีสกุลเว่ยสนใจสกุลพวกเรา ไม่ใช่เพราะพวกเราอบรมเลี้ยงดูพวกลูกๆ ได้ดีหรอกรึ? พวกเราไม่อาจตำหนิสกุลอื่นที่ร่ำรวยเพียงเพราะสกุลตัวเองไม่มีเงินเหมือนพวกเขาได้กระมัง?”

“มิผิด มิผิด” อวี้ป๋อกล่าว

“ดังนั้นทุกคนจึงต้องรักษาความตั้งใจเดิม” อวี้เหวินยากที่จะมีโอกาสอธิบายเหตุผลให้พี่ชายตัวเองฟัง วางท่าพูดอย่างน้ำไหลไฟดับอยู่บ้าง “พวกเราต้องไม่นึกถึงเงินของคนอื่น เวลานี้สู้สกุลอื่นไม่ได้ หรือจะสู้ไม่ได้ทั้งชั่วชีวิตเชียว ภายหลังลูกสะใภ้แต่งเข้ามา ตรงไหนไม่ดีก็ต้องพูด ตรงไหนที่ดีแล้วก็ยังคงต้องพูดชม อย่าได้สูญเสียความเที่ยงธรรมก็เพียงพอแล้ว…”

ยามที่บิดาพูด อวี้ถังก็เอาแต่มองญาติผู้พี่อยู่ตลอด

นางเห็นหูของอวี้หย่วนแดงไปหมด หาโอกาสลอบย้ายไปนั่งข้างๆ เขา กระซิบข้างหู “ท่านคงไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองก็แปลกๆ ไปเช่นกันกระมัง?”

อวี้หย่วนมองท่านอาที่กำลังพูดคุยกับบิดามารดาเขาอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเบา “มีบ้าง แต่ข้าคิดว่าท่านอาพูดถูก คนอื่นมีเงินก็เป็นเรื่องของคนอื่น ขอเพียงแค่พวกเราไม่โลภมาก ย่อมสามารถเดินทางที่ซื่อตรง นั่งอย่างผ่าเผยได้” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยต่ออย่างสองจิตสองใจ “แต่ว่ายามที่นายหญิงเว่ยบอกให้ข้าซื้อร้านค้าแห่งหนึ่งในหังโจว ข้านั้นหวั่นไหวอยู่จริงๆ หรือเวลานั้นที่ข้าคิดฟุ้งซ่าน เป็นเพราะเกิดละโมบขึ้นมา”

นี่ไม่อาจโทษอวี้หย่วนได้ อวี้ถังครุ่นคิด ตั้งแต่ครั้งก่อนที่นาง บิดาและพี่ชายไปหังโจวด้วยกัน กระทั่งนางก็คิดว่าทำการค้าขายที่หังโจวจะรุ่งเรืองกว่า ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองชาติอวี้หย่วนล้วนคิดจะทำการค้าใหญ่ ต้องการให้สกุลอวี้มีการพัฒนาก้านหน้าขึ้น

ทุกคนในครอบครัวพูดคุยเรื่องนี้เกือบหนึ่งชั่วยาม เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่าง จึงล้อมวงกินข้าวด้วยกัน

อวี้เหวินยังไม่ทันแกะไข่เค็มเสร็จดี หูซิ่ง พ่อบ้านสามของสกุลเผยก็มาหาถึงหน้าประตู อวี้หย่วนตกใจ พวกผู้หญิงในเรือนต่างรีบยกจานข้าว เข้าไปหลบในห้องครัว ด้านอวี้เหวินก็เชิญหูซิ่งกินข้าวเช้าด้วยกัน

“กินตั้งแต่เช้าแล้ว” หูซิ่งยิ้มจนแก้มแทบปริ “ข้าตั้งใจมาบอกพวกเจ้าว่า อีกเดี๋ยวหมอหลวงหยางจะกลับซูโจว ก่อนไปจะเข้ามาตรวจอาการให้นายหญิงท่าน เรื่องกะทันหันอยู่บ้าง ข้าจึงล่วงหน้ามาบอกกล่าวก่อน อาหารเช้าไม่เป็นไรหรอก สักพักยังต้องเข้ามาเป็นเพื่อนหมอหลวงหยาง”

สกุลอวี้ย่อมดีใจกับเรื่องที่คาดไม่ถึง

อวี้เหวินไปส่งหูซิ่งออกจากประตูด้วยตัวเอง กล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้ง

หูซิ่งยิ้มขัด “นี่เป็นความต้องการของนายท่านสาม ภายหลังขอเพียงหมอหลวงหยางมาหลินอัน ก็เข้ามาตรวจสุขภาพให้นายหญิงของท่านด้วย หากพวกท่านอยากขอบคุณอะไร บอกกล่าวกับนายท่านสามและหมอหลวงหยางก็เพียงพอแล้ว ข้าแค่เป็นคนวิ่งเรื่องแทน ท่านทำเช่นนี้ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก”

เมื่อก่อนคนของสกุลเผยก็เกรงอกเกรงใจต่อสกุลอวี้ กลับไม่เหมือนตอนนี้ ในความเกรงใจแฝงด้วยความเคารพอยู่หลายส่วน พี่น้องสกุลอวี้ย่อมมองออกถึงความแตกต่างภายใน ส่งหูซิ่งไปแล้ว อวี้เหวินก็อดเอ่ยกับอวี้ป๋อไม่ได้ “นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่?”

อวี้ป๋อคิดวนไปเวียนมาก็ยังไม่เข้าใจ เอ่ยเพียงว่า “อาการป่วยของน้องสะใภ้ มีหมอหลวงหยางดูแล ย่อมสามารถรักษาจนอาการดีขึ้น หายขาดจากโรคภัย นี่เป็นเรื่องดี เรื่องของภายหลังก็ค่อยพูดกันภายหลังเถิด”

อวี้เหวินเกาศีรษะ

อวี้ถังก็ไม่รู้ว่าเผยเยี่ยนหมายความว่าอย่างไร แต่คิดไปคิดมาอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องดี ติดหนี้มาก กังวลไปก็ไร้ประโยชน์ หนี้ที่พวกเขาติดค้างสกุลเผยไม่อาจจะทดแทนในเวลาสั้นๆ ได้ แค่จำไว้ก่อนก็เพียงพอแล้ว

หลังจากหมอหลวงหยางมาจับชีพจรให้คนสกุลเฉิน ปรับเปลี่ยนสำรับยาเล็กน้อย กำชับให้อวี้เหวินอย่าให้คนสกุลเฉินเหน็ดเหนื่อยเกินไป ทั้งยามที่คนสกุลเฉินโมโหก็อย่าได้เดินจากไปเฉยๆ

สกุลอวี้กลับพากันดีอกดีใจ นึกถึงฤดูร้อน คนสกุลเฉินก็จะไม่ป่วยไข้อีกแล้ว ภายหลังขอเพียงหมอหลวงหยางให้ยารักษาคนสกุลเฉินต่อ ไม่ช้าก็เร็วอาการคนสกุลเฉินย่อมจะดีขึ้น ด้านอวี้เหวินก็คิดจะส่งวัตถุโบราณให้เผยเยี่ยนสักชิ้นหนึ่ง

น่าเสียดายที่สกุลอวี้มีทรัพย์สินในบ้านเพียงน้อยนิด อวี้เหวินหาอยู่หลายวันก็ยังคงหาของที่เหมาะสมไม่ได้

ด้านอวี้ถังก็ครุ่นคิดว่าจะขอพี่น้องสกุลชวีของตำบลป่านเฉียวมาช่วยตัวเองทำเรื่องเหมือนชาติที่แล้วดีหรือไม่

ชาติก่อน เพื่อที่คนสกุลหลินจะขังนางอยู่ในสกุล ยามที่นางถือป้ายวิญญาณของหลี่จวิ้นเข้าสกุลก็ป่าวประกาศไปทั่วว่านางตั้งประณิธานครองพรหมจรรย์ให้หลี่จวิ้น ถึงขั้นที่คนของสกุลหลี่กล่าวว่า สกุลหลี่จะแย่งซุ้มเกียรติยศความซื่อสัตย์กลับมาหรือไม่ ก็ต้องฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่นางแล้ว

นี่เป็นสาเหตุที่ค้นพบภายหลังว่าสกุลหลี่เป็นเหมือนหนองบึงโคลนลึก คิดจะหลบหนีจากสกุลหลี่กลับต้องเสียเวลาห้าหกปี

เวลานั้นการตายของลุงใหญ่และญาติผู้พี่ทำให้นางรู้สึกว่าสิ่งที่สกุลของตัวเองได้เผชิญมีความเกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ เพื่อหาหลักฐาน นางขอความช่วยเหลือจากข้ารับใช้ผู้มีอิทธิพลในเมืองหลินอันอยู่บ่อยครั้ง ทั้งถูกหลอกหลายคราเช่นกัน…เพราะอยู่ในนามหญิงหม้ายของสกุลหลี่ นางไม่กล้าออกหน้าด้วยตัวเอง มักจะยืมมือคนอื่นสืบเรื่องสกุลหลี่ ด้วยเหตุนี้คนส่วนมากเมื่อรับเงินนางไปแล้วกลับไม่ช่วยนางทำเรื่อง ทั้งทำให้นางไม่ค่อยมีเงินช่วยเหลือป้าสะใภ้ใหญ่เช่นกัน

พี่น้องสกุลชวี นับว่าเป็นคนที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือในหมู่ข้ารับใช้ผู้มีอิทธิพลพวกนี้แล้ว

————————-