เพียงแต่ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนมีข้อดีและข้อเสียทั้งนั้น
แม้พี่น้องสกุลชวีจะน่าเชื่อถือ แต่ราคาที่ต้องจ่ายก็ไม่น้อยเช่นกัน
เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ล้วนต้องใช้แปดถึงสิบตำลึง หากยากหน่อย ก็ต้องจ่ายถึงยี่สิบสามสิบตำลึง
ยามนี้อวี้ถังก็กำลังเผชิญสถานการณ์ลำบากเหมือนชาติก่อน…คือไม่มีเงิน!
ไม่สิ ยามนี้นางถึงขั้นยากจนกว่าชาติก่อนด้วยซ้ำ
ชาติก่อนอย่างไรนางก็มีสินเดิมคอยช่วยเหลืออยู่บ้าง ยามนี้มารดาและบิดาอย่างมากที่สุดก็ให้เงินค่าขนมนางสองสามตำลึงเท่านั้น หากนางกล่าวว่าใช้หมดแล้ว ก็ยังถามต่ออีกว่าเอาไปใช้อย่างไร เงินหายไปที่ไหนหมด
ไม่กี่วันก่อนเพราะเรื่องของเว่ยเสี่ยวซาน นางก็แอบให้ข้ารับใช้ผู้มีอิทธิพลช่วยเป็นธุระ ล้วนเป็นงานสืบข่าวเล็กๆ ไม่ได้จำกัดว่าใครต้องเป็นคนทำ และแม้จะเป็นเช่นนี้ เงินเก็บของนางก็ถูกใช้ไปไม่น้อยแล้ว ย่อมไม่อาจขอร้องสองพี่น้องสกุลชวีได้แน่
หากนางสามารถหาเงินเหมือนคนอื่นได้ก็คงจะดี!
อวี้ถังหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก
นางนั่งเท้าศอกกับโต๊ะหนังสือใกล้หน้าต่าง มองดอกเบญจมาศในลานที่ใกล้จะบานสะพรั่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ทว่าในหัวกลับแล่นอย่างว่องไว
ชาติก่อน ตั้งแต่นางเริ่มสงสัยสกุลหลี่ นางก็ตรวจสอบเรื่องของสกุลหลี่เป็นอันดับแรก คอยจับตาดูคนของสกุลหลี่ เวลานั้นนางจึงได้รู้ว่า ที่แท้ผู้หญิงก็สามารถทำกิจการได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้หญิงทางซูโจวและหังโจว หลายคนที่นำเงินส่วนตัวลงทุนกับการค้าทางทะเล เรือเดินสมุทรกลับมาอย่างปลอดภัยก็สามารถหาเงินซื้อเรือนได้เป็นหลัง แต่หากเรือเดินสมุทรไม่อาจกลับมา ความเสียหายก็เทียบเท่าแค่เงินซื้อเครื่องแป้งผงชาดเท่านั้น
แต่ว่า ทำกิจการเช่นนี้จำเป็นต้องมีลู่ทาง
หากไม่ได้อาศัยที่บิดาหรือพี่ชายทำการค้าขาย ก็ต้องพึ่งพาเส้นสายจากญาติพี่น้อง
ไม่อย่างนั้นก็ง่ายจะถูกหลอก
นำเงินไป เพียงกล่าวว่าจะลงทุนกับกลุ่มเรือใด รอสักครึ่งปีหรือหนึ่งปี กลับมาพูดว่ากลุ่มเรือล่มแล้ว ขาดทุนย่อยยับ เงินที่จ่ายออกไปย่อมลงทุนโดยสูญเปล่า
แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนมีข้อยกเว้น
เจียงหลิง หญิงสาวสกุลเจียงเมืองซูโจว ยามอายุสิบหกปีก็แต่งให้กับคุณชายใหญ่ที่หมั้นหมายกันตั้งแต่ยังเด็ก อายุสิบเจ็ดกลายเป็นหม้าย
เริ่มพัฒนาจากจุดเล็กๆ ต่างจากหญิงสาวธรรมดาคนอื่น หลังจากครอบครัวตกอับ เพื่อเลี้ยงดูแม่สามีในยามชราและน้องสามีที่ยังอยู่ในวัยเด็ก จึงขายสินเดิมของตนเอง นำทรัพย์สินจำนวนมากร่วมลงทุนกับกลุ่มเรือสินค้าของเจียงเฉาผู้เป็นพี่ชาย เริ่มทำการค้าขายทะเลขึ้นมา เวลาสั้นๆ เพียงห้าหกปี ก็ทำให้สกุลเจียงที่เป็นพ่อค้าธรรมดากลายเป็นสกุลที่ร่ำรวยที่สุดในซูโจว สกุลอวี๋ก็มั่งคั่งชั่วข้ามคืนเพราะเรื่องนี้เช่นกัน กลายเป็นสกุลที่นับได้ว่าร่ำรวยในเมืองซูโจว
ก่อนที่อวี้ถังจะตาย สกุลเจียงนั้นกำลังคิดทะเยอทะยานจะทำการค้ากับราชวงศ์
สกุลหลี่อิจฉาตาร้อนเป็นที่สุด
เรื่องการค้าทางทะเล สกุลหลี่และสกุลหลินก็เคยเสียเงินไปไม่น้อยเพราะกลุ่มเรือส่งสินค้าเกิดปัญหาเช่นกัน
หลินเจวี๋ยถึงขั้นคิดจะอาศัยลู่ทางของสกุลเจียง เสนอความคิดกับหลี่ตวน “ทำการค้ากับราชวงศ์เป็นเรื่องง่ายขนาดนั้นที่ไหนกัน ราชสำนักไม่มีคนเลยรึ แทบไม่ต้องคิด เจ้ามิสู้พบปะกับเจียงเฉาเสียหน่อย ดูว่าสามารถร่วมลงทุนกันได้หรือไม่”
หลี่ตวนคิดว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยเป็นไปได้เท่าใด “กิจการของเจียงเฉามาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเท่าใดยินดีจะเพิ่มลายดอกลงบนผ้าแพร[1]! พวกเรารู้จักเจียงเฉาช้าไปหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นแถบซูโจวหังโจว มีสกุลขุนนางมากหน้าหลายตา มีสกุลที่ลึกลับซับซ้อนไม่รู้ตั้งเท่าใด สกุลของพวกเรายังนับว่าเทียบไม่ได้อยู่บ้างจริงๆ”
หลินเจวี๋ยแนะนำให้หลี่ตวนดีกับกู้ซีให้มากหน่อย “อย่าได้ทิ้งแตงโมไปเก็บงา[2] ปีนี้พี่ชายภรรยาของเจ้าไม่ทันสามสิบปีก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางหลางจง[3]กรมขุนนางแล้ว เจ้าอย่าได้ทำอะไรเลอะเลือนเชียว จะเสียการใหญ่เพราะสิ่งเล็กๆ”
แตงโมคือกู้ซี งาที่ว่าก็คืออวี้ถัง
หลี่ตวนนั้นรับฟัง มีช่วงหนึ่งที่รักใคร่กู้ซีปานจะกลืนกิน อวี้ถังโล่งใจไม่น้อย คิดว่าหลี่ตวนปล่อยนางไปแล้ว ใครจะรู้ว่าไม่ถึงครึ่งปี หลี่ตวนก็เริ่มออกลาย คิดวางแผนกับนางอีกครั้ง
นางรู้สึกไร้ค่าแทนกู้ซี ทั้งอิจฉาเจียงหลิงที่มีพี่น้องสกุลมารดาคอยสนับสนุน นางทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อยจึงค่อยใช้นามของอาเสา ลงเงินห้าสิบตำลึงร่วมลงทุนกับกลุ่มเรือสินค้าของเจียงเฉา
สองปีให้หลัง กลุ่มเรือสินค้าก็กลับมาอย่างปลอดภัยอีกครั้ง
อวี้ถังทำเงินได้สี่ร้อยตำลึง
เวลานั้น นางดีใจกับเรื่องที่ไม่คาดฝัน พลิกไปพลิกมานอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าเงินนี้จะเอาไปใช้อย่างไรดี
และก็นับเป็นโชคดี เพราะเงินพวกนี้ นางจึงสามารถนำไปสั่งการพี่น้องสกุลชวีได้ ท้ายที่สุดก็ถูกคนสกุลหลินและหลี่ตวนจัดการ หลุดพ้นจากสกุลหลี่ไป
วันนี้มาคิดดู ยามนี้สกุลเจียงยังไม่ได้ร่ำรวย หลายปีที่ผ่านมา เจียงเฉาก็เริ่มเกลี้ยกล่อมให้คนอื่นร่วมลงทุนเพื่อจัดตั้งกลุ่มเรือส่งสินค้าจากทั่วสารทิศ กำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
หากนางสามารถคว้าโอกาสนี้ได้ กลายเป็นหนึ่งในพันธมิตรของสกุลเจียงได้เร็วที่สุด ไม่ใช่ว่าจะสามารถร่ำรวยเหมือนสกุลอวี๋ได้หรอกรึ?
อวี้ถังทอดถอนหายใจ
แต่จะอย่างไร ก็ติดเรื่องเงินอยู่ดี
นางในยามนี้ไหนเลยจะนำเงินมาร่วมลงทุนกับสกุลเจียงได้…
ในขณะที่อวี้ถังกำลังกลัดกลุ้ม ก็มีคนทิ้งดอกไม้ใส่นาง
ดอกไม้หล่นถูกจมูกนาง ทำให้นางมึนงงไปเล็กน้อย
นางเงยหน้าดู กลับพบอวี้หย่วน
“นี่เจ้าเป็นอะไรกัน?”
อวี้หย่วนถามด้วยยิ้มเริงร่า ระหว่างคิ้วนั้นปกปิดท่าทีสุขล้นและกระปรี้กระเปร่าไม่มิดเลยสักนิด
ชั่วพริบตานั้นอวี้ถังก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าเปล่งประกายขึ้นมา
นางไม่มีเงินก้อนโต แต่เงินเล็กๆ น้อยๆ นางจะยืมมาไม่ได้เชียวหรือ?
นางยื่นมือยืมเงินจากอวี้หย่วน “ข้าอยากซื้อของ”
ยามนี้อวี้หย่วนกำลังอารมณ์ดี อย่าพูดเลยว่าตอนนี้อวี้ถังเพียงอยากยืมเงินเขา แต่หากให้เขาแบกนางวิ่งรอบเมืองหลินอันสองครั้ง เขาก็เต็มใจลำบากเช่นกัน
อวี้ถังเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้าอยากได้ห้าสิบตำลึง!”
“หา!” อวี้หย่วนที่มือล้วงเข้าไปอยู่ในแขนเสื้อแล้วถึงกับชะงัก “เจ้าต้องการเงินมากมายขนาดนั้นไปทำอะไร?”
เขาไม่ได้มีเงินส่วนตัวมากถึงเพียงนั้นเสียหน่อย!
อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็สามสิบตำลึง? เดี๋ยวท่านก็แต่งงานแล้ว พอมีครอบครัว ก็เป็นสามีของคนอื่นแล้ว ไม่ใช่พี่ชายเพียงคนเดียวของข้าอีกต่อไป ภายหลังข้าอยากได้อะไรจากท่านก็ยากแล้ว ท่านพี่ก็ให้ข้าสักครั้งไม่ได้รึ?”
อวี้หย่วนหน้าแดงระเรื่อ เอ่ยอย่างเขินอาย “จะแต่งแล้วที่ไหนกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า นี่เป็นความต้องการของนายหญิงเว่ย กลัวว่างานแต่งของพวกเราสองสกุลจะรีบร้อนเกินไป ทำให้คนอื่นซุบซิบนินทาคุณหนูเซียง”
ทั่วใบหน้าของอวี้ถังล้วนเผยความตกใจ “ท่านพี่ ยังไม่ทันแต่งภรรยาก็ลืมน้องเสียแล้ว คาดไม่ถึงว่าท่านจะไม่โต้แย้งข้า พูดว่าท่านแต่งงานแล้วก็ยังเป็นพี่ชายคนเดียวของข้าอยู่ดี!”
สองสกุลกำหนดจัดพิธีแต่งงานของอวี้หย่วนและคุณหนูเซียงในต้นฤดูใบไม้ผลิ นางได้ฟังจากมารดาแล้ว เพียงแต่นางคาดไม่ถึงว่าอวี้หย่วนยังไม่ทันแต่งงาน ใจดวงนี้ก็เอนเอียงไปทางคุณหนูเซียงเสียแล้ว
“ไม่ ไม่ใช่ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” อวี้หย่วนกล่าวอธิบายอย่างกระอึกกระอัก “ข้าจะพูดว่า ในเมื่อข้าเป็นพี่ชายของเจ้า ก็จะเป็นพี่ชายของเจ้าตลอดไป แต่หากคุณหนูเซียงแต่งเข้ามา อย่างไรก็แปลกหน้าสำหรับครอบครัวเราอยู่บ้าง พวกเราควรจะดีต่อนางเสียหน่อยต่างหาก”
“คงเป็นท่านพี่ที่อยากดีกับนางมากกว่ากระมัง?” อวี้ถังไล่ต้อน ในใจกลับรู้สึกดีจริงๆ
ชาติก่อน อวี้หย่วนไม่เคยปกป้องคนสกุลเกาเช่นนี้มาก่อน
จะเห็นได้ว่าคุณหนูเซียงเป็นคนที่เขาชอบ และอยู่ในดวงใจจริงๆ
ชาตินี้ ญาติผู้พี่ของนางย่อมมีความสุขได้แน่
อวี้ถังเย้าแหย่เขาต่อ “หากท่านไม่ให้เงินข้า ข้าจะไปบอกป้าสะใภ้ใหญ่เดี๋ยวนี้ กล่าวว่าภายหลังท่านมีภรรยาแล้วก็ไม่สนใจความเป็นความตายของน้องสาวอีก”
“ไม่ใช่เสียหน่อย!” อวี้หย่วนรีบร้อนกล่าว แม้เขาจะไม่รู้ว่าระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้มักจะไม่ชอบหน้ากัน ทั้งถึงกระทั่งกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตเพราะประโยคที่ไม่ตั้งใจเพียงประโยคเดียว แต่อย่างไรก็กลัวว่ามารดาของเขาจะเข้าใจคุณหนูเซียงผิดไป กลายเป็นไม่ชอบนางไป “เจ้าอยากยืมเท่าใด? มากไป…มากไปไม่มีหรอกนะ”
แท้จริงที่เขาอยากพูดคือมากไปกว่านี้เขาจะเอาไปซื้อพวกที่คาดผมไข่มุกให้คุณหนูเซียง ถือว่าเป็นของขวัญที่เขาส่งให้กับคุณหนูเซียงด้วยตัวเอง เห็นท่าทางอวี้ถังไม่พอใจเท่าใด กลัวว่าพูดคำนี้ออกมาจะทำให้อวี้ถังอิจฉา เขาจึงกลืนคำพูดลงไปอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเป็นอีกประโยค
อวี้ถังพอใจแล้ว เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้สามสิบตำลึง!”
เวลานี้พี่น้องสกุลชวีเพียงมีชื่อเสียงเล็กๆ เท่านั้น คงยังไม่ได้ค่าตัวแพงเหมือนชาติก่อนที่นางไปหา แต่เห็นท่าทีของอวี้หย่วน นางคาดว่านี่ก็คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะขอเงินจากเขาแล้ว ทั้งภายหลังนางย่อมไม่อาจขออะไรจากอวี้หย่วนได้ง่ายๆ แล้วเช่นกัน เขาแต่งงานแล้ว ของทุกอย่างก็ควรให้ภรรยาของเขา แม้นางจะอยากยืมเงิน ก็ต้องยืมจากคุณหนูเซียง ไม่ใช่ขอยืมจากอวี้หย่วน ทั้งยืมแล้วก็ต้องคืนด้วย
นี่เป็นประสบการณ์ที่นางได้มาจากชาติก่อน
อวี้หย่วนเก็บเงินไว้สิบตำลึง “มากสุดยี่สิบตำลึง มากกว่านี้ข้าก็ไม่มีแล้ว!”
อวี้ถังไม่กล้าบีบเค้นอวี้หย่วน กลัวเขาพลั้งปากบอกคนอื่นไป กระทั่งเงินยี่สิบตำลึงนี้ก็คงหายไปเช่นกัน
“ขอบคุณท่านพี่!” นางกล่าวทันที “ภายหลังข้าย่อมจะปฏิบัติกับคุณหนูเซียงดีๆ”
“เจ้าพูดไร้สาระอะไรกัน!” อวี้หย่วนตำหนิอวี้ถัง แต่ก็ไม่กล้าสั่งสอนนางอย่างจริงจัง กลัวนางจะพาลโกรธ ทำตัวไม่ดีกับคุณหนูเซียง รีบกลับบ้านไปเอาตั๋วเงินมา “เจ้าใช้ประหยัดๆ หน่อย”
อวี้ถังให้บิดาไปแจ้งทางการ คิดอยากแหวกหญ้าให้งูตื่น ยามนี้คนลี้ภัยในที่นาของสกุลหลี่ส่วนมากก็แยกย้ายหนีกันไปแล้ว หากสองคนนั้นที่สังหารเว่ยเสี่ยวซานก็อยู่ในที่นา หนีไปแบบนี้ ย่อมคิดว่าไม่คุ้มค่า แปดถึงเก้าส่วนต้องมาขอเงินจากสกุลหลี่สักเล็กน้อยแล้วค่อยหนีเป็นแน่
อวี้ถังผงกศีรษะติดต่อกัน ให้อาเสาไปหาพี่น้องสกุลชวีก่อน ให้พี่น้องสกุลชวีจับตาดูหลี่ตวน หากมีใครไปขอเงินจากหลี่ตวน ก็ให้หาวิธีจับคนส่งไปยังท้ายตรอกชิงจู๋
ยามนี้สองพี่น้องสกุลชวีเพิ่งมีชื่อเสียงเล็กๆ ในละแวกนี้ เป็นเวลาที่กำลังสร้างความเชื่อมั่นและเกรงขาม หลังจากรับปากก็เริ่มจับตาดูคนของสกุลหลี่ทุกวันทุกคืนทันที
อวี้ถังนำเงินในมือที่เหลืออยู่สิบสองตำลึงขึ้นมาอย่างเจ็บปวด
พี่น้องสกุลชวีเก็บค่าตัวแพงเสียจริง!
ยามนี้นางกลายเป็นยาจกอีกแล้ว
แต่พี่น้องสกุลชวีทำเรื่องได้เป็นที่น่าพอใจ ยังไม่ทันถึงเทศกาลฉงหยาง พี่น้องสกุลชวีก็ให้คนส่งจดหมายมาให้นาง กล่าวว่าจับคนลี้ภัยที่ไปขอเงินจากหลี่ตวนได้แล้ว แต่ว่า สองคนนี้ก็เป็นผู้ที่คนอื่นก่อนหน้านี้ต้องการตัวเช่นกัน พวกเขาคาดไม่ถึงว่าผู้ที่สองสกุลต้องการตัวจะเป็นกลุ่มคนเดียวกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะพูดก่อนหน้านาง กลับไม่ได้ให้เงินไว้ อวี้ถังที่มาทีหลัง แต่วางเงินทั้งหมดให้ พวกเขาจึงตัดสินใจส่งคนให้อวี้ถังแทน
อวี้ถังนึกกลัวในภายหลังอยู่พักหนึ่ง ทั้งรู้สึกดีใจที่ชาติก่อนได้รู้จักรูปแบบการทำงานของสองพี่น้องสกุลชวี ไม่อย่างนั้นแม้ว่าจะมีวิธีก็คงจับตัวสองคนนี้ไม่ได้อยู่ดี
นางส่งข่าวให้เว่ยเสี่ยวชวน มีอาเสาคอยอยู่เป็นเพื่อน พวกเขาพบกันที่ท้ายตรอกชิงจู๋
ไม่ว่าจะอวี้ถังหรือเว่ยเสี่ยวชวน ล้วนไม่เคยพบเจอสองคนนี้ เรื่องของเว่ยเสี่ยวซานก็เป็นเพียงความสงสัยและข้อสันนิษฐาน เว่ยเสี่ยวชวนและอวี้ถัง คนหนึ่งอยู่ในที่แจ้งอีกคนอยู่ที่ลับ เริ่มสอบสวนทั้งสองคนที่ถูกพี่น้องสกุลชวีทรมานจนร่างกายเขียวช้ำไปหมด
คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะราบรื่นจนพาให้อวี้ถังสงสัยว่ายามนี้พระโพธิสัตว์คงจะยืนอยู่ข้างนางแล้ว
ยามที่เว่ยเสี่ยวชวนถามพวกเขา นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะรับสารภาพอย่างไม่อ้อมค้อม ได้รับคำสั่งจากสกุลหลี่ให้สังหารเว่ยเสี่ยวซาน จุดประสงค์เพื่อทำลายงานแต่งเชื่อมความสัมพันธ์ของสกุลเว่ยและสกุลอวี้ ทั้งยังเอ่ยถึงเรื่องบุญคุณความแค้นของสกุลหลี่เป็นน้ำไหลไฟดับ “ที่จริงทำงานช่วยเหลือเรื่องพวกนี้ให้สกุลพวกเขา ยังคิดว่าสกุลพวกเขามีเบื้องลึกเบื้องหลังใหญ่โต ใครจะรู้ว่าพอทางการเข้าไป สกุลพวกเขาจะไม่กล้าผายลมด้วยซ้ำ สร้างความหวาดกลัวให้พวกเราฆ่าเจ้าหน้าที่จึงค่อยหนีออกมา ยามนี้กลัวพวกเราดึงพวกเขาออกมา ส่งคนหลายกลุ่มมาหาพวกเรา พวกเราก็ไม่ได้กินแต่พืชผัก ให้ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายไปข้างหนึ่งย่อมไม่ไหวหรอก!”
พูดมาจนถึงสุดท้าย คนลี้ภัยสองคนนี้ก็ยังเอะอะโวยวายอย่างกำเริบเสิบสาน กล่าวทำนองว่า “พวกเจ้ามีอะไรก็ไปหาสกุลหลี่ พวกเราเพียงแค่เป็นคนลงมือ แต่สกุลหลี่ต่างหากที่มีจิตเป็นฆาตกร มาหาพวกเราทำไม” “สกุลเว่ยของพวกเจ้าดูแล้วพี่น้องก็มากมาย คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงพวกไร้ค่า ลูกพลัมต้องเก็บลูกที่สุกนิ่ม[4]อยู่แล้ว” “พวกเจ้าจับพวกเราแล้วจะอย่างไรต่อ หรือยังกล้าส่งพวกเราให้ทางการอย่างนั้นรึ? สกุลหลี่อยากทำลายงานแต่งของคุณหนูอวี้ พวกเจ้าส่งพวกเราให้ทางการ ก็ตรงกับที่สกุลหลี่ต้องการพอดี”
————————————————-
[1]เพิ่มลายดอกลงบนผ้าแพร หมายถึง ทำสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
[2]ทิ้งแตงโม ไปเก็บงา หมายถึงให้ความสนใจกับเรื่องไม่สลักสำคัญจนละเลยประเด็นหลักไป
[3]หลางจง ขุนนางที่ดูแลคุ้มกันจักรพรรดิ ติดตาม คอยเสนอความเห็น ให้คำปรึกษาเรื่องต่างๆ ทั้งปฏิบัติงานภายนอกตามที่ได้รับมอบหมาย
[4]ลูกพลัมต้องเก็บลูกที่สุกนิ่ม อุปมาว่า เลือกรังแกคนที่อ่อนแอ