ตอนที่ 55 เจ้าช้าเกินไป
ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นข้างนอกบ้าง
ทันทีที่นางได้รับธง ก็มีดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้นกลางท้องฟ้า
นางเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
ตอนแรกคิดว่าจะมีเพียงที่หนึ่งเท่านั้นที่ได้รับยกย่อง แต่คิดไม่ถึงว่าที่สองก็จะมีชื่อเสียงตามไปด้วย
นางจงใจเข้าชิงอันดับที่สอง เพราะแค่ไม่อยากสร้างปัญหาให้มากนัก…
แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยนับแต่นี้เป็นต้นไป คงไม่มีใครกล้ามาสร้างความเดือดร้อนให้นางง่ายๆ อีกแล้ว
“เจ้าคือฉู่หลิวเยว่เองหรือ”
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองก็เห็นว่ามีคนแก่ท่าทางใจดีกำลังมองสำรวจนางอยู่
ข้างหลังของเขายังมีชายวัยกลางคนตามมาอีกสองคน
และมีพลังปราณของปรมาจารย์ลอยวนเวียนอยู่รอบตัวพวกเขา
นางจึงรู้ได้ทันที ที่แท้สามคนนี้ก็คือปรมาจารย์ที่ควบคุมค่ายกลอยู่ในป่า
นางคุกเข่าคารวะ
“ศิษย์ฉู่หลิวเยว่ คารวะอาจารย์ทุกท่าน”
“ผู้อาวุโสซุนเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสทั้งห้าของสำนักเรา”
หนึ่งในชายวัยกลางคนเอ่ยเตือน
ฉู่หลิวเยว่รีบแก้คำพูด
“คารวะผู้อาวุโสซุน”
ซุนจ้งเหยียนปัดป้องมือ แล้วหัวเราะในลำคอ
“พวกนี้มีอะไรน่าสำคัญกัน วันนี้หลิวเยว่เข้าสำนักเป็นวันแรก ไม่รู้ก็เป็นเรื่องธรรมดา คิดไม่ถึงว่าสำนักเราจะมีอัจฉริยะเพิ่มมาอีกหนึ่งคน มิน่าล่ะ เจ้าไป๋เชินนั่นถึงได้ดูชื่นชมเจ้ายิ่งนัก เจ้า…เก่งมากจริงๆ!”
เจ้านั่น…ดูเหมือนว่าความอาวุโสของชายชราผู้นี้จะสูงมาก
นางไม่เคยได้ยินชื่อของผู้อาวุโสทั้งห้า แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างมีตำแหน่งสูงส่งเป็นที่เคารพนับถือ
ฉู่หลิวเยว่คิดในใจ แต่สีหน้ากลับไม่เผยสิ่งใดผิดปกติ จากนั้นนางจึงเอ่ยด้วยท่าทีไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่คัดค้าน
“ผู้อาวุโสซุนกล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อซุนจ้งเหยียนเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง เขาก็ยิ่งชื่นชมนางมากขึ้น
อายุยังน้อย แต่กลับสุขุมนุ่มลึกอย่างยิ่ง
ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ หากสามารถสอบได้ที่หนึ่งที่สอง ก็จะพูดจาถ่อมตัว แต่แววตามักแสดงความภาคภูมิใจออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่
แต่แววตาของฉู่หลิวเยว่กลับสงบนิ่ง ราวกับว่านางไม่ได้สนใจในสิ่งนั้นจริง
นางอาจจะไม่เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้หมายถึงอะไร หรือไม่ก็อาจจะไม่สนใจในความยากของการสอบตั้งแต่แรก
“นี่ไม่ใช่การกล่าวชื่นชม เจ้ามีความสามารถที่โดดเด่นด้านปรมาจารย์ ก็ควรจะค้นพบตั้งนานแล้วและเพิ่มเติมการเล่าเรียน เรื่องวันนี้จะต้องกลายเป็นอีกฉากแน่”
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลฉู่ ถึงได้ถ่วงความเจริญของลูกหลานที่เป็นอัจฉริยะหายากเช่นนี้ไปได้!
หากไม่ใช่เพราะฉู่หลิวเยว่ร้องขออยากเข้าสอบด้วยตนเอง เกรงว่าชาตินี้นางคงถูกฝังกบจนมิด
ชายวัยกลางคนทั้งสองสบตากัน และทั้งคู่เห็นความประหลาดใจในดวงตาของกันและกัน
หากมองผิวเผินแล้วผู้อาวุโสซุนเป็นคนอ่อนโยน แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนที่เข้มงวดมาก น้อยนักที่จะมีนักเรียนที่เข้าตาเขา
แม้ฉู่หลิวเยว่จะแสดงความสามารถได้ไม่เลว แต่การประเมินของผู้อาวุโสซุนไม่สูงไปหน่อยหรือ
ฉู่หลิวเยว่แย้มยิ้ม
“ท่านยกย่องศิษย์เกินไปแล้ว สามารถเข้ามาเรียนในสำนักได้ ศิษย์ก็ดีใจมากแล้วเจ้าค่ะ”
ซุนจ้งเหยียนลูบเครา แล้วหันไปยิ้มให้ซือถิง
“ซือถิง ต่อไปเจ้าต้องพยายามให้มากเข้าล่ะ”
ซือถิงเม้มริมฝีปาก แล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย
“ผู้อาวุโสซุนชี้แนะได้ถูกต้องแล้วขอรับ”
ดูแล้ว ผู้อาวูโสคงมองเห็นอะไรบางอย่าง
ฉู่หลิวเยว่ผู้นี้ นางกักเก็บพลังที่แท้จริงระหว่างการสอบ
“ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองต่างสอบเสร็จแล้ว ลองมาดูค่ายกลนี้เสียเถิด”
ผู้อาวุโสซุนกล่าวพลางชี้ไปที่กลุ่มหินสีเงินที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ
ซือถิงและฉู่หลิวเยว่ต่างเชื่อฟังแล้วเดินเข้าไปแต่โดยดี
ผู้อาวุโสซุนเป็นผู้สร้างค่ายกลนี้ขึ้นมาด้วยตนเอง ทั้งความละเอียดและความซับซ้อนขั้นสูง หากลองมองด้วยสายตาและสัมผัสด้วยตนเองก็จะได้รับประโยชน์จากมันไม่น้อย
ผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วยาม ก็มีเสียงฝีเท้ารีบร้อนดังขึ้นในป่าอีกครั้ง
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นไปมองแล้วเผยรอยยิ้ม
คนที่เข้ามานั้นคือซือหยาง
เวลานี้ผมเผ้าของเขาดูยุ่งเหยิง เสื้อผ้าเปื้อนรอยเลือด เห็นได้ชัดว่าผ่านความยากลำบากข้างในนั้นมาไม่น้อย
เขามีสภาพต่างจากตอนแรกอยู่มากโข
สายตาของเขากวาดไปบนผืนธงเบื้องหน้าเขา และพบว่ามีที่นั่งว่างเพียงสองที่เท่านั้น
ซึ่งหมายความว่ามีเพียงสองคนเท่านั้นที่มาถึงก่อนหน้าเขา!
เขาคือที่สาม!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในที่สุดรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาและเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ชักธงออก!
แม้การสอบจะผ่านมาได้อย่างยากลำบาก แต่สามารถคว้าอันดับนี้มาได้ก็ถือว่าคุ้มแล้ว
จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและมองไปข้างหน้า
ขณะที่อยู่ในค่ายกลท่ามกลางผืนป่าลึก เขาไม่ได้ยินเสียงโลกภายนอกเลย ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ที่ได้อันดับที่หนึ่งและอันดับที่สอง
ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นร่างสูงที่คุ้นเคย
เป็นซือถิงจริงๆ ด้วย!
จากนั้นเขาก็เบนสายตาเล็กน้อยมองไปที่ตรงข้าง เมื่อได้เห็นใบหน้ารูปงามนั้น ร่างกายของเขาก็นิ่งค้างอยู่กับที่!
“ยินดีด้วย”
ฉู่หลิวเยว่ปรบมือยิ้มตาหยี
“ได้ที่สาม”
ซือหยางมึนงง แล้วถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
“เจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
“เพราะว่าข้า…ได้ที่สามไงล่ะ”
“เจ้า….”
“น่าเสียดายจริงๆ ไหนบอกว่าไว้เจอกันในสนามสอบไง แต่ข้ามองซ้ายมองขวาเจ้าก็ยังตามไม่ทันสักที ข้าก็เลยเดินนำมาก่อน” ฉู่หลิวเยว่ยักไหล่ “ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าจะ…ช้า…ขนาดนี้”
ตอนที่ 56 ราชวงศ์เทียนลิ่ง!
ซือหยางจุกอกจนพูดไม่ออก
เขาช้าเกินไป!?
แต่เขาก็ได้ที่สามเชียวนะ!
ผลสอบเช่นนี้เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ แต่เขากลับโดนฉู่หลิวเยว่เยาะเย้ย!
แต่เขาก็เถียงกลับไปไม่ได้อยู่ดี
…ใครใช้ให้นางได้ที่สองกันเล่า!
แม้ว่าเขาจะไม่มีทางเชื่อ แต่ผู้อาวุโสซุนและคนอื่นก็อยู่ตรงนี้ ฉู่หลิวเยว่คงไม่มีความกล้าโกหกขนาดนั้นหรอก
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาพูดโอ้อวดก่อนหน้านี้และเปรียบเทียบผลสอบของทั้งสองคนในตอนนี้แล้วเขาก็รู้สึกอายจนหน้าร้อนจี๋
“เจ้า…เจ้าออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ซือหยางกอดเอาความหวังสุดท้ายแล้วดิ้นรนถาม
ถ้าฉู่หลิวเยว่เร็วกว่าเขาเพียงเล็กน้อยก็ไม่นับ…
“เด็กคนนี้กับซือถึงห่างกันไม่ถึงครึ่งก้านธูป เร็วกว่าเจ้าประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้”
ซุนจงเหยียนเอ่ยยิ้ม
ซือหยางทำได้ดีในด้านอื่นๆ ยกเว้นว่าเขาหยิ่งเกินไปและค่อนข้างเห็นแก่ตัว
ยืมมือฉู่หลิวเยว่สั่งสอนเขาสักครั้ง ให้เขาได้กลับไปทบทวนตัวเองบ้าง
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสซุนก็ได้ทำลายความหวังสุดท้ายในใจของซือหยางไปหมดสิ้น เขาจึงก้มหน้าลงอย่างสลดใจ
หากพสุธามีรอยแยกล่ะก็ เขาแทบรอไม่ไหวที่จะดิ่งลงไปเดี๋ยวนี้
ก่อนหน้านี้เขาเคยยั่วยุฉู่หลิวเยว่ ตอนนี้ช่างน่าขำชำมัด
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถาม
“หากเจ้าเสียใจที่วันนี้ยังไม่ทันได้ประลองฝีมือกันจริงๆ จังๆ เช่นนั้นวันหน้าเราค่อยมาสู้กันอีกก็ใช่ว่าจะไม่ได้”
ซือหยางยกยิ้มในใจ แล้วพินิจมองฉู่หลิวเยว่
คราวนี้ เขารู้สึกประหลาดใจที่พบว่าฉู่หลิวเยว่ไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย!
การสอบครั้งนี้เขาฝ่าฟันอุปสรรคตั้งมากมาย แต่เหมือนฉู่หลิวเยว่จะไม่เป็นอะไรสักอย่าง
เขากัดฟันแล้วหันหน้าหนี
“ไม่จำเป็น ข้ายอมรับ วันนี้เจ้าเก่งกว่าข้า”
เมื่อพูดจบเขาก็รู้สึกเสียหน้า เขาไม่อยากอยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว
“หลิวเยว่มีพรสวรรค์ด้านนี้จริงๆ ต่อไปพวกเจ้าคือสหายร่วมเรียน ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันให้มากๆ ต้องดีแน่นอน”
ซุนจ้งเหยียนเอ่ยขึ้น
ในที่สุดซือถิงก็ถอนสายตาจากค่ายกล
“ศิษย์จะจำคำสอนของผู้อาวุโสซุนเอาไว้ให้ดีขอรับ”
ซุนจ้งเหยียนพยักหน้า
จากนั้น เสียงประกาศผู้ชนะอันดับที่สามก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้เป็นชื่อของซือหยาง
ตอนแรกซือหยางก็หวังว่าชื่อของตัวเองจะได้ประกาศแบบนี้เหมือนกัน แต่เมื่อทำได้สำเร็จจริงๆ เขากลับดีใจไม่ออก
แม้แต่การคิดที่จะอยู่ข้างฉู่หลิวเยว่ก็เกิดความละอายที่อธิบายไม่ได้
นางได้ที่สองโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง ตนเองได้ที่สามแล้วยังไง
เขาเดินจ้ำอ้าวมาอยู่ข้างหลังซือถิงโดยไม่ปริปากพูดสิ่งใดอีก
บางครั้งก็ชำเลืองมองฉู่หลิวเยว่อย่างช่วยไม่ได้
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมฉู่หลิวเยว่ถึงโดนทุกคนในเมืองหลวงดูถูกเหยียด ทำไมจู่ๆ ถึงได้มีความสามารถขนาดนี้
เมื่อฉู่หลิวเยว่มองมาที่เขา เขารีบถอนสายตาโดยแสร้งทำเป็นเหมือนไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น
มีเพียงหูของเขาเท่านั้นที่แดงขึ้น เผยให้เห็นความรู้สึกผิดและความประหม่า
เป็นเช่นนี้อยู่หลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็หลุดหัวเราะออกมา
“เจ้ามีคำถามอะไรก็รีบถามมาเถิด”
ตอนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่หูเท่านั้นแต่ใบหน้าและลำคอของซือหยางก็ยังขึ้นสีแดงด้วย
ที่จริงเขาไม่อยากพูดอะไรกับฉู่หลิวเยว่มากนัก แต่อีกใจหนึ่งเขาก็อยากรู้จริงๆ
สุดท้ายเขาก็ถามตะกุกตะกักอย่างอดไม่ได้
“เอ่อคือ…เจ้า…เมื่อก่อนมีแต่คนบอกว่าเจ้าเป็นคนไร้ความสามารถ คือเจ้าแสร้งทำหรือ”
คิ้วของฉู่หลิวเยว่กระตุกเล็กน้อย
เมื่อคำถามนี้หลุดปากออกไป คนอื่นต่างก็หันมามอง
อันที่จริง พวกเขาก็อยากถามคำถามนี้เหมือนกัน
“ไม่ใช่”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า แล้วตอบคำถามสั้นๆ
ซือหยางขยับเข้าไปใกล้ แต่ฉู่หลิวเยว่กลับปิดปากเงียบ เห็นได้ชัดว่าไม่อยากอธิบายอะไรไปมากกว่านี้
เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เขาก็รู้ดีว่านี่เป็นความลับของนาง เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะถามอีกต่อไป เขาจึงได้แต่บ่นพึมพำ
“ข้าจะบอกว่า หากเจ้าแกล้งทำจริง ทำไมไม่คว้าที่หนึ่งไปเลยเล่า ข้าได้ยินมาว่าคนที่ได้ที่หนึ่งปีนี้ สามารถเข้าพบราชทูตจากราชวงศ์เทียนลิ่งได้ด้วยล่ะ!”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักค้างและนัยน์ตาหดเล็กลงทันที