บทที่ 24 การระเบิดพลังลมปราณ ภาคจบ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 24 การระเบิดพลังลมปราณ ภาคจบ

ผู้คุมสอบหยุดเขาเอาไว้ ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าเย้ยหยันว่า “เจ้าน่ะ ไปใช้อีกอัน” ซึ่งหมายถึงแท่งหินวัดค่าพลังงานระดับ 4 แท่งใหม่ที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ

แล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศ

“ฮ่า ๆ เจ้านี่คิดจะใช้แท่งวัดค่าพลังงานระดับ 5 เลยงั้นหรือ? นี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกันจะมาแข็งแกร่งสู้ท่านมู่ซินเยว่ได้”

“ตลกซะจริง เจ้านี่ไม่รู้จักประเมินตนเองบ้างหรือไง”

“โธ่ แค่การสอบทฤษฎีก็ทำเอาเหลิงซะแล้วหรือเนี่ย”

“ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่คู่ควรกับแท่งหินวัดค่าพลังงานระดับ 5 น่ะ”

คำพูดเยาะเย้ยดังมาจากทุกทิศทางรอบตัว

หลินเป่ยเฉินไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป ก่อนจะเดินไปยังแท่งหินวัดค่าพลังงานระดับ 4

และเมื่อเขาทาบฝ่ามือของตนลงบนแท่นหิน ลำแสงสีแดงก็ปรากฏขึ้น

ตู้ม!

ควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากตัวแท่งหิน

ก่อนที่ทุกคนจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น แท่งหินวัดค่าพลังก็ระเบิดเสียแล้ว

การระเบิดของพลังลมปราณ

แท่นหินวัดค่าพลังงานระดับ 4 ที่เพิ่งถูกนำมาเปลี่ยนแทนแท่งเก่านั้นระเบิดอีกรอบเสียแล้ว

เสียงเยาะเย้ยด้านล่างเวทีเงียบหายลงในทันใดราวกับต้องมนต์

ฉู่เหินเด้งบั้นท้ายขึ้นจากเก้าอี้ไม้อีกครั้งราวกับมีเข็มตำก้นก็ไม่ปาน

แม้แต่ผู้สังเกตการณ์หลี่ก็มีท่าทีตกใจไม่แพ้กัน

ที่นอกม่านพลังนั่น อู๋เสี่ยวฟางมองไปยังแท่งหินด้วยแววตาราวกับเห็นปิศาจ

และรอยยิ้มบนใบหน้าของมู่ซินเยว่ก็หยุดชะงักลงเช่นเดียวกับสายตาของนาง

ทุกอย่างดูราวกับถูกหยุดลงโดยปุ่มวิเศษที่ควบคุมจากใครสักคนนอกม่านพลัง

หลินเป่ยเฉินมองไปยังอาจารย์ผู้คุมสอบที่เพิ่งห้ามเขาเมื่อครู่และยิ้มออกมา “ท่านอาจารย์ ตอนนี้ข้าสามารถใช้แท่งหินวัดค่าพลังงานระดับ 5 ได้หรือยัง”

ผู้คุมสอบมองไปยังอาจารย์ฉู่ราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน

ในที่สุด อาจารย์ฉู่ก็รู้สึกตัวก่อนจะหันไปมองยังใจกลางของม่านพลัง ณ จุดที่หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะโพล่งถามออกมาว่า “เจ้า…พลังลมปราณของเจ้าเพิ่มไปถึงระดับ 4 แล้วหรือ? เจ้าทำแบบนั้นได้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“อืม…ข้าก็ไม่แน่ใจนัก บางทีอาจจะเป็นเมื่อคืนตอนข้านอนอยู่ก็ได้ ไม่แน่ใจเหมือนกันขอรับ” หลินเป่ยเฉินตอบ

ก็เขาไม่รู้จริง ๆ นี่นา

แอปพลิเคชันพลังลมปราณในโทรศัพท์ไม่ได้บอกไว้เสียด้วย ว่าค่าพลังในตัวตอนนี้มีถึงขั้นไหนแล้ว

แอปพลิเคชันนี้ทำงานมาตลอดสองวันโดยไม่หยุดพัก แต่ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าค่าพลังลมปราณในตัวเองนั้นอยู่ในระดับไหน

โอกาสที่จะได้รู้ ก็คงเป็นตอนนี้แหละ

“เพ้อเจ้อ! เจ้าจะฝึกฝนตัวเองในขณะนอนอยู่ได้ยังไง! เอาล่ะ…ลืมมันไปซะ ข้าจะไม่ถามอีกแล้ว ทีนี้ก็ลองวัดค่าพลังของเจ้ากับแท่งหินระดับ 5 เสีย” ฉู่เหินกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

หลินเป่ยเฉินก้าวไปยืนข้างหน้าแท่งหินวัดค่าพลังงานระดับ 5 ก่อนจะวางฝ่ามือลงไป และบังคับให้พลังลมปราณในร่างกายตนเองพวยพุ่งออกไป

ลำแสงสีแดงปรากฏขึ้นทันที

มันพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว

สายตานับไม่ถ้วนต่างจับจ้องลำแสงที่ปรากฏขึ้นบนแท่งหินวัดค่าพลังงาน โดยเฉพาะมู่ซินเยว่

นางกำหมัดแน่นจนเล็บแทบจะจิกเข้าไปในฝ่ามือ ทั้งร่างกายราวกับไหลเวียนไปด้วยกระแสแห่งความกดดัน นางนั้นไม่สามารถรักษาภาพลักษณ์สงบนิ่งและมั่นใจในตนเองเอาไว้ได้อีกแล้ว

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าขี้แพ้คนนี้จะสามารถทำให้นางรู้สึกเช่นนี้ได้

ตู้ม!

เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง

กลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งออกจากด้านบนสุดของแท่งหินวัดค่าพลังงาน

ไม่เพียงเท่านั้น มันยังทำให้แท่งหินเกิดรอยแตกร้าวขึ้นมาแล้ว

การระเบิดของพลังลมปราณอีกครั้งงั้นหรือ

คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวของเด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งหลาย

แท่งหินวัดค่าพลังงานระดับ 5 ถึงกับทนรับพลังลมปราณของเขาไม่ไหวเชียวหรือ?

มัน…มันเป็นไปได้ยังไง

คณบดีผู้รอบรู้ถึงกับตะลึงงัน

เช่นเดียวกับคณะอาจารย์ผู้คุมสอบท่านอื่น ๆ ที่ต้องใช้เวลาอีกครู่ใหญ่ กว่าที่ทุกคนจะตั้งสติได้อีกครั้ง

ผู้สังเกตการณ์หลี่เด้งตัวยืนขึ้นและมองไปยังหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเป็นประกาย

และปากของอาจารย์ติงซานฉือก็เบิกกว้างจนแทบจะยัดไข่ห่านเข้าไปได้

ในฐานะของอาจารย์ผู้สอนวิชาพลังลมปราณของหลินเป่ยเฉิน เขารู้จักความสามารถก่อนหน้าของลูกศิษย์เขาดีที่สุด

เมื่อสามวันที่แล้ว ค่าพลังของหลินเป่ยเฉินยังอยู่ที่ระดับ 1 เท่านั้น หรืออย่างมากสุดก็คงไม่เกิน 1.5 หรือถ้าอย่างดีที่สุดก็คงไม่เกินระดับ 2

แต่ในตอนนี้ แท่งหินวัดค่าพลังระดับ 5 ถึงกับระเบิดออก

มันหมายความว่าอย่างไรกัน

มันหมายความว่าค่าพลังในตัวหลินเป่ยเฉินนั้นสูงไปถึงระดับ 6 ใช่หรือไม่

แค่สามวัน จากระดับ 1 กลายเป็นระดับ 6 ได้ยังไง

แม้จะเป็นสุดยอดลูกศิษย์อัจฉริยะจากสถานศึกษาที่หนึ่งและที่สอง หรือแม้แต่สถานศึกษาหลวงแห่งเมืองหยุนเมิ่ง ก็ไม่มีใครทำเช่นนี้ได้แน่นอน

เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าแกะดำกันแน่นะ

โดยเฉพาะบรรดาเด็กหนุ่มเด็กสาวนอกม่านพลัง พวกเขาต่างอึ้งทึ่งเสียวกันไปหมด

อู๋เสี่ยวฟางนั้นถึงกับสติหลุดปากอ้าตาค้าง

ในขณะที่มู่ซินเยว่กัดริมฝีปากของตนแน่นจนเลือดซิบไหลเข้าไปในเรียวปากของนาง แต่ดูเหมือนนางจะไม่ได้นำพาถึงความรู้สึกขมปร่าของหยดเลือดเลยสักนิด

บรรดาอัจฉริยะคนอื่น ๆ ทั้งเกาหมิน เยว่หงเซียง ซื่อซินหลิน อู่สี่ และคนอื่น ๆ ต่างก็ยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้ ในขณะที่ปากอ้าออกด้วยความตกตะลึงจนไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้ สายตาจับจ้องไปยังหลินเป่ยเฉินเป็นตาเดียวกัน

ชั่วครู่หนึ่งผ่านไป ผู้สังเกตการณ์หลี่ก็กล่าวขึ้นมาว่า “เด็กคนนี้คือหลินเป่ยเฉินใช่หรือไม่?”

ในที่สุด ช่วงเวลาที่สถานศึกษานี้รอคอยก็มาถึงเพราะความสามารถของหลินเป่ยเฉิน

เมื่อวานนี้ เพราะหลินเป่ยเฉินสามารถทำคะแนนเต็มได้ในทุกวิชาของการสอบภาคทฤษฎี บรรดาสถานศึกษาอื่น ๆ นั้นต่างประหลาดใจและหันมาให้ความสนใจกับสถานศึกษาที่สาม บางคนถึงกับสงสัยว่าสถานศึกษาที่สามที่ปกติแล้วมักจะทำผลงานได้ไม่ดีนัก อาจจะกระทำการบางอย่างเพื่อให้เป็นที่กล่าวถึงและสร้าง ปาฏิหาริย์คะแนนเต็ม ขึ้นมาด้วยตนเองเพื่อกู้หน้าก็เป็นได้

และในฐานะของผู้สังเกตการณ์ เขามาที่นี่ก็เพื่อจับสังเกตกระบวนการสอบทั้งหมด

และแน่นอนว่าศิษย์อัจฉริยะที่เขามาเพื่อตรวจสอบโดยเฉพาะ…ก็คือหลินเป่ยเฉิน

อันที่จริงแล้ว…ชายวัยกลางคนเคยได้ยินชื่อเสียงของเด็กหนุ่มคนนี้มาก่อน

จะว่าไปเกือบทุกคนในเมืองแห่งนี้ ต่างรู้จักเจ้าแกะดำหลินเป่ยเฉินกันทั้งสิ้น

หลี่ชิงสวนคิดว่าในการทดสอบวิทยายุทธ์วันนี้ เจ้าแกะดำคงแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา

แต่ผลที่ออกมากลับน่าประหลาดใจนัก

หลี่ชิงสวนจึงอดรนทนไม่ได้ ถึงกับต้องลุกยืนขึ้นและเอ่ยถามออกมาแล้ว

อาจารย์ฉู่สะดุ้งก่อนตอบว่า “ใช่แล้วท่านหลี่ นี่แหละเขาล่ะ”

ผู้สังเกตการณ์หลี่กล่าวแทรกขึ้นว่า “ไปเอาประวัติเขามาให้ข้าเดี๋ยวนี้”

ประวัติการศึกษาทั้งหมดของหลินเป่ยเฉินถูกนำมาให้ตามคำสั่งในพริบตา

หลังอ่านจบ ผู้สังเกตการณ์หลี่ก็สับสนราวกับมีพายุก่อเกิดขึ้นภายในจิตใจ

หลินเป่ยเฉินนั้นเป็นแกะดำที่เหลวแหลกมาโดยตลอด ไม่เคยแม้แต่จะทำการเรียนได้ดีเลยสักครั้ง แต่จู่ ๆ เขากลับกลายเป็นอัจฉริยะในข้ามคืนราวกับต้องมนต์ เหมือนกับเก่งกล้ามาแต่เกิดอย่างไรอย่างนั้น

นี่มันน่าอัศจรรย์ซะยิ่งกว่าตำนานเมืองในบทกวีเสียอีก

“นำแท่งหินวัดค่าพลังระดับ 6 มาเดี๋ยวนี้” หลี่ชิ่งซวนกล่าว

“เอ่อ…”

ฉู่เหินยิ้มแหย ๆ ตอบว่า “ท่านหลี่ ในสถานศึกษาเราไม่มีแท่นหินวัดค่าพลังงานระดับ 6 เลยสักอันเดียว”

“เป็นไปได้ยังไงกัน” หลี่ชิงสวนถามอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง

แต่แล้วเขาก็เข้าใจในทันใด

ตามปกติแล้ว ในสถานศึกษาที่สามนี้ กลุ่มลูกศิษย์ชั้นปีที่ 3 ที่เป็นระดับชั้นสูงสุดก็มักมีค่าพลังงานอยู่ระหว่าง 3-4 ขีดเท่านั้น มีเพียงนักเรียนมากความสามารถไม่กี่คนที่สามารถก้าวไปถึงระดับ 5 ได้สำเร็จ อาจเป็นได้ว่ามีผู้แกร่งกล้าบางคนในสถานศึกษาที่หนึ่งและสองสามารถก้าวไปถึงระดับ 6 ได้ แต่นั่นเป็นไปไม่ได้สำหรับสถานศึกษารั้งท้ายเช่นสถานศึกษาที่สามแน่นอน

ด้วยเหตุนี้ กระทรวงศึกษาประจำเมืองจึงไม่ได้จัดหาแท่งหินวัดค่าพลังระดับ 6 ให้สถานศึกษาที่สามมาตั้งแต่แรก เพราะคิดว่าคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้งานแต่อย่างใด

อีกทั้งแท่งหินวัดค่าพลังงานระดับ 6 มีราคาสูงไม่ใช่เล่น

การต้องนำเงินมาลงทุนกับสถานศึกษาระดับนี้ นับว่าเป็นการเสียเงินโดยไร้ประโยชน์

แต่ใครจะไปคาดคิดว่า สถาบันแห่งนี้จะมีเด็กหนุ่มชั้นปีที่ 2 สามารถทำให้แท่งหินวัดค่าพลังระดับ 5 ถึงกับระเบิดออกได้อย่างนี้