บทที่ 25 เป็นโมฆะ

นับเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอะไรเช่นนี้

เมื่อไม่มีแท่งหินวัดค่าพลังงานระดับ 6 แล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถประเมินผลพลังงานสสารลึกลับของหลินเป่ยเฉินได้

ทั้งอาจารย์ฉู่และผู้สังเกตการณ์หลี่ต่างก็คิดหาทางไม่ออก

เช่นนั้นแล้วการวัดค่าพลังจึงจำเป็นต้องถูกหยุดลงชั่วคราว

บรรดาผู้คุมสอบแห่งสถานศึกษาที่สามและผู้สังเกตการณ์จากทางส่วนกลางเร่งมือกันถกเถียงหาทางแก้ไขปัญหา

และปล่อยให้หลินเป่ยเฉินรออยู่ในม่านพลังไปก่อน

เขามองลงมายังอู๋เสี่ยวฟางที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน

“ค่าพลังงานแค่ 4.7 นี่ถือว่าสูงแล้วงั้นหรือ?”

เขามองไปยังอู๋เสี่ยวฟางและพูดด้วยท่าทีกลั้นขำ

อู๋เสี่ยวฟางนั้นโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ทั้งตัวรู้สึกชาจนขยับไม่ได้และอัดแน่นไปด้วยความอับอาย เขากัดฟันกรอด ในใจอยากจะเขมือบหลินเป่ยเฉินเสียทั้งเป็น แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา

“เมื่อครู่นี้เจ้าได้ถามข้าไว้ใช่ไหม ว่าข้าเห็นความแตกต่างระหว่างเราสองคนหรือไม่” หลินเป่ยเฉินไม่ละสายตาออกจากอู๋เสี่ยวฟางแม้แต่น้อยในขณะที่กล่าวต่อว่า “แน่นอนล่ะ…ข้าเห็นชัดเลย ข้าก็แค่สงสัยว่าแล้วเจ้าล่ะเห็นรึเปล่า หืม? ท่านพี่อู๋?”

“ขะ…ข้า”

อู๋เสี่ยวฟางอยากจะปะทะคารมโต้ตอบ แต่เขาแทบจะไม่สามารถเปล่งเสียงอะไรออกมาได้เลย

ในตอนนี้ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกไป มันก็มีแต่น่าอับอายมากขึ้นเท่านั้น

คำพูดของอู๋เสี่ยวฟางไม่มีค่าอีกแล้ว

หลินเป่ยเฉินละสายตาจากเด็กหนุ่มคู่อริและมองไปยังมู่ซินเยว่

ราวกับสายตาของเขานั้นมีมนต์สะกด ไม่ว่าเมื่อเขามองไปยังที่ใด สายตาของผู้อื่นก็จับจ้องไปที่นั่นด้วย

และมู่ซินเยว่ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน

นางพยายามจะทำตัวให้เป็นปกติที่สุด

นางคิดว่าหลินเป่ยเฉินก็คงจะดูถูกนางเช่นเดียวกับที่ทำกับอู๋เสี่ยวฟางเมื่อครู่

หากแต่หลินเป่ยเฉินนั้นมองไปยังนางเพียงแวบเดียวเท่านั้นก่อนจะละสายตาไปทางอื่น ราวกับเขากวาดตามองไปรอบ ๆ ไม่ได้เจาะจงไปที่ใครเป็นพิเศษ เหมือนนางเป็นอากาศไปเสียอย่างนั้น

นี่มันดูถูกกันมากเลยนะ

นี่คือการดูถูกของหลินเป่ยเฉินที่มีต่อมู่ซินเยว่

มู่ซินเยว่รู้สึกราวกับหัวใจถูกแทงด้วยหอกด้ามคม

นางรู้สึกแย่กับการที่หลินเป่ยเฉินทำเช่นนี้กับนาง ยิ่งกว่าสิ่งที่เขาทำกับอู๋เสี่ยวฟางเสียอีก

ในใจของนางนั้นสุมไปด้วยไฟแห่งโทสะ

นางจะไม่มีทางญาติดีกับเขาโดยเด็ดขาด

ในการสอบประจำวันนี้ นางควรจะต้องเป็นดาวเด่นที่เก่งที่สุดไม่ใช่หรือ

นางควรจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด ที่ใคร ๆ ก็ให้ความสนใจ ได้รับคำสรรเสริญจากบรรดาเพื่อน ๆ ร่วมสถาบันและคำยินดีจากคณะอาจารย์

แต่ตอนนี้ ที่ของนางกลับมีหลินเป่ยเฉินมายืนแทน

เพียงครู่ต่อมา ผู้คุมสอบก็เดินขึ้นมาบนเวทีและประกาศเสียงดังกึกก้อง “หลังจากหารือกันแล้วทุกฝ่าย พวกเราลงมติกันให้ผลการสอบของหลินเป่ยเฉินนั้นเป็นโมฆะ และจะไม่ถูกนับรวมกับคะแนนสอบ เนื่องจากความผิดพลาดของแท่งหินวัดค่าพลังระดับ 5 ลูกศิษย์คนอื่น ๆ สามารถดำเนินการวัดค่าพลังต่อไปได้ตามเดิม และสำหรับหลินเป่ยเฉิน เขาจะต้องวัดค่าพลังใหม่อีกครั้ง ในขณะที่เรากำลังจะนำแท่งหินวัดค่าพลังงานระดับ 5 แท่งใหม่มา”

“อะไรนะ?”

“แท่งหินทำงานผิดพลาดงั้นหรือ?”

“ผลการสอบของหลินเป่ยเฉินเป็นโมฆะ?”

และในตอนนั้นเอง บรรดาลูกศิษย์รอบ ๆ เวทีต่างพูดคุยกันเสียงดัง คำถามมากมายผุดขึ้นมาราวกับคลื่นพายุ

หลินเป่ยเฉินนิ่งไปเล็กน้อย

“ผลการสอบเป็นโมฆะ?”

“มันแปลว่าอะไร?”

เขามองไปยังอาจารย์ฉู่ ผู้สังเกตการณ์หลี่ และคนอื่น ๆ

“เจ้าลงไปรอที่ด้านล่างเวทีก่อน เดี๋ยวพวกเราจะเรียกเจ้ากลับขึ้นมาวัดพลังใหม่อีกครั้ง” อาจารย์ฉู่กล่าว

ยังไม่ทันที่หลินเป่ยเฉินจะได้ตอบอะไรกลับไป อาจารย์ฉู่ก็พูดขึ้นมาเสียก่อนว่า “ไม่ต้องเป็นกังวล เชื่อข้าเถอะ สถานศึกษาของเราไม่ทำให้เจ้าผิดหวังหรอก”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าและก้าวออกจากม่านพลัง

สายตานับร้อยคู่จับจ้องมาที่เขา

“ฮ่า ๆ ผลการสอบเป็นโมฆะงั้นหรือ?”

อู๋เสี่ยวฟางหัวเราะร่วนและอดใจไม่ไหวต้องเดินไปเผชิญหน้ากับหลินเป่ยเฉิน “สิ้นหวังเลยงั้นสิ? ฮ่า ๆ รู้สึกยังไงบ้างล่ะที่ต้องตกลงจากบัลลังก์ทองคำที่เพิ่งขึ้นไปได้เพียงครู่เดียวน่ะ?”

หลินเป่ยเฉินกล่าวตอบขณะจ้องมองอู๋เสี่ยวฟาง “ก็ดีกว่าโดนเหยียบหน้าแล้วกัน”

“แหม…ยังปากดีอยู่อีกนะ ข้าน่ะรู้อยู่แล้วล่ะว่าผลการสอบของเจ้ามันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ และผู้สังเกตการณ์หลี่ก็คงดูวิธีการโกงออกอย่างง่ายดาย รอไปก่อนเถอะ เพราะเดี๋ยวคะแนนการสอบภาคทฤษฎีของเจ้าเมื่อวานก็จะต้องเป็นโมฆะเหมือนกัน” อู๋เสี่ยวฟางกล่าวเยาะเย้ย “จำไว้เถอะ ว่ายังไงซะ เจ้าก็เป็นได้เพียงเศษขยะไร้ค่าอยู่วันยันค่ำ”

“ทุกคนเงียบ!” อาจารย์ฉู่กล่าวขึ้นขณะยืนอยู่ใจกลางม่านพลัง

สายตาของท่านคณบดีเหลือบมองอู๋เสี่ยวฟางอย่างไม่พอใจนัก

“รอดูแล้วกัน” หลินเป่ยเฉินกล่าวเบา ๆ

และทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบสงบ

และศิษย์คนอื่น ๆ ของกลุ่ม 1 ก็ทำการวัดค่าพลังกันต่อไป

เมื่อมีผู้ทำคะแนนได้น่าทึ่งไปถึง 3 คน ทั้งอู๋เสี่ยวฟาง มู่ซินเยว่ และหลินเป่ยเฉิน ดังนั้นถึงแม้ว่าอู่สี่จะมีค่าพลังอยู่ที่ 4.6 ก็ไม่มีใครให้ความสนใจอีกต่อไปแล้ว

และในที่สุดการสอบภาคเช้าก็เสร็จสิ้นลง

ขณะที่แท่งหินวัดค่าพลังงานระดับ 6 ยังมาไม่ถึง ผลการสอบค่าพลังลมปราณของหลินเป่ยเฉินก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป

แต่ด้วยคำพูดของอู๋เสี่ยวฟาง ในตอนนี้ ทุกคนต่างก็คิดเป็นสิ่งเดียวกันว่าหลินเป่ยเฉินนั้นโกงในการสอบ ซึ่งทำให้มีผู้สังเกตการณ์โผล่มาตรวจสอบเขาในวันนี้ และในที่สุด ไม่เพียงแต่ผลการวัดค่าพลังในร่างกายจะกลายเป็นโมฆะ แต่คะแนนการสอบของเขาเมื่อวานนี้ ก็คงจะต้องกลายเป็นโมฆะเช่นกัน

และเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว ในที่สุด การสอบกลางภาคประจำปีนี้ จึงกลายเป็นหนึ่งในการสอบครั้งสำคัญที่สุดของสถาบันไปโดยปริยาย

การสอบในวันพรุ่งนี้ จะเป็นการทดสอบด้านวิทยายุทธ์

หลินเป่ยเฉินกลับไปยังห้อง 9

และเป็นอาจารย์ติงซานฉือนั่นเอง ที่จะเป็นผู้ประเมินว่าใครบ้างจะเป็นตัวแทนห้องเข้าร่วมการทดสอบ

ลูกศิษย์ทั้ง 40 คนเริ่มแบ่งกลุ่มกันเพื่อเริ่มการประลอง ทั้งคนอ่อนด้อยและคนเก่ง เพื่อที่ทุกคนจะได้มีโอกาสในการแสดงพลังของตนออกมาอย่างเต็มที่

ซึ่งทุกคนในห้อง 9 ต่างแน่ใจเป็นเสียงเดียวกันว่า

คงไม่มีใครสามารถเอาชนะกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตของหลินเป่ยเฉินได้อย่างแน่นอน

แม้แต่ผู้ที่เคยเป็นที่ 1 ของห้องเช่นอินอี้ก็ไม่แม้แต่จะเคลือบแคลงในข้อเท็จจริงนั้น

และในการประลองเพลงกระบี่ตลอดบ่ายวันนั้น แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินกลายเป็นที่ 1 อย่างไม่ต้องสงสัย

เขาและสุดยอดลูกศิษย์อีก 5 คนของห้อง 9 ที่ประกอบไปด้วย หลินเสวี่ยอิ๋น อินอี้ เฉิงขู่ และเซวียเยว่ ก็ได้กลายเป็นตัวแทนของห้อง 9 เข้าร่วมการประลองของระดับสายชั้น

การสอบวันนี้จบลงแล้ว เด็กหนุ่มเด็กสาวในสถาบันต่างพากันทยอยกลับบ้าน

เมื่อความวุ่นวายทั้งหมดผ่านพ้นไป ทั้งสถานศึกษาก็เงียบสงบลงทันที

บริเวณชายป่านอกลานประลองดูมืดทึมในแสงยามเย็น

นี่เป็นที่ซ่อนเดียวในสถานศึกษาแห่งนี้ของหลินเป่ยเฉิน

หลินเป่ยเฉินถึงกับผงะเมื่อไปถึงที่นั่น

“นี่…นี่ข้ามาผิดที่หรือเปล่าเนี่ย?”

สิ่งที่เขาเห็นคือกระโจมอันหรูหราหลังหนึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางแนวป่าทะมึนทึม

พ่อบ้านชราหวังจงกำลังจะเริ่มต้นซักผ้าขณะม้วนแขนเสื้อขึ้น บนต้นไม้นั้นมีบรรดาผ้าที่ซักเสร็จแล้วพาดตากอยู่ ตั้งแต่เสื้อคลุมไปจนชุดชั้นใน เสื้อผ้าเหล่านี้ล้วนเป็นแฟชั่นสุดทันสมัยของฤดูกาลล่าสุดในเมืองหยุนเมิ่ง

“นี่…”

หลินเป่ยเฉินประหลาดใจและกล่าวถามว่า “ตาเฒ่า…รู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”

เขาเพียงแค่ขอให้หวังจงออกไปซื้อข้าวของเครื่องใช้เท่านั้น

แต่ชายชรากลับซื้อของฟุ่มเฟือยพวกนี้มาแทน

และแค่มองแวบเดียวเด็กหนุ่มก็รู้เลยว่าของพวกนี้มีราคาสูงมากแค่ไหน

นี่พ่อบ้านประจำตระกูลคิดว่าเขากำลังจะสร้างบ้านพักในป่าหรือไงนะ?