สามสิบเจ็ด
ไม่ต้องแบ่งสาลี่
หางตาของเสวี่ยเจียเยว่เห็นเสวี่ยหย่งฝูกำลังยื่นมือมาหวังจะหยิกแก้มเธอ ความขยะแขยงพลันเกิดขึ้นในใจจึงรีบขยับตัวหลบไปด้านข้าง จากนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็มายืนขวางอยู่เบื้องหน้าเธอ
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ และก้มลงเล็กน้อย ราวกับเมื่อครู่เขาเพียงบังเอิญขยับมายืนด้านหน้าเสวี่ยเจียเยว่เท่านั้น
เมื่อมีเด็กหนุ่มยืนขวางอยู่ตรงกลาง เสวี่ยหย่งฝูก็ไม่สามารถยื่นมือไปหยิกแก้มเสวี่ยเจียเยว่ได้ เขาชักมือกลับอย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้ง
“เจ้ากับน้องสาวยังไม่ได้กินข้าวเย็นใช่หรือไม่ รีบไปกินเสียสิ…”
เสวี่ยหย่งฝูกล่าวยังไม่ทันจบ ซุนซิ่งฮวาก็เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน
“เจ้าคงดื่มสุรามากเกินไปจริงๆ ถึงได้เลอะเลือนขนาดนี้ เย็นนี้พวกเรามีข้าวต้มอยู่เพียงเล็กน้อย แผ่นแป้งปิ้งไม่กี่แผ่น เดิมทีก็ไม่พอให้ข้ากับเจ้ากินอยู่แล้ว จะให้พวกเขากินอะไรล่ะ”
ครั้นสิ้นประโยคนั้น ซุนซิ่งฮวาก็เหลือบมองเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ มุมปากยกยิ้มพลางเอ่ยต่อ “อาหารในป่าคงมีไม่น้อย เมื่อครู่นี้เจ้าก็พูดเองว่าพวกเขาสองคนขึ้นเขาไปครั้งนี้ เอ้อร์ยาดูมีน้ำมีนวล หลายวันมานี้คงมีอะไรให้กินมาก ได้กินแต่ของดีๆ ในป่า มีหรือจะถูกใจข้าวกับธัญพืชของพวกเรา”
ถึงอย่างไรเสวี่ยหย่งฝูก็พูดโน้มน้าวซุนซิ่งฮวา สุดท้ายนางจึงยอมให้เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ได้กินแผ่นแป้งปิ้งคนละครึ่งแผ่น
ก่อนจะลงจากเขา ทั้งสองคนได้กินเนื้อเลียงผาย่างจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ตอนนี้จึงไม่รู้สึกหิวสักนิด และเป็นเช่นที่ซุนซิ่งฮวากล่าว ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่ดูแคลนแผ่นแป้งปิ้งครึ่งแผ่นจริงๆ อีกอย่าง… ฝีมือการปิ้งแผ่นแป้งของซุนซิ่งฮวานับว่าแย่ยิ่งนัก ตอนที่รับมาเธอก็พบว่าทั้งสองด้านมีหลายจุดที่ไหม้เกรียม
เสวี่ยเจียเยว่เลือกกินตรงที่ไม่มีรอยไหม้อย่างช้าๆ เมื่อเธอกินเสร็จ เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาก็กินเสร็จแล้วเช่นกัน จากนั้นหน้าที่ล้างถ้วย ชาม และตะเกียบ ก็ยังเป็นของเสวี่ยเจียเยว่เหมือนเดิม
เธอใช้ชีวิตอย่างแสนสบายมาหลายวัน พอกลับมาถึงเรือนก็ต้องทำงานเช่นเคย เสวี่ยเจียเยว่คิดพลางถอนหายใจ จำต้องม้วนแขนเสื้อขึ้นและเริ่มล้างภาชนะที่อยู่ตรงหน้า
เมื่อล้างเสร็จแล้วเธอก็เดินไปดูห้องของตน นอกจากจะมีฝุ่นเกาะเขลอะแล้ว ซุนซิ่งฮวายังนำเครื่องมือทำไร่ทำนามาวางกองระเกะระกะ ในห้องของเธอจึงดูรกรุงรังไร้ระเบียบเช่นนี้
เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนรักความสะอาด แม้เพิ่งกลับมาและรู้สึกเหนื่อยล้า แต่เธอไม่สามารถทนดูห้องสกปรกไร้ระเบียบเช่นนี้ได้ จึงต้องขนเครื่องมือทั้งหมดกลับไปไว้ในที่ของมัน แล้วนำไม้กวาดมาปัดกวาดพื้น จากนั้นก็ใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม ส่วนผ้าห่มบนเตียงก็คงทำได้แค่รอรื้อไปซักตากในวันพรุ่งนี้เท่านั้น
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว เธอก็หยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะถือผ้าขี้ริ้วเดินไปที่เรือนของเสวี่ยหยวนจิ้ง
เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังทำความสะอาดเรือนของตนเช่นกัน บนโต๊ะกับเก้าอี้นั้นเขาเช็ดจนสะอาดสะอ้าน จัดวางตำราทั้งหมดอย่างเป็นระเบียบ ผ้าห่มบนเตียงก็ปูจนเสร็จสรรพ ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งนัก สะอาดสะอ้านยิ่งกว่าห้องของเธอเสียอีก
เดิมทีเขาเป็นคนรักความสะอาดมากอยู่แล้ว…
เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่เข้ามา เสวี่ยหยวนจิ้งก็ยกกาน้ำชาบนโต๊ะมารินใส่ถ้วยก่อนส่งให้อีกฝ่าย
เสวี่ยเจียเยว่รับถ้วยชามายกขึ้นดื่มทันที เมื่อครู่นี้เธอยุ่งอยู่กับการทำความสะอาดห้องจึงรู้สึกกระหายน้ำไม่น้อย
จากนั้นเธอได้ยินเสียงเด็กหนุ่มเอ่ยถามขึ้นมา
“ห้องของเจ้าทำความสะอาดเสร็จแล้วหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้า “เจ้าค่ะ”
พอเสวี่ยหยวนจิ้งเหลือบไปเห็นผ้าขี้ริ้วในมืออีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้น “ในเรือนของข้าก็ทำความสะอาดเสร็จแล้วเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าออกแรงช่วยแล้วละ”
มองปราดเดียวเขาก็รู้จุดประสงค์การมาที่นี่ของเธอแล้ว ต้องบอกเลยว่าเมื่อได้อยู่กับเสวี่ยหยวนจิ้ง ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ เพราะเขามองเพียงแวบเดียวก็เดาความคิดของเธอออก
เสวี่ยเจียเยว่ตอบกลับไปสั้นๆ “อ้อ”
ไม่นานก็ได้ยินเสียงเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยขึ้นอีก
“หิวหรือไม่”
เขากล่าวจบก็ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ ก่อนนำสาลี่ป่าหนึ่งลูกและพุทราป่าอีกหลายลูกออกมาส่งให้เสวี่ยเจียเยว่ โดยผลไม้เหล่านี้เขาล้างทำความสะอาดแล้ว
เสวี่ยเจียเยว่รู้จักนิสัยของซุนซิ่งฮวาดี อีกฝ่ายคิดว่าเธอเป็นคนตะกละตะกลาม ขอเพียงได้เห็นของกินก็อาจจะซ่อนเอาไว้ ดังนั้นเมื่อครู่นี้นางจึงค้นตัวเธอ เพราะสงสัยว่าเธอซ่อนอะไรไว้ในตัวหรือไม่ เสวี่ยเจียเยว่คิดเรื่องนั้นตั้งแต่แรกแล้ว ตอนที่เธอกลับมา แม้แต่หญ้าเส้นเดียวจึงไม่มีให้เห็นอยู่บนตัว แน่นอนว่าเมื่อถูกซุนซิ่งฮวาค้นตัวก็ไม่พบของกินสักอย่าง
แม้ซุนซิ่งฮวาจะกล้าค้นตัวเสวี่ยเจียเยว่ ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งนั้นนางกลับไม่กล้าค้น เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกเลี้ยง และโตเป็นเด็กหนุ่มแล้ว หากทำเช่นนั้นก็คงไม่เหมาะเท่าไรนัก เขาจึงซ่อนสาลี่ป่ากับพุทราเอาไว้กับตัวได้
เสวี่ยเจียเยว่ยื่นสองมือไปรับผลไม้มาวางบนโต๊ะ ก่อนหยิบพุทราขึ้นมากินหนึ่งลูก และส่งอีกลูกให้เสวี่ยหยวนจิ้ง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ กินด้วยกันสิเจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นแม่นางน้อยยิ้มจนดวงตาหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ริมฝีปากบางของเขาก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนส่งเสียงอือออกมาคำหนึ่ง และรับพุทราลูกนั้นมากิน
เมื่อกินพุทราเสร็จแล้ว บนโต๊ะยังเหลือสาลี่ป่าอีกหนึ่งลูก เสวี่ยเจียเยว่ไม่อยากกินคนเดียวจึงเอ่ยขึ้นมา “ท่านพี่ กริชของท่านล่ะเจ้าคะ นำมาผ่าครึ่งเถิด แล้วพวกเราก็แบ่งกันกินคนละครึ่ง”
ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับไม่ขยับ เพียงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องแบ่งหรอก เจ้ากินเถอะ ข้าไม่กิน”
เสวี่ยเจียเยว่เผลอยิ้มออกมา ไม่คิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะเชื่อคำพูดของเธอ แต่ถึงอย่างไรในใจก็รู้สึกซาบซึ้งอยู่ดี จากนั้นเธอหยิบสาลี่ขึ้นมาและกัดกินอย่างช้าๆ เธอกินไปด้วย พูดคุยกับเขาไปด้วย
ยามนี้เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังจัดระเบียบตำราของตน
เดิมทีตำราของเขามีอยู่ไม่กี่เล่ม อีกทั้งยังเก่าและขาดไม่น้อย ตอนที่ขึ้นเขาไปหลายวัน เล่มที่เขาอ่านก็คือหลุนอวี่[1] ส่วนตอนนี้ตำราที่เขาหยิบขึ้นมาอ่านก็คือคัมภีร์เมิ่งจื่อ[2] เขาหรี่ตาอ่านอยู่ที่โต๊ะ ท่าทางดูตั้งใจเป็นอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่าขอบตำราจะม้วนขึ้นเล็กน้อย น่าจะถูกเสวี่ยหยวนจิ้งเปิดอ่านมาแล้วหลายรอบ
เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจว่า ไม่รู้ว่าในเมืองจะมีร้านขายตำราหรือไม่ ถ้ามีละก็ เธอจะต้องคิดหาวิธีซื้อมาให้เสวี่ยหยวนจิ้งสักสองเล่ม หากยังอ่านแต่ตำราเหล่านี้ ต้องไม่เป็นผลดีต่อการศึกษาของเขาแน่
ในฤดูหนาวงานของชาวนามีไม่มากนัก แต่ละวันจึงมีเวลาว่างอยู่ไม่น้อย แม้จะเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ แต่ก็มีชาวบ้านมารวมตัวกันเล่นการพนัน และเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาต่างก็ชอบเล่นการพนันมาก เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จ ทั้งสองจะรีบไปเรือนที่เรียกว่า ‘โรงบ่อน’ ซึ่งอยู่หน้าหมู่บ้าน
ในเรือนหลังนั้นมีผายโกว[3] และไพ่ใบไม้ ในยามปกติหากชาวบ้านในหมู่บ้านซิ่วเฟิงอยากเล่นก็จะไปที่เรือนหลังนั้น
เมื่อพวกเขาเดินออกจากเรือนไปแล้ว เสวี่ยเจียเยว่สนทนากับเสวี่ยหยวนจิ้งครู่หนึ่ง ก่อนจะออกไปค้นหาถุงผ้าใส่ของป่าที่ตนซ่อนเอาไว้ในกองฟางเมื่อเย็นวานนี้ แล้วดึงออกมาหนึ่งใบ จากนั้นก็อุ้มไปที่เรือนของยายหาน
หลังจากไปเรือนของยายหานในครั้งนั้น ยามที่เสวี่ยเจียเยว่ไม่มีอะไรทำ เธอก็มักจะไปที่เรือนของสตรีสูงวัยอีก เพื่อสนทนาหรือช่วยทำงานที่เธอพอจะทำได้ แม้ตอนแรกยายหานจะมีท่าทีไม่เป็นมิตรต่อเสวี่ยเจียเยว่เพราะไม่ชอบซุนซิ่งฮวา แต่เมื่อเห็นว่าแม่นางน้อยพูดจาอ่อนหวาน และมักจะเอ่ยยกยอให้นางดีใจเสมอ ทำงานอะไรก็คล่องแคล่วขยันขันแข็ง ยายหานจึงมองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยความเอ็นดูไม่น้อย
ยามนี้เสวี่ยเจียเยว่อุ้มถุงผ้าใส่ของป่าเดินผ่านประตูลานเรือน เห็นยายหานที่ม้วนแขนเสื้อขึ้นกำลังยกถังไม้ใบหนึ่งอยู่ เธอจึงรีบเดินไปหาพลางเอ่ยขึ้น
“ท่านยายหาน ข้าช่วยท่านยกนะเจ้าคะ”
เธอกล่าวจบก็วางถุงผ้าลงบนพื้น ก่อนจะช่วยยกถังไม้
เมื่อยายหานเห็นเสวี่ยเจียเยว่ ก็ตกใจจนวางถังไม้ในมือลง “เอ้อร์ยา? ไม่กี่วันก่อนข้าได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าเจ้ากับพี่ของเจ้าขึ้นเขาไปเก็บของป่า หลายวันแล้วก็ยังไม่กลับมา ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเจ้าสองพี่น้องต้องถูกเสือคาบไปกินแล้วอย่างแน่นอน และประณามพ่อกับแม่ของเจ้าว่าใจคอโหดเหี้ยม สมควรถูกสวรรค์ลงโทษ แต่เหตุใดตอนนี้เจ้าถึงได้กลับมาปลอดภัยเช่นนี้เล่า”
สายตาของสตรีสูงวัยพินิจมองเสวี่ยเจียเยว่ตั้งแต่ศีรษะจดเท้า เมื่อเห็นว่าแม่นางน้อยไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน อีกทั้งใบหน้าก็ดูมีน้ำมีนวลกว่าเมื่อก่อน จึงกล่าวต่อ
“เจ้าดูแข็งแรงกว่าเมื่อก่อนเยอะเชียว ใบหน้าก็มีน้ำมีนวลขึ้น ดูเหมือนว่าหลายวันมานี้พวกเจ้าสองคนพี่น้องคงไม่ได้ลำบากอะไรใช่หรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่ยิ้มแย้มพลางยกถังไม้เข้าไปในโรงโม่ จากนั้นก็บอกเรื่องที่ตนกับเสวี่ยหยวนจิ้งไปพบหมาป่าแล้ววิ่งหนีจนหลงทาง เหมือนที่เธอเล่าให้พวกชาวบ้านฟังเมื่อวาน ทั้งยังเอ่ยเสริม
“ตอนแรกข้ากับท่านพี่ก็ลำบากอยู่บ้าง แต่ท่านอาจจะยังไม่รู้ว่าในป่าลึกมีของกินอยู่มาก จึงไม่ได้อดอยากขนาดนั้น ใบหน้าของข้าเลยมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าเมื่อก่อน”
สองปู่หลานตระกูลหลี่เก่งเรื่องวรยุทธ์ ในเรือนของพวกเขาจึงมีเนื้อสัตว์อยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นหลายวันที่ผ่านมาอาหารการกินของเสวี่ยเจียเยว่จึงดีไม่น้อย อีกทั้งตอนที่เดินทางกลับมากับเสวี่ยหยวนจิ้ง หากไม่ได้กินเนื้อกระต่ายป่า เนื้อไก่ป่า และเนื้อเลียงผา ใบหน้าของเธอคงไม่มีน้ำมีนวลเช่นนี้กระมัง
เสวี่ยเจียเยว่ออกไปหยิบถุงผ้าใส่ของป่าใบนั้นเข้ามา และเปิดออกให้ยายหานดู “ท่านยายหาน ของป่าพวกนี้ข้ากับท่านพี่เก็บไว้ให้ท่านโดยเฉพาะ อาจจะไม่ใช่ของดีอะไร แต่ท่านลองชิมดูเจ้าค่ะ”
ยายหานรับถุงผ้ามา พบว่าด้านในมีลูกพลับ ถั่วเหอเถาป่า และเกาลัดอยู่เต็มถุงใบใหญ่
สิ่งของนั้นเรื่องเล็ก แต่สำคัญที่สุดคือความรักความห่วงใย ยายหานรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
“เจ้ากับพี่ของเจ้าเข้าป่าลึกไปเสี่ยงอันตราย เก็บของป่ามาได้ก็ยังไม่ลืมข้า จะให้ข้าพูดอย่างไรดีเล่า”
ยายหานมีลูกชายคนเดียว เขาเข้าเมืองไปฝึกทำงานในร้านค้าแห่งหนึ่ง นางจึงอยู่คนเดียวในเวลาปกติ และโดดเดี่ยวเป็นอย่างมาก ช่วงที่ผ่านมามีเสวี่ยเจียเยว่มาพูดคุยกับนาง ทั้งยังช่วยงานนางอยู่เป็นประจำ แม้บางครั้งนางจะทำหน้าเคร่งขรึม แต่ในใจก็มีความสุข ยิ่งได้เห็นถุงของป่าใบนี้ ในใจของนางก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น และอยากจะดูแลเสวี่ยเจียเยว่เป็นหลานสาวแท้ๆ ของตน
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ท่านยายหาน ดูท่านพูดสิ ช่วงที่ผ่านมานั้นข้ามาเรือนของท่าน ท่านก็ให้ข้ากินเต้าฮวยอยู่บ่อยๆ ตอนนี้ข้ากับท่านพี่นำของป่าพวกนี้มาให้ท่านได้ชิมก็เหมาะสมแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
เมื่อเห็นในถังไม้ใบหนึ่งมีถั่วเหลืองแช่เอาไว้ เธอจึงเอ่ยถามขึ้นมา “ท่านยายหาน ท่านแช่ถั่วเหลืองมากขนาดนี้ จะทำเต้าหู้หรือเจ้าคะ”
“ใช่ ข้าจะทำเต้าหู้” ยายหานพยักหน้าพลางเอ่ยตอบ “อากาศเริ่มหนาวแล้ว เมื่อถึงวันที่หิมะตกหนักจนภูเขาปิด ข้าก็ไม่รู้ว่าจะออกไปขายเต้าหู้ได้หรือไม่ ข้าเลยอยากจะใช้ยามนี้ขายเต้าหู้ให้ได้มากที่สุด เก็บเงินเอาไว้ฉลองปีใหม่”
นางพูดไปก็ชี้ไปที่ถั่วเหลืองในถังไม้และเอ่ยต่อ “ถั่วเหลืองพวกนี้แช่มาสองวันแล้ว พอบดทำเป็นเต้าหู้ ข้าก็คิดว่าพรุ่งนี้จะนำไปขายในเมืองแต่เช้า”
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น ในใจของเธอพลันสั่นไหวขึ้นมาทันที
ตอนที่มาเรือนนี้ครั้งแรกเธอคิดว่ายายหานนำเต้าหู้ไปขายในเมืองเป็นประจำ จึงอยากจะออกไปดูโลกภายนอกด้วย ทว่าตอนที่เธอมาหาอีกหลายครั้ง อีกฝ่ายยังมีท่าทีไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก เธอจึงไม่อยากเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา อีกอย่าง… ยามนั้นยายหานยังไม่คิดจะเข้าไปในเมือง จึงเป็นเรื่องยากที่จะมีโอกาสอันเหมาะสมเช่นในตอนนี้ ยามนี้ในเมื่อโอกาสที่จะได้ออกไปดูโลกภายนอกมาถึงแล้ว เธอย่อมคว้าเอาไว้อย่างแน่นอน
[1] คัมภีร์พื้นฐานของสำนักปรัชญาขงจื่อ เป็นบทสนทนาที่เหล่าศิษย์รวบรวมขึ้นหลังมรณกรรมของขงจื่อ
[2] คือหนึ่งในสี่ตำราของสำนักปรัชญาขงจื่อ ซึ่งบันทึกปรัชญาของเมิ่งจื่อ ผู้เป็นนักปรัชญาชาวจีนชื่อดัง
[3] ผายโกว เป็นเกมการพนันที่มีต้นกำเนิดในประเทศจีน จะเล่นกับโดมิโน 32 ตัว โดยต้องทำให้ได้ 9 แต้ม