ตอนที่ 115 รางวัลจากฮูหยินของนายอำเภอ
เมิ่งหนานมองแล้วก็ส่ายหน้า มิน่าเล่าคนสกุลไป๋ถึงทำเรื่องไร้ศีลธรรมเช่นนี้ได้ลง เพราะแต่ละคนเห็นแก่ตัวและเห็นแก่ได้นี่เอง
ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ต้นสะพานไม่ตรง ปลายสะพานย่อมเอียง[1]’
ผู้ใหญ่อย่างหญิงชราเล่นลูกไม้เช่นนี้ ลูกหลานสืบต่อจากนางเหล่านี้จะมีดีได้อย่างไร
ลูกหลานสกุลอื่นมีแต่จะแย่งกันช่วยผู้ใหญ่รับความลำบาก แต่ลูกหลานสกุลไป๋กลับไม่มีใครยอมทำเช่นนั้นสักคน
เจ้าหน้าที่สองคนสั่งคนสกุลไป๋ให้นอนคว่ำหน้าทั้งหมด ทว่าไม่ได้นำไม้สำหรับลงโทษโดยเฉพาะมาด้วย จึงใช้ฝักดกระบี่ตรงเอวมาใช้แทน ฝักกระบี่ด้านนอกทำจากหนังสัตว์ ห่อด้วยแผ่นเหล็กและห่วงเหล็ก เมื่อตีลงบนเนื้อกายอ่อนนุ่มแล้ว เจ็บปวดยิ่งกว่าไม้โบยที่ทำจากไม้มากนัด
หญิงชราสกุลไป๋ถูกตีไปแล้วสิบไม้ แม้จะไม่ถึงกับเจ็บจนสลบไป แต่ก็เจ็บจนนางปวดเศียรเวียนเกล้า ไม่กล้าขยับร่างกาย เพราะเพียงแค่ขยับเล็กน้อยสักครั้ง ความเจ็บปวดบนบั้นท้ายนั้นก็ราวกับใช้มีดแหลมกรีดเนื้อของนางให้เปิดออกอย่างช้าๆ ก็ไม่ปาน
เสียงร้องน่าเวทนาภายในลานบ้านดังขึ้นไม่ขาดสาย ไป๋จื่อที่ยืนชมอยู่ข้างนอกลานบ้านรู้สึกเบิกบานใจนัก ในที่สุดก็ทำให้พวกเขาได้ลิ้มรสชาติเวลาถูกตีแล้ว
รสชาตินี้เป็นอย่างไร นางรู้ดียิ่งกว่าผู้ใดนัก ชาติก่อนของไป๋จื่อก็ถูกพวกเขาตีตายทั้งเป็นเช่นนี้
วันนี้แม้พวกเขาจะร้องโหยหวนอีกสักเพียงใด นางก็ไม่รู้สึกเห็นใจหรือสงสารแม้สักนิด มีเพียงคำว่าสมควรและกรรมตามสนองจะมอบให้พวกเขาเท่านั้น
เมื่อการลงโทษเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนกลับไปยืนข้างหลังองครักษ์จิน ลำตัวของพวกเขายืดตรง ดูน่าเกรงขามและเย็นชาดังเดิม
เมิ่งหนานกล่าวกับคนสกุลไป๋ที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นว่า “วันนี้ข้าเพียงสั่งสอนพวกเจ้าเล็กน้อยเท่านั้น หวังว่าพวกเจ้าจะจำบทเรียนนี้ไว้ ความผิดเช่นเดียวกันนี้ ไม่อาจเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง”
หญิงชราเจ็บจนพูดไม่ออกแล้ว หน้าผากมีเหงื่อกาฬเย็นเยียบซึมออกมาไม่หยุด ทว่าก็ยังไม่กล้าไม่ตอบรับคำของใต้เท้าเมิ่ง นางเพียงพยักหน้าหงึกหงัก ร้องอืมๆ ไม่ขาดสาย
เมิ่งหนานกลับหลังหันด้วยความพอใจ ก่อนจะพูดกับองครักษ์จิน “เอาล่ะ ตัดสินคดีเสร็จแล้ว ร้อยตำลึงเงินนี้นำไปมอบให้แม่นางไป๋เถอะ นี่เป็นรางวัลที่ฮูหยินของท่านนายอำเภอมอบให้นาง”
ครั้นเมิ่งหนานพูดจบ คนสกุลไป๋ก็พากันเงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง มององครักษ์จินนำถาดรองใส่หนึ่งร้อยตำลึงเงินส่งให้ไป๋จื่อตาปริบๆ
นี่มันเรื่องอะไรกัน ฮูหยินของท่านนายอำเภอจะมองหนึ่งร้อยตำลึงเงินให้ไป๋จื่อโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร
พวกชาวบ้านต่างก็อิจฉาตาร้อน หนึ่งร้อยตำลึงเงินเชียวนะ ทั้งชีวิตนี้พวกเขาไม่เคยเห็นเงินมากขนาดนี้เช่นกัน พวงเงินสีขาวแวววาววางอยู่เต็มถาดรองสีแดงนั้น ช่างล่อลวงให้คนต้องน้ำลายสอเสียจริง
ทุกคนล้วนอยากรู้นัก ว่าเหตุใดฮูหยินของท่านนายอำเภอเงินรางวัลกับไป๋จื่อมากขนาดนี้ บัดนี้ในใจของทุกคนเต็มไปด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง
ดังนั้นจึงมีคนหาญกล้าถามขึ้นว่า “จื่อยาโถว เหตุใดเจ้าถึงได้โชคดีนัก แม้แต่ฮูหยินของท่านนายอำเภอก็ให้รางวัลเจ้าด้วยหรือ”
ไป๋จื่อยังไม่ได้ตอบ องครักษ์จินที่ถือถาดรองเป็นคนพูดว่า “วันนี้แม่นางไป๋ช่วยชีวิตคุณชายน้อยของท่านนายอำเภอไว้ ฮูหยินซาบซึ้งในบุญคุณของแม่นางไป๋ จึงให้รางวัลหนึ่งร้อยตำลึงเงิน”
ที่แท้เพราะไป๋จื่อช่วยชีวิตคุณชายน้อยของท่านนายอำเภอไว้ มิน่าเล่าฮูหยินถึงได้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เช่นนี้
ไป๋จื่อรับถาดรองที่องครักษ์จินยื่นมาให้ นางรู้ว่าเมิ่งหนานจงใจมอบหนึ่งร้อยตำลึงเงินให้นางต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้าน ทั้งให้ทุกคนรู้ที่มาของเงินนี้ และเป็นการบอกทุกคนกลายๆ ว่าไป๋จื่อผู้นี้เป็นผู้มีบุญคุณของท่านนายอำเภอ คนที่คิดจะรังแกนาง ต่อไปต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน
แน่นอนว่าต้องการจะให้คนสกุลไป๋เห็นเป็นหลัก เพื่อให้พวกเขาล้มเลิกความคิดที่จะรังแกนาง และให้พวกเขารู้ว่าการเตะไป๋จื่อผู้นี้ออกจากสกุลไป๋ นับเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงใด ทั้งยังให้พวกเขาเสียใจและคับแค้นจนแทบขาดใจ
……….
ตอนที่ 116 ซาบซึ้ง
ความซาบซึ้งในใจเพียงเล็กน้อยอาจจะไม่สำคัญอะไรสำหรับเมิ่งหนาน ทว่านางก็ยังคงซาบซึ้งในน้ำใจของเขา
เรื่องบางเรื่องเขาไม่จำเป็นต้องทำโดยสิ้นเชิง แต่เขาก็ยังคงทำออกมา
เรื่องสกุลไป๋จบลงแล้ว ละครก็ดูจบแล้ว พวกชาวบ้านพากันแยกบ้าน บางคนกลับไปทำอาการที่บ้าน บางคนลงที่ดินทำงาน ไม่นานก็เดินหายกันไปหมดเกลี้ยง บรรยากาศจอแจกลายเป็นเงียบสงบขึ้นมา
เมิ่งหนานนำองครักษ์จินและเจ้าหน้าที่สองคนเดินออกมาจากในลานบ้านสกุลไป๋
จ้าวหลานและไป๋จื่อก้าวเข้ามาขอบคุณ “ขอบคุณใต้เท้าที่ตรวจสอบอย่างชัดแจ้ง และคืนความยุติธรรมให้พวกข้าสองแม่ลูก”
เมิ่งหนานโบกมือ “ไม่ต้องขอบคุณหรอก ข้ารับตำแหน่งก็เพื่อจัดการเรื่องราวต่างๆ ล้วนเป็นเรื่องที่ข้าควรทำ ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ” สายตาของเขามองไปที่ร่างของไป๋จื่อ ดวงตานอกผ้าคลุมสีดำเปล่งประกายเป็นพิเศษ
“แม่นางไป๋ จำคำสัญญาของเจ้าได้หรือไม่”
ไป๋จื่อยิ้มจาง “ย่อมไม่กล้าลืมเจ้าค่ะ” นางเงยหน้ามองดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า มันค่อยๆ ลอยสู่กึ่งกลาง ครั้นเห็นว่าใกล้เที่ยงวันแล้ว นางจึงกล่าวว่า “สายแล้ว พวกใต้เท้าอยู่กินข้าวที่นี่เถิดเจ้าค่ะ”
สีหน้าของเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนไม่ค่อยยินดีนัก ในหมู่บ้านยากจนเช่นนี้ จะมีของอร่อยอะไรเล่า หากรีบกลับไปตอนนี้ ก็เป็นเวลาที่ในเมืองกำลังคึกคักพอดี
เมิ่งหนานกันไปกล่าวกับเจ้าหน้าที่สองคน “พวกเจ้ากลับก่อนเถอะ ข้ากับองครักษ์จินจะอยู่ต่อ ยังมีเรื่องต้องถามแม่นางไป๋อีกเล็กน้อย”
เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนย่อมขอให้เป็นเช่นนั้น พวกเขารีบบอกลา ด้วยกลัวว่าหากช้าไปเพียงก้าวเดียว จะถูกใต้เท้ารั้งไว้กินข้าว พวกเขาไม่อยากกินอาหารหยาบจืดชืดเช่นนั้นในหมู่บ้านยากจนแห่งนี้
สายตาของเมิ่งหนานมองไปยังหูเฟิง อีกฝ่ายหันหลังให้พวกเขา สายตาที่เหม่อมองไปไกลล้ำลึกนัก
“เขาคือหูเฟิงหรือ” เมิ่งหนานเลิกคิ้วถาม
“ใช่ขอรับ” หูจ่างหลินรีบตอบ
เมิ่งหนานมองเงาหลังของหูเฟิง ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง แม้สวมเสื้อผ้าหยาบปะรูทั้งตัว แต่กลับไม่อาจปกปิดความสูงส่งที่แผ่กระจายออกมาจากร่างกายของเขาได้เลย
บนตัวชาวบ้านตามป่าเขาธรรมดาคนหนึ่ง จะมีกลิ่นอายสูงส่งที่เขาจำต้องมองอยู่หลายครั้งเช่นนี้ได้อย่างไร
เมื่อมองดูให้ละเอียดไปอีกขั้น หูเฟิงย่างเท้าไปข้างหน้า ฝีเท้าหนักแน่นมั่นคง ครั้นเท้าย่ำพื้นไร้สุ้มเสียง น่าจะเป็นบุตรหลานที่ได้รับการสั่งสอนอย่างดีคนหนึ่ง
ทว่าเมื่อมองเงาหลังของเขาในตอนนี้อีกครั้ง กลับไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายความสูงส่งอะไร เงาหลังของเขาเหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เพียงแต่ผึ่งผายกว่าคนอื่นเล็กน้อย
หรือว่าเมื่อครู่เขาจะตาฝาดไป
“ดูท่าทางหูเฟิงไม่ค่อยชอบพูดจากระมัง” เมิ่งหนานกล่าวกับหูจ่างหลิน
หูจ่างหลินรีบตอบ “เรียนใต้เท้า หูเฟิงมีนิสัยเก็บตัว ถึงแม้เวลาอยู่ในบ้าน ก็ไม่ค่อยชอบพูดจาเช่นกัน ขอใต้เท้าโปรดอภัย”
เมิ่งหนานตอบรับเสียงหนึ่ง ก่อนจะกล่าวกับไป๋จื่อว่า “เจ้าต้องการเชิญข้ากินข้าวไม่ใช่หรือ ไปกันเถอะ!”
เฮ้อ…เขาช่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
เมื่อพวกเขากลับถึงสกุลหู หูเฟิงก็กลับไปในห้องของตนเองแล้ว ทั้งยังปิดตายประตู ดูท่าไม่คิดจะออกมาแล้ว
ไป๋จื่อกล่าวกับเมิ่งหนานว่า “ใต้เท้าพักผ่อนก่อน ข้าจะไปทำอาหาร อีกเดี๋ยวกินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว ข้าค่อยเริ่มออกใบสั่งยาให้ท่าน รับรองว่าสามวันให้หลัง ใบหน้าของท่านจะต้องหายเป็นปกติเจ้าค่ะ”
องครักษ์จินพลันดีอกดีใจ “เจ้าพูดจริงหรือ”
“เรื่องพรรค์นี้ข้าจะกล้าหลอกใต้เท้าได้อย่างไร อีกอย่างพิษที่ใต้เท้าถูกนี้ ก็ไม่ใช่พิษหายากอะไร หมอในเมืองเหล่านั้นก็มีวิธีคลายพิษชนิดนี้เช่นกัน เพียงพวกเขาระมัดระวังกับการใช้ยาจนเกินไป ทั้งยังกลัวการต้องรับผิดชอบ จึงไม่กล้าสั่งยาเต็มที่ ถึงได้ทำให้พิษที่ใต้เท้าถูกไม่บรรเทาเสียที” ไป๋จื่อยิ้มกล่าว
เห็นนางพูดอย่างมีเหตุมีผลเช่นนี้ องครักษ์จินก็วางใจลงได้ในที่สุด คาดว่าเด็กสาวนางนี้ไม่กล้าพูดจาเพ้อเจ้อเช่นกัน
[1] ต้นสะพานไม่ตรง ปลายสะพานย่อมเอียง อุปมาว่า เบื้องบนประพฤติตัวไม่เหมาะสม คนใต้บังคับบัญชาย่อมทำเรื่องไม่ดีตาม