ด้านนอกห้องหนังสือนอกจวนหลี่ มีเพียงผู้ดูแล้วจ้าวที่กำลังยืนอยู่ ขณะที่สาวรับใช้คนอื่นๆ ต่างยืนห่างไกลออกไปบริเวณใต้ชายคา โดยแต่ละคนต่างมีสีหน้าเป็นกังวลและนัยน์ตาซึ่งเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่ด้วยที่ว่าผู้ดูแลจ้าวกำลังยืนอยู่บริเวณนั้น จึงไม่มีใครกล้าเอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมา และใช้เพียงสายตาสื่อสารกันไปอย่างเงียบๆ เท่านั้น
คุณชายรองซึ่งเพิ่งกลับมาหลังจากห่างไกลบ้านไปนานเป็นระยะเวลาเกือบสี่ปี เดิมทีควรจะเป็นเรื่องชื่นมื่นยินดีปรีดา ทว่าเนื่องจากข่าวลือเกี่ยวกับคุณชายรองที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเมื่อเดือนก่อน บรรยากาศในจวนจึงตลบอบอวลไปด้วยความแปลกประหลาดชอบกล อีกทั้งนายท่านก็ยังมีใบหน้าอันแสนบึ้งตึงอยู่ตลอดทั้งวัน ราวกับบนหน้าผากของเขากำลังบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า…ข้ารู้สึกวุ่นวายใจเป็นอย่างมาก ขณะที่ทางด้านฮูหยินนั้นซึ่งดูเหมือนจะเศร้าหมองอยู่ไม่น้อย แต่จากที่คนในครัวพากันพูดถึงว่าในช่วงระยะนี้ฮูหยินกลับมีอาการอยากอาหาร และสั่งให้ทางห้องครัวทำรายการอาหารรสเลิศออกมาหลากหลายอย่าง ในส่วนของคุณชายใหญ่และภรรยาของคุณชายใหญ่นั้นหลังจากทะเลาะกันไปหนึ่งยก จนถึงวันนี้ต่างก็ยังคงไม่แยแสกัน…
เพลานี้คุณชายรองซึ่งรอบกายเต็มไปด้วยการต่อสู้อันดุเดือดกลับมานั่งอ่านตำราอยู่ในห้องหนังสือสบายใจเฉิบ
หลี่จิ้งเสียนยืนจ้องมองบุตรชายของตนที่อยู่ในห้องหนังสือศูนย์กลาง เป็นเวลาเกือบสี่ปีมาแล้วที่เขาไม่ได้เห็นหน้าค่าตาหลี่หมิงอวิน ลูกชายคนนี้สูงใหญ่ขึ้นไม่น้อยเลย ความเป็นเด็กได้จางหายไปจนหมดสิ้น โดยมีเพียงความสง่างามและสุขุมเยือกเย็นแทรกเข้ามาแทน เขาในตอนนี้เป็นตัวของตัวเองอย่างผ่อนคลายสบายๆ ราวกับสายน้ำที่ค่อยๆ หลินไหล แต่ยังคงแอบซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้โดยมิได้เปิดเผย หลี่จิ้งเสียนได้แต่แอบถอนหายใจอยู่ลึกๆ หมิงอวินนับวันยิ่งไม่ต่างจากท่านแม่ของเขาเข้าไปทุกที…
การถอดถอนหายใจซึ่งดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด และทันใดนั้นเองหลี่จิ้งเสียนก็นึกถึงเรื่องราวข่าวลือเหล่านั้นขึ้นมาได้ ความอัดอั้นตันใจที่ล้นหลามจึงแทรกเข้ามาชั่วขณะจนอดไม่ได้ที่จะตรงเข้าไปกล่าวตำหนิติเตียนหมิงอวินให้รู้สึกรู้สาเสียบ้าง เขาปิดฝาถ้วยน้ำชาลงแล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงซึ่งผ่านการสกัดกลั้นอารมณ์ให้เรียบสงบมากที่สุด “เรื่องผู้หญิงคนนั้นเป็นมาอย่างไรกันหรือ”
หลี่หมิงอวินไม่แสดงสีหน้าใดๆ เป็นมาอย่างไรงั้นหรือ เฉินจื่ออวี้ก็น่าจะพูดไว้ชัดเจนแล้วและท่านพ่อก็คงเข้าใจอย่างดีแล้วด้วยเช่นกัน
“นางเป็นหมอที่หมู่บ้านเจี้ยนซีซึ่งเคยช่วยชีวิตลูกเอาไว้ ลูกรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ จึงตัดสินใจสู่ขอนางเป็นภรรยา” หลี่หมิงอวินใช้ลักษณะการบอกเล่าเรื่องราวด้วยความเป็นจริงที่เกิดขึ้นและไม่ต้องการขอความคิดเห็นจากผู้ใดทั้งสิ้น
“ไร้สาระ” หลี่จิ้งเสียนรู้สึกหงุดหงิดกับน้ำเสียงเช่นนี้ของเขาที่ฟังดูเหมือนให้ความเคารพและอ่อนโยน แต่บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นอย่างชัดเจน เขาจึงกล่าวกลับไปด้วยเสียงทุ้มต่ำอย่างสง่าผ่าเผย
“ซาบซึ้งในบุญคุณก็ถึงขั้นต้องขอนางเป็นเมียเลยงั้นรึ เหตุใดเจ้าจึงไม่ไตร่ตรองเสียบ้างว่าตนเองนั้นเป็นใคร แล้วนางเป็นใคร การที่เจ้าทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากการทำลายอนาคตของตัวเองชัดๆ ” หลี่จิ้งเสียนกล่าวตำหนิด้วยความโมโห
หลี่หมิงอวินโต้กลับอย่างไม่สะทกสะท้าน “อนาคตของลูกผู้ชายคือการพึ่งพาความสามารถของตนเองในการต่อสู้ หากเป็นการพึงพาผู้หญิงเพื่อจะได้รับตำแหน่ง ลูกคงรู้สึกอับอายขายหน้าเป็นยิ่งนัก”
เป็นคำพูดซึ่งแฝงการเสียดสีเอาไว้ และยังเป็นการเสียดสีที่ตรงเผง คำพูดประโยคนี้ทิ่มแทงจุดอ่อนของหลี่จิ้งเสียนเสมือนกริชด้ามคม อย่างไรก็ตามหลี่จิ้งเสียนไม่มีวันยอมรับได้เป็นอันขาด ดังนั้นแม้ว่าเขาจะโกรธเป็นอย่างมาก ก็ทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเสีย
“เจ้ามีความทะเยอทะยานนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ทว่าอย่าลืมไปสิว่าเจ้าเป็นบุตรชายของตระกูลหลี่ คำพูดและการกระทำของเจ้าล้วนเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลหลี่ทั้งนั้น การที่เจ้าเพิกเฉยต่อเกียรติยศและไม่สนว่าวงศ์ตระกูลจะอับอายขายหน้าเพียงใดโดยกระทำการตามอำเภอใจเช่นนี้ ไม่เท่ากับเป็นการขัดต่อบรรดาตำราปรัชญาที่เจ้าอ่านไปทั้งหมดหรอกหรือ”
“ลูกกลับไม่คิดว่าคำพูดและการกระทำของตนเองจะมีอะไรซึ่งสามารถทำให้ใครต่อใครเดือดร้อนนี่ขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
หลี่จิ้งเสียนโมโหเป็นอย่างยิ่ง “ความโอหังของเจ้าทำให้พ่อของเจ้ากำลังกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของเหล่าขุนนาง และเจ้าทำให้ทุกคนในตระกูลหลี่ไม่สามารถสู้หน้าใครต่อใครได้”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มขึ้นมาชั่วครู่พลางเงยหน้ามองดูผู้เป็นพ่อที่กำลังเกรี้ยวกราด ภายในความทรงจำดูเหมือนว่าท่านพ่อจะพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลและทัศนคติที่อ่อนโยนใจดีน้อยครั้งมาก เมื่อไม่พึงพอใจแม้เพียงเล็กน้อยก็จะตามมาด้วยการตำหนิติเตียนใหญ่โต ในอดีตเขาคิดอย่างไร้เดียงสาว่าที่พ่อของเขาเข้มงวดก็ด้วยความหวังดีที่มีต่อเขา เกรงว่าเขาจะไม่ต่างจากลูกชายของเศรษฐีคนอื่นๆ ที่ไม่มีความกล้าได้กล้าเสียและเกียจคร้าน เอาแต่รักสนุก เขาจึงตั้งใจทุ่มเทอย่างหนักมาโดยตลอด ทั้งการเรียน ทั้งการพยายามควบคุมคำพูดและการกระทำ เพื่อจะเป็นลูกชายแสนดีในอุดมคติของผู้เป็นพ่อ ดังนั้นตั้งแต่อายุสามขวบ เขาแต่งตัวและกินอาหารด้วยตนเอง เขาทำทุกอย่างที่ทำได้เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งรอยยิ้มและคำชมของพ่อ ต่อมาภายหลังเขารับรู้ว่าแท้จริงแล้วความเฉยเมยและความเข้มงวดของท่านพ่อ เป็นเพราะการดำรงอยู่ของหลี่หมิงเจ๋อ ได้ยินมาว่าในวันที่หลี่หมิงเจ๋อระลึกถึงบรรพบุรุษของเขา พ่อและลูกชายกอดกันร้องไห้ ภายใต้ฉากนั้นคงเป็นภาพที่ประทับใจไม่น้อยเลยสินะ!
หลี่หมิงอวินแสยะยิ้มเย็นชา “ท่านพ่อกังวลมากเกินไปแล้วกระมัง! ตอนแรกที่ท่านพ่อแต่งงานกับแม่เลี้ยง มิใช่ว่าก็ชนะใจใครต่อใครอย่างล้นหลามหรอกหรือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังสรรเสริญความรักและความชอบธรรมของท่านพ่อมิใช่หรือ ซึ่งแม่เลี้ยงก็เป็นหญิงสาวชาวบ้านเช่นกันมิใช่หรือ และจะว่าไปแล้ว หลินหลันแม้จะมาจากครอบครัวชาวบ้านแต่นางก็เป็นถึงหมอหญิง!”
“หุบปาก!” ขณะเดียวกันหลี่จิ้งเสียนก็ตบลงบนโต๊ะจนเกิดเป็นเสียงดัง ‘ปึ่ง’ ฝาครอบบนถ้วยน้ำชาถูกสั่นสะเทือนจนพลิกแล้วกลิ้งตกลงไปบนกระเบื้องสีฟ้าจนแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ
ใบหน้าชราของหลี่จิ้งเสียนเผยความโมโหโกรธา คางที่ปกคลุมไปด้วยนวดเคราของเขากำลังสั่นเล็กน้อย เขาจ้องมองลูกชายที่ห่างหายไปนานผู้นี้ด้วยความโกรธผ่านนัยน์ตาคู่ดุราวกับกำลังจ้องมองคนแปลกหน้า ใช่ เขาเปลี่ยนไปมาก ลูกชายตรงหน้าเขาไม่ใช่คนเดิมที่คอยเชื่อฟังคำสั่งของเขาอีกต่อไปแล้ว ลูกชายที่แสดงทีท่าระมัดระวังตัวต่อหน้าเขาอยู่ตลอดเวลา หมิงอวินในตอนนี้ ดูสงบและไม่ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของเขาสุขุมยิ่งนัก ทว่าคำพูดของเขาแต่ละประโยคกลับเต็มไปด้วยการเย้ยหยันและดูถูก การดูถูกอันเฉียบแหลมเช่นนั้น…เขาจึงตระหนักได้ชัดเจนว่า หลี่หมิงอวินกำลังเกลียดเขา
หลี่หมิงอวินจ้องมองผู้เป็นพ่อของเขาอย่างสงบนิ่ง ได้มองดูเขาที่กำลังโมโหเป็นบ้าเป็นหลัง มันทำให้ในใจของเขารู้สึกซะใจอย่างบอกไม่ถูก
ดวงตาของหลี่จิ้งเสียนอ่อนลงอย่างกะทันหัน ภายใต้สีหน้าอันเหนื่อยล้าก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางที่แสดงถึงความเสียใจ “หมิงอวิน พ่อรู้ว่าเจ้ากำลังเกลียดพ่อด้วยเรื่องของแม่เจ้า พ่อไม่โทษเจ้า เรื่องของแม่เจ้า เป็นพ่อเองที่ไม่ดี ผิดที่พ่อไม่ทันใดบอกกล่าวกับแม่ของเจ้าให้ชัดเจน ทำให้นางเข้าใจผิดไป เฮ้อ…แม่ของเจ้าเป็นผู้หญิงที่มีคุณธรรมและอ่อนโยนมาโดยตลอด เดิมทีข้าคิดว่านางจะเข้าใจถึงความยากลำบากของข้า แต่คาดไม่ถึงเลยว่านางจะใจแข็งเสียขนาดนี้ ในหลายปีมานี้ พ่อไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเลยแม้แต่วันเดียว เมื่อนึกถึงแม่ของเจ้าก็รู้สึก…เจ็บปวดหัวใจ…”
เมื่อเห็นท่าทีที่แสดงถึงความเจ็บปวดและเสียใจของผู้เป็นพ่อ หลี่หมิงอวินรู้สึกเพียงว่ามันน่าตลกสิ้นดี เพียงประโยคเดียวที่เรียกว่าเข้าใจผิดก็จะลบเลือนทุกอย่างได้งั้นหรือ เพียงประโยคเดียวที่เรียกว่าเข้าใจผิดก็จะทำให้เจ้าสบายใจได้แล้วงั้นหรือ เพียงประโยคเดียวที่เรียกว่าเข้าใจผิดก็จะทำให้ท่านแม่มีชีวิตฟื้นกลับคืนมาได้งั้นหรือ เห็นทีว่าการที่ท่านแม่เลือกจากไปจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสียแล้วสินะ การต้องอยู่กับคนเจ้าเล่ห์และไร้ยางอายเยี่ยงนี้ มันคงเป็นการยากเกินกว่าจะอดทนไหวแม้จะให้ทนอยู่เพียงแค่ชั่วครู่เดียวก็ตาม
“พ่อคิดว่าแม่ของเจ้าเพียงแค่ทำตัวนิสัยเด็กๆ จึงรอให้นางคิดได้แล้ว ข้าก็จะไปรับนางกลับมา แต่คาดไม่ถึงเลยว่า การรอคอยกลับเป็นข่าวคราวการตายของแม่เจ้า ข้าได้แต่ร้องไห้น้ำตาไม่ขาดสายตลอดทั้งสามวัน ข้าวปลาอาหารก็กินไม่ลงจนล้มป่วยหนักในที่สุด คิดเพียงแต่ไม่สู้ตายตามแม่ของเจ้าไปเสียยังดีกว่า…” หลี่จิ้งเสียนรู้สึกสะเทือนใจ นัยน์ตาเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาสีใส ราวกับต้องการแสดงให้เห็นถึงความรักและความจริงใจที่มีอย่างแท้จริง
หลี่หมิงอวินแอบยิ้มเยาะ ล้มป่วยหนักด้วยงั้นหรือ เพียงแค่ทำๆ ไปพอเป็นพิธีมากกว่ากระมัง!
“เดิมทีอยากจะนำป้ายวิญญาณของแม่เจ้ากลับมายังเมืองหลวง ทว่าท่านตาและท่านยายของเจ้า…ข้ารู้ดีว่าพวกเขาเสียใจเพียงใด บวกกลับการที่ไม่ได้รับรู้ความเป็นมาเป็นไปที่แท้จริงของเรื่องราว การที่พวกเขาจะโกรธเคืองข้านั่นคงไม่แปลก จึงได้แต่คิดอยู่ว่า รอให้ทั้งสองผู้ชราหายโกรธเคืองแล้วค่อยเดินทางไปยังเฟิงอาน…เฮ้อ! สิ่งต่างๆ ในโลกช่างเต็มไปด้วยความซับซ้อนและไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ เฉกเช่นกับตอนนี้ที่เซิ่งซ่าง [1] ดันมอบภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงให้แก่ข้า…”
หลี่หมิงอวินต้องใช้ความอดทนอย่างมากในการรับฟังคำพูดที่เสแสร้งและไร้ยางอายเหล่านี้ ในแง่หนึ่งเขาต้องชื่นชมทักษะการแสดงของผู้เป็นพ่อ ทั้งอารมณ์ที่เข้าถึงและคำพูดอันกินใจ สมกับที่จมอยู่กับตำแหน่งเจ้าหน้าที่หลวงมานานหลายปี ความไร้ยางอายนี้ได้แทรกซึมเข้าไปในกระดูกและหัวใจของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลี่จิ้งเสียนก้าวไปเบื้องหน้า วางมือตบลงบนไหล่ของหลี่หมิงอวินในฐานะผู้เป็นพ่อเฉกเช่นคนอื่นทั่วไป และถอนหายใจออกมา “หมิงอวินอา! พ่อไม่ขอให้เจ้าให้อภัย แต่ว่าเจ้าคือความภาคภูมิใจของพ่อมาโดยตลอด เป็นความหวังของพ่อ พ่อหวังดีต่อเจ้าด้วยใจจริง เจ้าอย่าได้ให้ความโกรธนี้มาทำร้ายตนเองและผู้อื่นเลย เจ้าเป็นเช่นนี้ พ่อเห็นแล้วก็เจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก เรื่องของแม่นางหลินหลัน พ่อจะจัดการแทนเจ้าเอง ตระกูลหลี่ของเราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตอบสนองนางในทุกๆ สิ่งที่นางต้องการ และจะไม่ทำให้นางต้องเสียเปรียบ การสอบของจักรวรรดิกำลังจะมาถึงในเร็วๆ นี้ พ่อคาดหวังในตัวเจ้าเป็นอย่างมาก หวังว่าเจ้าจะทุ่มเทแรงใจในการสอบ อย่าทำให้พ่อต้องโมโหอีกเลย”
ด้วยเสียงอ่อนลงเช่นนี้ หากมิใช่เป็นเพราะหลี่หมิงอวินได้พบความจริงก่อนหน้าแล้ว คงเกรงว่าจะยังคงรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งจนน้ำตาไหลด้วยซ้ำไป
เขาเบี่ยงตัวออกจากมือของผู้เป็นพ่อที่วางอยู่บนไหล่เขาอย่างแนบเนียน ยกสองมือขึ้นแสดงท่าคาราวะแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ตั้งแต่เด็กท่านพ่อก็คอยสั่งสอนลูกว่า การจะเป็นสุภาพบุรุษนั้นต้องรู้จักรักษาคำมั่นสัญญา ลูกได้ให้คำมั่นสัญญากับหลินหลันต่อหน้าบรรดาผู้เฒ่าญาติมิตรและชาวบ้านทั้งหมดในหมู่บ้านเจี้ยนซีเอาไว้แล้ว ลูกจึงไม่สามารถไร้สัจจะและทำตัวเป็นผู้ไร้ยางอายได้ ไม่ว่าอย่างไรลูกก็จะต้องแต่งงานกับหลินหลันขอรับ”
หลี่จิ้งเสียนรู้สึกว่าเขากำลังถูกแผดเผาด้วยความโกรธในหัวใจ เขาเสียแรงพูดพร่ำออกไปตั้งมากมายขนาดนี้ ทั้งแสดงความรู้สึก ทั้งยกเหตุผลขึ้นมาพูด ทว่าหมิงอวินไม่เพียงแต่ไม่เข้าใจในความพยายามของเขา แต่ยังแสดงจุดยืนของตนเองอย่างเด่นชัด ในเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้เช่นนั้นก็คงต้องใช้ไม้แข็งเสียแล้ว เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาจะไม่ยอมให้เด็กสาวชาวบ้านผู้นั้นผ่านเข้าประตูมาและทำลายแผนการของเขาพังทะลายลงไป
หลี่จิ้งเสียนพยายามทำใจเย็นขึ้นมาเล็กน้อย “หมิงอวิน เจ้าลองคิดไตร่ตรองดูให้ดีๆ อีกครั้งแล้วกัน พ่อไม่อาจทำร้ายเจ้าได้หรอก”
ทันใดนั้นจึงกล่าวตะโกนเรียกด้วยเสียงดัง “ผู้ดูแลจ้าว”
ผู้ดูแลจ้าวขานรับพลางผลักประตูเข้ามาและก้มหน้าพร้อมน้อมรับคำสั่งการ
“ส่งเอ้อร์เส้าเหยียกลับไปยังเรือนจุ้ยอวิ๋นเซวียน แล้วคอยดูแลให้ดีๆ เส้าเหยียเดินทางมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยจำเป็นต้องพักผ่อนให้มากๆ ดังนั้นไม่อนุญาตให้ใครเข้ารบกวนเอ้อร์เส้าเหยียทั้งสิ้น” หลี่จิ้งเสียนสั่งการด้วยเสียงเย็นชา
หลี่หมิงอวินตระหนกตกใจ นี่ท่านพ่อคิดจะกักบริเวณเขางั้นหรือ
นี่เป็นประเด็นที่หลี่หมิงอวินไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าท่านพ่อของเขาจะใช้วิธีอย่างบีบบังคับเช่นนี้ ดูเหมือนว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ หลี่หมิงอวินอดไม่ได้ที่จะแอบดีใจอยู่ลึกๆ โชคดีเหลือเกินที่หลินหลันไม่ได้ทำตามแผนการของท่านพ่อที่จะให้ไปยังโรงเตี๊ยม ‘หลินเซียนจวี๋’ แต่เลือกไปยังตระกูลโจวของจิ้งปั๋วโหวแทน มิเช่นนั้น…แต่ทว่าทางด้านหลินหลันสามารถเข้าพักที่ตระกูลโจวได้หรือไม่นั้น หลี่หมิงอวินก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลขึ้นมา ได้แต่หวังว่าเหวินซานและตงจึจะฉลาดขึ้นมาบ้าง ขออย่าได้หลงติดกับดักและสามารถส่งข่าวคราวไปยังตระกูลเยี่ยตลอดจนหลินหลานเพื่อให้พวกเขาได้เตรียมรับมือ
ในขณะที่หลี่หมิงอวินกำลังถูกส่งกลับเรือนจุ้ยอวิ๋นเซวียน เด็กสาวรับใช้ผู้หนึ่งก็รีบวิ่งกลับไปยังท้ายเรือนเพื่อให้การรายงานแก่นางฮาน
“รู้บ้างไหมว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน” นางฮานเอนตัวอยู่บนเตียง โดยมีสาวใช้คนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างเตียงคอยพัดโบกให้แก่นาง ขณะที่สาวใช้อีกคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นคอยทุบขาให้แก่นาง
สาวใช้คนนั้นกล่าว “นายท่านไล่ข้ารับใช้คนอื่นๆ และเหลือเพียงผู้ดูแลจ้าวซึ่งรออยู่ด้านนอกแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น…”
นางฮานจ้องเขม็งใส่สาวรับใช้อย่างไม่พึงพอใจ
สาวรับใช้ก้มหัวลงอย่างกล้าๆ กลัว ก่อนจะกล่าวขึ้นอีกครั้ง “แต่ทว่า เอ้อร์เส้าเหยียถูกผู้อารักษ์ขาประจำบ้านห้าหกคนพาไปยังเรือนจุ้ยอวิ๋นเซวียนเจ้าค่ะ และเมื่อตอนที่นายท่านออกมา สีหน้าของเขาก็ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักเจ้าค่ะ”
นางฮานครุ่นคิดไปกับคำพูดของสาวใช้ แล้วเงียบไปสักพักก่อนจะหันไปพูดกับหญิงรับใช้วัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ นาง “แม่เจียง ไปสั่งการในครัวทีสิว่างานเลี้ยงต้อนรับในค่ำคืนนี้จะต้องยิ่งใหญ่อลังการ”
แม่เจียงกล่าวด้วยความสงสัย “ดูเหมือน การพูดคุยระหว่างนายท่านกับเอ้อร์เส้าเหยียจะไม่ราบรื่นเท่าไหร่นัก งานเลี้ยงตอนรับนี้…ยังจำเป็นอีกหรือเจ้าคะ”
นางฮานเผยรอยยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน แน่นอนว่านางเองย่อมรู้ดีว่าการพูดคุยระหว่างพ่อและลูกเป็นไปอย่างไม่ราบรื่น ดังนั้นนางจึงยิ่งต้องแสดงความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ เช่นนี้ถึงจะทำให้ผู้เป็นสามีของนางมีอคติต่อหลี่หมิงอวินมากยิ่งขึ้นอีก
“สั่งให้เจ้าไป เจ้าก็ไปแค่นั้นเป็นพอ” นางฮานพูดอย่างสบายๆ แล้วปิดเปลือกตาลงด้วยความสำราญใจ
——
[1] เซิ่งซ่าง (圣上) คำใช้เรียกจักรพรรดิผู้ครองราชย์ ในโบราณยุคสมัยสังคมศักดินา