ในห้องรับแขกจวนเยี่ย
แม่โจวนำจดหมายที่ฉวยเอากลับคืนมาได้ส่งให้ผู้เป็นนายท่านใหญ่ได้อ่านดูอย่างคร่าวๆ
“ด้วยเสี่ยวเจี่ยะรองไม่เข้าใจความตั้งใจของเหล่าฟูเหริน จึงรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนเปี่ยวเส้าเหยียเจ้าค่ะ ยังดีที่ข้าน้อยฉวยเอาจดหมายฉบับนี้กลับคืนมาได้ มิเช่นนั้น ไม่รู้เลยว่าจะก่อความลำบากวุ่นวายให้แก่เปี่ยวเส้าเหยียมากมายเพียงใด” แม่โจวปิดซ่อนความตั้งใจที่แท้จริงของเสี่ยวเจี่ยะรอง ด้วยความที่นายท่านใหญ่เป็นผู้มีนิสัยอารมณ์ร้อน หากให้นายท่านใหญ่รับรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเสี่ยวเจี่ยะรอง เกรงก็แต่ว่า…
เยี่ยเต๋อฮ๋วยเผยสีหน้าเคร่งเครียดซึ่งอัดแน่นไปด้วยความโกรธ “เจ้าเด็กคนนี้ หากก่อเรื่องวุ่นวายอีกล่ะก็ ข้าจะส่งนางกลับไปยังเฟิงอานทันที”
“ถึงต้าเหล่าเหยียจะเข้าใจเป็นอย่างดี ทว่าข้าน้อยเกรงว่าฟูเหรินและเส้าฟูเหรินจะ…” แม่โจวเลือกที่หยุดคำพูดเอาไว้แต่เพียงเท่านี้
เยี่ยเต๋อฮ๋วยสบถฮึ “พวกนางหรือจะกล้า”
แม่โจวเผยรอยยิ้มอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย “ได้ยินต้าเหล่าเหยียกล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยก็วางใจแล้วเจ้าค่ะ แล้วก็เรื่องการเข้าร่วมเครื่องราชบรรณการ เหล่าฟูเหรินฝากให้มากำชับเป็นพิเศษว่า มิว่าจะลงทุนด้วยมูลค่าสูงเพียงใดก็จะต้องคว้าเอามาให้ได้เจ้าค่ะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องการค้า เยี่ยเต๋อฮ๋วยก็กล่าวขึ้นมาด้วยความมั่นอกมั่นใจ “เรื่องนี้อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้วล่ะ แค่ลงทุนกับบุคคลสำคัญไม่กี่คนในนั่นอีกเสียหน่อย ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ หากได้เข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการ ก็ถือได้ว่าตระกูลเยี่ยสามารถยืนหยัดด้วยตนเองในเมืองหลวงอย่างมั่นคงเสียทีเจ้าค่ะ” แม่โจวกล่าวอย่างพึงพอใจ
“ทั้งหมดล้วนดำเนินตามแผนการของเหล่าไทเหย่ ในตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับหมิงอวินเจ้าหลานชายคนนี้แล้ว ในการสอบจักรวรรดิปีนี้จักต้องทำให้ประสบความสำเร็จถึงจะเป็นการดี” เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าวติดตลก
“ตอนนี้ยังมีอีกเรื่องที่น่าเป็นกังวลเจ้าค่ะ! หลี่จิ้งเสียนไม่ยอมให้หลินหลันเข้าไปเหยียบในบ้านเจ้าค่ะ” แม่โจวเป็นกังวลทันทีที่นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าหลินหลันได้เข้าไปยังตระกูลโจวได้อย่างราบรื่นแล้วหรือไม่
เยี่ยเต๋อฮ๋วยขมวดคิ้วหนาของเขา “ข้าได้จัดคนไปสอดส่องแถวๆ จวนหลี่ เห็นว่ากันว่าระยะนี้ตำแหน่งของหลี่จิ้งเสียนคนต่ำทรามผู้นี้กำลังสั่นคลอน ที่เขาไม่ต้องการให้หลินหลันเข้าไปในบ้านก็เป็นเพราะกำลังรอการมาของตระกูลเหว่ยเพื่อจัดการเรื่องแต่งงาน และภายใต้การแต่งงานครั้งนี้เกี่ยวเนื่องกับความสัมพันธ์อันทรงพลังเหนือคำบรรยาย มิน่าล่ะเจ้าหลี่ผู้ต่ำทรามถึงได้หัวปั่นขนาดนี้ จะว่าไปแล้ว…การเดินหมากครั้งนี้ของหมิงอวินนับว่าไม่เลวเลยจริงๆ ทำให้เจ้าหลี่ผู้ต่ำทรามนั่นต้องเผชิญกับปัญหาครั้งใหญ่หลวง! จากที่ข้ามองดูรูปการแล้ว เรื่องนี้จะใจร้อนมิได้ พวกเราคอยจับตาดูท่าทีของตระกูลหลี่ไปก่อนแล้วไว้ค่อยปรึกษาหารือกันอีกทีภายหลัง”
แม่โจวนำเรื่องราวที่ควรถ่ายถอดทำการสื่อสารออกไปจนเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ในใจยังคงเป็นกังวลเกี่ยวกับหลินหลัน จึงขอตัวกล่าวลาแล้วพากุ้ยซ่าวมุ่งตรงไปหาหลินหลันยังตระกูลโจว
ทันทีที่ออกจากจวนเยี่ย ก็มองเห็นเหวินซานวิ่งหน้าตั้งมาพร้อมเหงื่อโชกไปทั้งตัว ราวกับว่ามีเสือกำลังวิ่งไล่ตามเขาอยู่ด้านหลัง
แม่โจวทำใจให้สงบนิ่งและรีบเดินเข้าไปแล้วเอ่ยถามขึ้น “เหวินซาน เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ แล้วเส้าฟูเหรินล่ะ”
เหวินซานยกมือขึ้นปาดเหงื่อ กล่าวทั้งเสียงกระหืดกระหอบ “แม่โจว ข้าเจอเรื่องใหญ่แล้วไม่รู้จะทำอย่างไรดี หลังจากข้าส่งเส้าฟูเหรินเข้าไปยังบ้านของตระกูลโจวแล้ว ก็รีบร้อนกลับไปจวนหลี่ ทันทีที่พ้นประตูเข้าไป เหล่าองค์รักษ์ประจำบ้านก็จับตัวข้าเอาไว้ ดูจากสถานการณ์ก็รู้ว่าพวกเขาจะจับข้าไปขังเอาไว้ ยังดีที่พละกำลังข้าเหลือล้น จึงออกหมัดออกเท้าตีลังกาใส่พวกองค์รักษ์ประจำบ้านแล้ววิ่งหนีออกมาได้ รถม้าก็ทิ้งเอาไว้ที่จวนหลี่นั่นเสียแล้ว แม่โจว ท่านว่าปานนี้เส้าเหยียจะถูกหลี่เหล่าเหยียจับขังไปแล้วหรือไม่”
กุ้ยซ่าวกล่าวอย่างร้อนใจ “เป็นเช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรกันดีล่ะ”
แม่โจวขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “อย่าเพิ่งทำเป็นกระต่ายตื่นตูมไปเสียก่อน เดี๋ยวข้าจะให้ต้าเหล่าเหยียช่วยส่งคนไปสืบเสาะแถวตระกูลหลี่ดู” พูดจบแม่โจวก็รีบหันกลับเดินดุ่มดุ่มเข้าไปยังจวนเยี่ยทันที
จวนจิ้งปั๋วโหว
หลินหลันได้ทำการตรวจจับชีพจรใก้แก่เฉียวอวิ๋นซี แล้วกล่าวซักถาม “โหวเหย่ฟูเหริน สามเดือนก่อนท่านมีประจำเดือนมาไม่ขาดใช่หรือไม่”
เฉียวอวิ๋นซีตกตะลึงอยู่เล็กน้อย แล้วพยักหน้าในทันที “ด้วยเพราะประจำเดือนมาไม่ขาด ข้าเลยเข้าใจว่าตนเองไม่ได้ตั้งท้อง”
“เช่นนี้ก็ใช่แล้วเจ้าค่ะ เพราะครั้งก่อนที่โหวเหย่ฟูเหรินแท้งลูกไป เลือดในร่างกายยังขับออกมาไม่หมดและต่อมาก็เผชิญกับอากาศอันหนาวเย็นจากฤดูหนาวที่ผ่านมาเข้าอีก เลือดที่ยังคงตกค้างจึงกลายเป็นต้นตอของอาการ แม้ว่ายังมีเลือดตกค้างแต่ก็ยังสามารถตั้งครรภ์ได้ ทว่าต้นตอของโรคจะยังกำเริบขึ้นมาได้เรื่อยๆ นั่นจึงก่อให้เกิดอาการเลือดไหลอยู่สม่ำเสมอ” ขณะกล่าวหลินหลันก็รู้สึกหนักใจอยู่เล็กน้อย ต้นตออาการป่วยของเฉียวอวิ๋นซีไม่ใช่ธรรมดา มิน่าล่ะบรรดาท่านหมอที่เคยมาให้การตรวจต่างก็มองในแง่ร้ายทั้งนั้น
เฉียวอวิ๋นซีมองหลินหลันอย่างตกตะลึงแล้วจึงมองไปยังผู้เป็นมารดา ก่อนหน้านี้ผู้เป็นแม่มักจะพร่ำพรรณนาถึงหมอหญิงที่พบเจอระหว่างการเดินทาง แต่เฉียวอวิ๋นซีคิดว่าท่านแม่เพียงแค่กล่าวชื่นชมเกินจริงไปเท่านั้น หมอผู้เก่งกาจที่สุดล้วนอยู่ในเมืองหลวงนี่ต่างหากล่ะ! ทว่าตอนนี้เพียงแค่หลินหลันตรวจจับชีพจรของนางก็สามารถวิเคราะห์อาการป่วยออกมาได้อย่างชัดเจนเช่นนี้ นั่นไม่ต่างจากคำพูดของหมอหลวงเลยแม้แต่น้อย และจะว่าไปแล้ว หมอหลวงเหล่านั้นสามารถพูดสรุปอาการออกมาได้เช่นนี้ก็เมื่อการตรวจในครั้งที่สาม เฉียวอวิ๋นซีอดไม่ได้ที่จะมองหลินหลันด้วยสายตาอันน่าเหลือเชื่อ ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงหนทางแห่งความหวังที่บังเกิดขึ้น
“เช่นนั้น…ต้นตออาการป่วยนี้สามารถรักษาให้หายได้หรือไม่” เฉียวฟูเหรินกล่าวถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
เฉียวอวิ๋นซีมองไปยังหลินหลันด้วยนัยน์ตาแห่งความหวังอันเปี่ยมล้น
หลินหลันครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ แล้วจึงกล่าวขึ้น “ยังมีหวังเจ้าค่ะ ด้วยต้นตออาการป่วยของโหวเหย่ฟูเหรินในขณะนี้ส่งผลร้ายต่อทารกในครรภ์ ทำให้สายสะดือลอยขึ้นและเคลื่อนไหวไปมา”
เฉียวอวิ๋นซีพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “เป็นเช่นนี้นี่เอง”
“สามารถทานยากุ้ยซินฝูหลิง และใช้สมุนไพรดอกเสาเย่าเพื่อการบำรุงครรภ์ จะต้องทำให้อาการเลือดหยุดไหลให้ได้ก่อนแล้วทารกในครรภ์ถึงจะปลอดภัยเจ้าค่ะ”
“แต่นี่ข้าก็กินยากุ้ยซินฝูหลิงมาโดยตลอด” เฉียวอวิ๋นซีแอบรู้สึกหมดหวัง ตัวยาที่หลินหลันกล่าวถึงไม่ต่างจากที่หมอหลวงจ่ายให้เลย
“อ่อ…เช่นนั้นหรือ” หลินหลันครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “ฟูเหรินช่วยนำใบจ่ายยาที่ทานอยู่ก่อนหน้านี้ทั้งหมดมาให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่”
เฉียวอวิ๋นซีให้สาวใช้ไปนำใบจ่ายยามา หลังจากหลินหลันได้มองดูอย่างละเอียดแล้ว จึงกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ข้ารู้แล้ว ข้าจะเพิ่มยาอีกตัวให้โหวเหย่ฟูเหริน มันคือยาต้มฝางเฟิงฟู้จื่อ ด้วยโหวเหย่ฟูเหรินมีอาการชีพจรตึงและเลือดติดขัดจากสาเหตุความเย็น เพื่อขจัดเลือดที่ติดขัดจากความเย็นจึงต้องใช้ยาต้มฝางเฟิงฟู้จื่อทำให้อวัยวะภายในอบอุ่น เมื่อใช้ทั้งสองแนวทางนี้ควบคู่กันไปทารกในครรภ์ก็จะเป็นอันปลอดภัย”
เฉียวอวิ๋นซียังคงดูเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หลินหลันจึงกล่าวเสริมขึ้นอีก “ยาทำได้แค่ขจัดอาการป่วยเท่านั้น ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือโหวเหย่ฟูเหรินจะต้องทำใจให้สบาย อย่าได้เป็นกังวลจนเกินไป จากการตรวจดูข้าคิดว่าแม้อัตราการเต้นของหัวใจเด็กในครรภ์จะอ่อนแอแต่ก็ยังคงเต้นเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอ”
เฉียวฟูเหรินกล่าวด้วยความดีใจ “หลี่ฟูเหรินมีความมั่นใจเพียงใดหรือ”
หลินหลันกล่าวตามความเป็นจริง “ห้าสิบห้าสิบเจ้าค่ะ”
สองแม่ลูกสกุลเฉียวสีหน้าเปลี่ยนไปโดยเผยให้เห็นถึงความผิดหวังเล็กน้อย แค่ห้าสิบห้าสิบเองหรือ
“หากว่าข้าได้คอยอยู่ให้การรักษาโหวเหย่ฟูเหรินในระยะนี้ด้วยตัวของข้าเอง นั่นจึงจะสามารถมั่นใจได้อย่างเต็มร้อย” นี่มิใช่การหาข้ออ้างเพื่อจะได้เข้าพัก ณ ที่แห่งนี้ ทว่าหากสามารถเฝ้าดูอาการของเฉียวอวิ๋นซีได้อย่างใกล้ชิดและสามารถให้การรักษาได้อย่างทันท่วงที จึงแน่นอนว่าจะช่วยให้มั่นใจได้เป็นอย่างมาก
เฉียวอวิ๋นซีกล่าวอย่างประทับใจ “เช่นนี้แล้ว หลี่ฟูเหรินโปรดช่วยอยู่ที่นี่ไปสักพัก หากสามารถรักษาเด็กในครรภ์ไว้ได้ จักเป็นพระคุณแก่อวิ๋นซีอย่างสุดซึ้ง”
“นั่นสิ นั่นสิ! หลี่ฟูเหริน เรื่องนี้คงต้องรบกวนท่านด้วย” เฉียวฮูหยินร้องขออย่างกระตือรือร้น
หลินหลันเผยรอยยิ้มขมขื่นเล็กน้อย “เรียนทั้งสองท่านตามตรง ตอนนี้หลินหลันเองก็ไร้ที่ไป เช่นนั้นก็จะอยู่ที่นี่แล้วทำอย่างสุดความสามารถเพื่อโหวเหย่ฟูเหรินแล้วกันนะเจ้าคะ!”
เฉียวฮูหยินรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวขึ้น “หลี่ฟูเหรินมิใช่ว่าติดตามสามีหลี่กงจื่อเข้าเมืองหลวงมาหรอกหรือ แล้วหลี่กงจื่อล่ะ”
หลินหลันเผยสีหน้าเสร้าสร้อย ก้มหน้าก้มตาลงพร้อมกับกล่าวออกมา “ตระกูลหลี่รังเกียจภูมิหลังที่ต่ำต้อยของข้า”
เฉียวฮูหยินรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาในทันที “ตระกูลหลี่บ้านไหนหรือ ถึงได้รักชอบคนรวยจงเกลียดคนจนเช่นนี้”
หลินหลันเม้มริมฝีปากและเผยสีหน้าราวกับเสียใจเป็นอย่างยิ่ง “เป็นบ้านตระกูลหลี่ซ่างซู [1] แห่งกระทรวงการคลังเจ้าค่ะ”
เฉียวอวิ๋นซีรู้สึกแปลกประหลาดใจ แล้วก็นึกถึงข่าวลือที่ได้ยินเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งพูดกันว่าบุตรชายของหลี่ซ่างซูเพื่อเป็นการตอบแทนที่ได้ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ จึงต้องสู่ขอหญิงสาวชาวบ้านผู้หนึ่งเป็นภรรยา ขณะนั้นเองเฉียวอวิ๋นซีอดไม่ได้ที่จะมองไปยังหลินหลัน ดูนางช่างสง่างามและพูดจามีเหตุมีผล ซึ่งนั่นไม่เหมือนหญิงสาวชาวบ้านเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งทักษะทางการแพทย์ก็ดีเยี่ยมเสียขนาดนี้
“ที่แท้ท่านก็คือหญิงในคำล่ำลือที่กล่าวขานกันว่าเป็นแม่นางช…” ทันใดนั้นเฉียวอวิ๋นซีก็หยุดชะงัก ราวกับรู้สึกว่าเป็นการเสียมรรยาท จึงกลืนคำว่า ‘ชาวบ้าน’ กลับลงไป
หลังจากเดินทางกลับมาจากวัดว่านซง หลี่หมิงอวินก็บอกกล่าวนางเรื่องที่เขาให้เฉินจื่ออวี้ช่วยสร้างข่าวลือแผ่กระจายไปในเมืองหลวง เพียงแต่หลินหลันคาดไม่ถึงว่า แม้กระทั่งภรรยาของท่านเจ้าพระยาก็ยังรับรู้ข่าวคราวนี้ด้วยเช่นกัน เห็นทีว่าเฉินจื่ออวี้จะไม่ใช่ธรรมดาจริงๆ ถึงสามารถทำให้เรื่องราวโด่งดังได้เสียขนาดนี้
หลินหลันแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “คำล่ำลืออะไรหรือเจ้าคะ”
เฉียวอวิ๋นซีจึงบอกกล่าวหลินหลันจากสิ่งที่นางได้ยินมา หลังจากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงหัวเราะของหลินหลัน “อับอายขายหน้าโหวเหย่จนได้ อันที่จริงจะไปกล่าวโทษตระกูลหลี่ก็คงไม่ได้ หลี่กงจื่อแม้ว่าจะหนักแน่นต่อข้า แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอดทนต่ออคติจากผู้คนรอบข้างได้เพียงใด…”
เฉียวฮูหยินกล่าวพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “หลี่ฟูเหริน เจ้าอย่าได้กังวลใจไป ขอเพียงเจ้าสามารถรักษาชีวิตเด็กในท้องของอวิ๋นซีไว้ได้ แล้วยังจะต้องกังวลว่าในเมืองหลวงนี้จะไม่มีที่ให้ปักหลักสำหรับเจ้าอีกหรือ”
แม้ประโยคดังกล่าวนี้จะแฝงเอาไว้ซึ่งความหมายแห่งการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน แต่นั่นก็เป็นเหตุเป็นผลอย่างยิ่ง ตระกูลโจวมิอาจออกหน้าเพื่อคนแปลกหน้าผู้หนึ่งโดยไร้ซึ่งเหตุผลที่หนักแน่น ทว่าหากสามารถรักษาเด็กทารกในครรภ์ของเฉียวอวิ๋นซีไว้ได้ นั่นก็ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ จะพูดว่าเป็นผู้มีบุญคุณต่อตระกูลโจวก็ยังว่าได้ เมื่อถึงตอนนั้น ตระกูลโจวจึงจะสามารถออกหน้าได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
หลินหลันเผยรอยยิ้มบางๆ “จะสามารถปักหลักอยู่ ณ เมืองหลวงนี้ได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญเลยเจ้าค่ะ เดิมทีหลินหลันก็ไม่ได้โอบกอดความหวังไว้มากมายนัก และก็ไม่อยากทำให้หลี่กงจื่อลำบากใจจนเกินไปด้วย เพียงแต่ด้วยความเป็นหมอซึ่งมาพร้อมทัศนคติดั่งพ่อแม่ห่วงใยลูก เช่นนั้นหลินหลันจึงต้องการพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาชีวิตทารกในครรภ์ของโหวเหย่ฟูเหรินไว้ให้จงได้”
การที่หลินหลันพูดเช่นนี้ ส่งผลให้เฉียวฮูหยินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย เพียงแค่หลินหลันเคยให้การรักษาช่วยชีวิตหลงเอ๋อร์เอาไว้ นางก็ควรให้ความช่วยเหลืออะไรหลินหลันบ้าง แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อคำพูดของนางไม่มีผลต่ออะไรทั้งสิ้น ปัญหาของหลินหลันไม่ใช่ว่าจะแก้กันได้อย่างง่ายดาย นั่นเป็นถึงตระกูลหลี่ซึ่งเป็นขุนนางข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แต่ถ้าโหวเหย่เต็มใจที่จะออกหน้าให้ เช่นนั้นแล้วจึงค่อยมีความหวังขึ้นมาได้
เฉียวฮูหยินกล่าวปลอบประโลม “ข้ามองดูแล้วหลี่กงจื่อนั้นเป็นสุภาพบุรุษอย่างแท้จริงผู้หนึ่ง แน่นอนว่าเขาจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง”
หลินหลันเผยรอยยิ้มเล็กน้อย แน่นอนอยู่แล้วว่าหลี่หมิงอวินจะไม่ทำให้นางผิดหวัง การทำให้นางผิดหวังก็เท่ากับทำให้ผู้ชราทั้งสองท่านแห่งตระกูลเยี่ยผิดหวังไปด้วย รวมถึงตัวเขาเองก็เช่นกัน
ในที่สุดการขอพักพิงก็ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น ทว่าหลินหลันกลับไม่อาจอยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายได้ นางเลือกที่จะไม่สนใจทางด้านจวนหลี่นั่นไปชั่วคราว เพลานี้การช่วยเหลือทารกในครรภ์และการดูแลร่างการของเฉียวอวิ๋นซีเป็นงานที่ต้องทุ่มเทแรงกายและแรงใจอย่างมาก จำเป็นต้องใช้สมาธิจดจ่อขั้นสูงและแสดงทักษะความสามารถที่แท้จริงออกมาถึงจะได้เรื่อง
ทางด้านนี้ซึ่งเพิ่งจะปักหลักลงได้ แม่โจวก็มาหาถึงที่พร้อมกับนำข่าวร้ายมาส่งให้
“ต้าเหล่าเหยียได้สอบถามมาชัดเจนแล้วว่าเส้าเหยียถูกหลี่เหล่าเหยียกักบริเวณเจ้าค่ะ โชคดีที่เหวินซานไหวตัวทันจึงหนีออกมาได้ มิเช่นนั้น ทุกคนคงได้ถูกขังอยู่ในนั้น”
บัดซบ พ่อหลี่ผู้สาระเลวคนนี้ช่างสาระเลวได้ใจจริงๆ ลูกชายเพิ่งจะกลับมาหยกๆ ก็ใช้ไม้โหดด้วยการจับขังกักบริเวณ เจ้าคิดว่าการกักบริเวณหลี่หมิงอวินแล้ว เขาก็จะยอมจำนนท์งั้นหรือ เอ่อ! ไม่สิ เกรงว่าพ่อหลี่ผู้สาระเลวที่กักขังบริเวณหลี่หมิงอวินก็เพื่อจัดการนางได้สะดวกไม้สะดวกมือสินะ! หลินหลันนึกขึ้นมาได้ในทันทีถึงแผนการของพ่อหลี่ผู้สาระเลว และอดไม่ได้ที่จะแอบดีใจ โชคดีที่ไม่ได้ไปอยู่ที่โรงเตี๊ยมนั่น! มิฉะนั้น คงเป็นเรื่องง่ายสำหรับพ่อหลี่ผู้สาระเลวที่จะลงมือกับนางได้อย่างตามอำเภอใจ
“เส้าฟูเหริน ท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย ทางด้านตระกูลหลี่นั้นเส้าเหยียจะต้องรับมือไหวอย่างเป็นแน่” แม่โจวมองเห็นหลินหลันมีสีหน้าที่หนักอกหนักใจ จึงกล่าวปลอบใจ
“ลำพังเขารับมือไหวจะไปมีประโยชน์อะไรกัน ยังไงพวกเราก็ยังต้องช่วยเขาอีกแรงถึงจะได้เรื่อง” นัยน์ตาคู่งามของหลินหลันเผยความเย็นชา และกล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น
แม่โจวประหลาดใจ ในตอนนี้แม้กระทั่งนางยังคิดไม่ตกเลยว่าควรจะทำอย่างไรดี หรือว่านายหญิงของตนมีความคิดอะไรขึ้นมาแล้วงั้นหรือ
“เส้าฟูเหริน พูดเช่นนี้หมายความว่า?”
หลินหลันแสยะยิ้มแล้วจึงกล่าวออกมา “หลี่เหล่าเหยียต้องการจัดการเรื่องนี้ในลักษณะที่ให้เงียบที่สุดและทำเสมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เช่นนั้นแล้วเราก็มาทำให้เรื่องมันโด่งดังขึ้นมาเถอะ แม่โจว เฉินจื่ออวี้ ตระกูลเฉินท่านรู้จักใช่หรือไม่”
แม่โจวกล่าว “รู้จักเจ้าค่ะ เฉินกงจื่อเป็นบุตรชายคนที่สามของเฉินอวี้ซื่อ”
“เช่นนั้นก็ดีเลย ท่านช่วยไปส่งข่าวให้เฉินกงจื่อ แล้วให้เฉินกงจื่อไปจวนหลี่เพื่อขอพบเส้าเหยีย หากหลี่เหล่าเหยียยอมให้เขาเข้าพบได้นั่นคงเป็นการดีที่สุด แล้วรับฟังเอาความคิดเห็นของเส้าเหยียกลับมา ถ้าหากไม่ให้เข้าพบ นั่นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ให้เฉินกงจื่อปล่อยคำโพทะนาด้านนอก โดยบอกว่าหลี่เหล่าเหยียจงเกลียดคนจนรักใคร่คนรวยและต้องการเอาชนะคู่สามีภรรยา เรื่องการปล่อยข่าวประเภทนี้ เฉินกงจื่อเชี่ยวชาญเป็นที่สุด เขารู้ดีว่าควรจะต้องทำอย่างไร” หลินหลันกล่าวอย่างใจเย็น
แม่โจวอดไม่ได้ที่จะเผยนัยน์ตาเปล่งประกายขึ้นมา และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ความคิดนี้ไม่เลวเลยเจ้าค่ะ”
กุ้ยซ่าวกลับกล่าวอย่างเป็นกังวล “เช่นนั้นหลี่เหล่าเหยียจะไม่มาหาเรื่องเส้าฟูเหรินหรือเจ้าคะ”
หลินหลันสบถฮี “แน่นอนอยู่แล้ว แต่ทว่าการที่เขาคิดจะมาหาเรื่องถึงจวนจิ้งปั๋วโหว ก็จำเป็นต้องถามไถ่จิ้งปั๋วโหวด้วยว่าจะยอมตอบตกลงหรือไม่”
——
[1] ซ่างซู (尚书) ตำแหน่งหัวหน้าราชเลขาธิการ ถือเป็นหนึ่งในตำแหน่งของอัครมหาเสนาบดีในยุคสมัยจีนโบราณ