ตอนที่ 56 ความกลัดกลุ้มของตระกูลหลี่

ปฏิญญาค่าแค้น

หลังจากเหวินซานไปยังจวนเฉิน ก็กลับมาพร้อมข้อความปากเปล่า 

 

 

“เฉินกงจื่อกล่าวว่าจุดประสงค์ของเส้าฟูเหรินเขาเป็นอันเข้าใจดีแล้ว วันมะรืนหนิงเส้าเหยียจะกลับมาถึงเมืองหลวง แล้วพวกเขาจะไปพบเส้าเหยียด้วยกัน ถึงตอนนั้นแล้วค่อยปรึกษาหารือกันอีกทีขอรับ” 

 

 

แม่โจวรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง “เยี่ยมไปเลย!” 

 

 

หลินหลันสบายใจขึ้น เรื่องราวจะบานปลายไปถึงขั้นไหนนางเองก็มิอาจคาดเดาได้ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองหลวงล้วนเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย การจัดลำดับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเหล่านั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงไปใหญ่ นางทำได้เพียงมองไปทีละขั้นตอน ทำบางเรื่องที่พอจะทำได้ตามความสามารถที่มีและพยายามทำให้ดีที่สุด เช่น การรักษาชีวิตทารกในครรภ์ของเฉียวอวิ๋นซี 

 

 

“แม่โจว พวกเจ้ารีบไปพักผ่อนให้สบายใจเถอะ!” หลังจากหลินหลันส่งแม่โจวรวมถึงคนอื่นๆ ออกไปเรียบร้อยแล้วจึงกลับเข้ายังห้องพักของตนเอง นางค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาว คิ้วเรียวสวยได้รูปของนางขมวดเข้าหากันขณะครุ่นคิด ปัญหาในประเด็นของเฉียวอวิ๋นซีนั้นค่อนข้างยุ่งยาก ทั้งต้องรักษาต้นตออาการป่วยของร่างกายผู้เป็นแม่ ทั้งต้องดูแลชีวิตเด็กในครรภ์ ไม่เช่นนั้นล่ะก็ แม้จะดื้อดึงรักษาชีวิตเด็กเอาไว้ได้ ก็เกรงว่าจะกำเนิดออกมาโดยไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ 

 

 

“เส้าฟูเหริน ท่านนอนหลับพักผ่อนเสียหน่อยเถอะเจ้าค่ะ!” หยินหลิ่วที่เพิ่งนำน้ำร้อนมาให้ มองเห็นเส้าฟูเหรินกำลังนั่งเหม่อลอย จึงกล่าวชักชวน 

 

 

อวี้หลงขยิบตาส่งสัญญาณให้แก่นางพลางส่ายหน้า เพื่อบ่งบอกให้นางอย่าได้รบกวนนายหญิงซึ่งกำลังใช้ความคิดไตร่ตรอง 

 

 

หยินหลิ่วแลบลิ้นออกมาด้วยความทะเล้นและไม่ส่งเสียงอันใดออกไปอีก ทั่งสองจึงหันไปจัดการงานของตนเองอย่างเงียบๆ 

 

 

หลินหลันคิดไตร่ตรองอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดปมคิ้วที่เคยขมวดก็คลายออกจากกัน หลังจากนั้นจึงเข้านอนด้วยความสบายใจ 

 

 

ในค่ำคืนเดียวกันนี้ คนของจวนหลี่ต่างพากันกระสับกระส่าย 

 

 

ฮานชิวเยว่ให้ทุกคนออกไปจนหมด ภายในห้องจึงหลงเหลือเพียงสองแม่ลูกเท่านั้น 

 

 

หลี่หมิงเจ๋อซึ่งกำลังยืนอยู่ในขณะนี้ แม้ว่าเขาจะก้มหน้าอยู่ทว่าแผ่นหลังของเขาก็ตรงดิ่งเป็นอย่างมาก เพราะเขารู้สึกค้างคาใจ เขาก็แค่คล้อยตามความคิดของผู้เป็นพ่อจึงพลั้งปากพูดออกไปหนึ่งประโยคประเภทที่ว่า…น้องรองเอาแต่ใจตัวเองมากเกินไป และผลที่ตามมาก็คือคำตำหนิจากผู้เป็นพ่อพร้อมด้วยอารมณ์โมโหทั้งหมดระบายลงมาที่เขา แล้วในตอนนี้ยังต้องมายืนฟังคำตำหนิจากผู้เป็นแม่อีก ช่างเป็นเรื่องที่เฮงซวยจริงๆ 

 

 

“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้าผิดตรงไหน” ฮานชิวเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น 

 

 

หลี่หมิงเจ๋อเผยสีหน้าสลด “ลูกไม่ควรพูดประโยคเช่นนั้น” 

 

 

“แล้วเช่นนั้นเจ้าควรพูดอะไรหรือ” นางฮานเอ่ยถาม 

 

 

หลี่หมิงเจ๋อครุ่นคิดชั่วขณะ และพึมพำออกไป “เดิมทีลูกไม่ควรพูดอะไรออกไปทั้งสิ้น ด้วยตอนนั้นท่านพ่อกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ” 

 

 

นางฮานแสยะยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ทีตอนนี้เจ้ากลับหูตาสว่างขึ้นมาได้ แล้วเหตุใดตอนนั้นจึงได้เลอะเลื่อนเช่นนั้น ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร เพียงแค่เจ้าอ้าปากเอ่ยออกไป ท่านพ่อของเจ้าก็จะต้องตำหนิเจ้าเป็นแน่” 

 

 

หลี่หมิงเจ๋อรู้สึกถึงความไม่พอใจ ทำไมกัน ไม่ใช่ว่าหมิงจูก็พูดขึ้นมาเช่นกันหรอกหรือ แล้วเหตุใดท่านพ่อถึงไม่ตำหนินางบ้าง 

 

 

“อย่างไรก็ตาม ต่อให้ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไรออกไปก็ล้วนต้องโดนด่าทอกลับมา แต่เจ้าก็ยังควรเอ่ยปากพูดออกไปเพียงแต่ต้องมิใช่การพูดเช่นนั้น” นางฮานมองไปยังบุตรชายอย่างแฝงความหมายที่ลึกซึ้งเอาไว้ 

 

 

หลี่หมิงเจ๋องุนงงมิอาจเข้าใจได้ 

 

 

“นิสัยใจคอของท่านพ่อเจ้า แม่เข้าใจเป็นอย่างดี ที่เจ้าบอกว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ท่านพ่อของเจ้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีเหมือนเฉกเช่นเมื่อก่อน นั่นเป็นเพราะตอนที่เจ้าไม่ได้อยู่เคียงข้างกายท่านพ่อของเจ้า ท่านพ่อของเจ้าจึงรู้สึกติดค้างเจ้า เช่นนั้นจึงเอาอกเอาใจเจ้ามากเป็นพิเศษ ตอนนี้เจ้าได้กลับมาอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอน โดยเป็นบุตรชายคนโตแห่งตระกูลหลี่ เจ้ามีทุกสิ่งที่หมิงอวินมีและเจ้าก็มีในสิ่งที่เขาไม่มี เช่นนั้นท่านพ่อของเจ้าจึงรู้สึกติดค้างหลี่หมิงอวินขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนหน้านี้แม่ยังกังวลว่าการกลับมาครั้งนี้ของหมิงอวิน จะทำให้ท่านพ่อของเจ้าเอนเอียงไปทางเขาด้วยซ้ำ แต่คาดไม่ถึงเลยว่า เขาจะก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้นมา ทำให้ท่านพ่อของเจ้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟซึ่งนั่นช่วยให้ข้าลดความกังวลไปได้ไม่น้อยเลย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เจ้ายิ่งต้องทำตัวให้นอบน้อมและสุภาพมากขึ้น และคอยโน้มน้าวท่านพ่อของเจ้า แทนที่จะทำตัวเป็นเชื้อเพลิงเติมลงกองไฟให้ลุกโหมเข้าไปใหญ่ นั่นมีแต่จะทำให้ท่านพ่อของเจ้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นคนใจแคบ ในบางครั้งหากเจ้าต้องการให้ร้ายผู้อื่น มันไม่จำเป็นที่จะต้องพูดด้วยเรื่องร้ายๆ เกี่ยวกับเขาแต่อย่างใด อย่าได้นำความคิดของตนเองเปิดเผยออกมาทางวาจา ควรเก็บมันเอาไว้ภายในจึงจะเป็นการดีที่สุด…” คำสอนอันร้ายกาจนางฮาน จากช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งนางต้องอดทนต่อความอัปยศอดสู ไม่มีวันใดที่จะไม่ต้องใช้สมองครุ่นคิดว่าจะควบคุมหลี่จิ้งเสียนได้อย่างไร ตลอดจนคิดหาวิธีทางกำจัดเยี่ยซินเหว่ย จนในที่สุดก็ได้มาซึ่งสิ่งที่นางต้องการ และแน่นอนว่านางจะไม่มีวันปล่อยให้ใครมาพรากสิ่งเหล่าซึ่งได้มาอย่างยากลำบากยิ่งนักไปจากนาง 

 

 

หลี่หมิงเจ๋อตื่นจากความสับสน กล่าวเห็นด้วยซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ท่านแม่พูดถูก เป็นลูกเองที่เลอะเลือนไป” 

 

 

มองดูบุตรชายที่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว นางฮานจึงเผยสีหน้าแห่งความสุขใจขึ้นมา “คราวหน้าคราวหลังทั้งการพูดและการกระทำหัดใช้สมองไตร่ตรองให้เยอะๆ เข้าไว้ อย่าทำให้ใครต่อใครนำไปเป็นข้อเปรียบเทียบได้” 

 

 

สีหน้าของหลี่หมิงเจ๋อแฝงไว้ด้วยความอับอาย “ลูกเข้าใจแล้วขอรับ” 

 

 

นางฮานพยักหน้าและกล่าวขึ้นอีก “หลั้วเหยียนยังไม่กลับมาจากบ้านแม่ของนางอีกหรือ” 

 

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลี่หมิงเจ๋อก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในทันทีทันใด จึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย “การที่นางไม่อยู่เช่นนี้ กลับทำให้แก้วหูของลูกโล่งโปร่งขึ้นมาหน่อย” 

 

 

นางฮานชักสีหน้าเคร่งขรึม ตามด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นมา “ข้าคิดว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ดูเจ้าจะเพลิดเพลินจนเกินไปเสียแล้ว เจ้าคงลืมความยากลำบากที่เคยเผชิญมาก่อนหน้านี้แล้วสินะ อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้อะไรเลย เจ้าทำเสมือนเฝ้าอ่านตำราทั้งวันทั้งคืน แต่ที่อ่านซึมซับเข้าไปได้จริงมีเท่าใดกันเชียวรึ ภรรยาของเจ้าเพียงให้คำแนะนำสองสามประโยค เจ้าก็ทำเป็นรำคาญไปได้ อย่าโทษว่าแม่ไม่เตือนเจ้าแล้วกัน หลี่หมิงอวินมีชื่อเสียงมาตั้งแต่เยาว์วัย จนถูกขนานนามว่าเด็กผู้มีปัญญาเลิศล้ำและนั่นก็มีใช่เพียงคำกล่าวขานเลื่อนลอยเท่านั้น การสอบจักรวรรดิครั้งนี้ แม่ไม่ได้หวังว่าเจ้าจะเอาชนะเขาได้ แต่ก็จะให้น้อยหน้าเกินไปมิได้ หากทำไม่สำเร็จ ข้าเห็นทีว่าเจ้าจะอับอายขายหน้าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้แห่งหนใดได้อีก” 

 

 

หลี่หมิงเจ๋อถูกตำหนิอย่างแรงจนเหงื่อตกเต็มหน้าผากและมิกล้าโต้เถียงแต่อย่างใด ทว่าภายในใจกลับพึมพำด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่เชื่อหรอกว่าหลี่หมิงอวินจะเก่งกาจเสียปานนั้น เขาเองก็เข้าเรียนหนังสือด้วยวัยสามขวบและสามารถแต่งบทกวีได้ในวัยสี่ขวบ ถ้าหากตอนนั้นเขาได้เป็นบุตรชายคนโตแห่งจวนหลี่ คำขนานนามว่าเด็กผู้มีปัญญาเลิศล้ำอะไรนั่นมีหรือจะตกไปอยู่ที่หลี่หมิงอวิน 

 

 

“หมิงเจ๋ออ่า! มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเราสามแม่ลูก…ชีวิตของแม่หลังจากนี้ก็หวังพึ่งพาเจ้าแล้ว เจ้าจะต้องต่อสู้เพื่อทำให้แม่และเพื่อตัวเจ้าเองวางใจได้อย่างไร้ความกังวล หากหลี่หมิงอวินได้ดีและมีอำนาจ ชีวิตของพวกเราแม่ลูกก็คงเป็นอันต้องตกระกำลำบากเป็นแน่” นางฮานกล่าวด้วยความอ่อนใจ 

 

 

หลี่หมิงเจ๋อตระหนักขึ้นมาได้ จึงเรื่องเอ่ยปากกล่าว “ลูกจะตั้งใจสุดความสามารถขอรับ” เขายังคงมีความมั่นใจในระดับหนึ่งเกี่ยวกับการสอบจักรวรรดิในครั้งนี้ แม้กระทั่งท่านพ่อที่มีกักเกณฑ์อย่างสูงก็ยังยกย่องบทความของเขาว่าเขียนได้อย่างดีและมีมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะแพ้ให้แก่คนอย่างหลี่หมิงอวิน แต่ที่ท่านแม่กล่าวมานั้นก็มีความสมเหตุสมผล เรื่องสำคัญยิ่งใหญ่เช่นนี้อย่างไรก็ควรจริงจังเอาไว้เสียหน่อยจึงจะดี 

 

 

“อีกประเดี๋ยวเจ้าก็ไปจัดการรับเมียของเจ้ากลับมาเสีย อย่าต้องทำให้พ่อตาของเจ้าเกิดมีอคติต่อเจ้า” นางฮานกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยทว่าว่ากลับแฝงเอาไว้ซึ่งการข่มขู่อย่างมิอาจต่อต้านได้ 

 

 

หลี่หมิงเจ๋อทำเพียงพยักหน้าตอบรับ ความจริงแล้วเขาเองก็อยากอยู่ร่วมกับหลั้วเหยียนอย่างสงบสุข ทว่าเมื่อใดที่หลั้วเหยียนเอ่ยปากขึ้นก็เป็นอันต้องนำเขาไปเปรียบเทียบกับหมิงอวินอยู่ร่ำไป แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไรหรือ ในเมื่อนางเห็นความสำคัญของหมิงอวินเสียขนาดนี้ ก็ไม่ควรยอมเต่งงานกับเขาตั้งแต่แรก แล้วไปแต่งกับหมิงอวินเสียรู้แล้วรู้รอดไป 

 

 

นางฮานโบกมือเป็นสัญญาณให้เขาออกไป 

 

 

แม่เจียงเมื่อเห็นว่าต้าเส้าเหยียเดินออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงกลับเข้ามาให้การปรนนิบัติดั่งเดิม 

 

 

นางฮานบีบนวดขมับศีรษะที่รู้สึกราวกับปูดบวมขึ้นมา เป็นระยะเวลานานมากแล้วที่ไม่ได้ใช้พลังงานทางความคิดมากมายเช่นนี้ นั่นทำให้นางรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นยิ่งนัก 

 

 

“แม่เจียง พรุ่งนี้เจ้าช่วยเรียกหญิงชราของเหรินหยาสิง [1] ให้มาที่นี่ แล้วนำปี้หรูซึ่งเคียงข้างกายต้าเส้าเหยียขายออกไปเสีย” นางฮานกล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย 

 

 

แม่เจียงรู้สึกตกตะลึง “ฮูหยิน นี่มัน…ไม่เหมาะสมเท่าไหร่นะเจ้าคะ! ดูเหมือนว่าต้าเส้าเหยียจะชื่นชอบปี้หรูเป็นอย่างมาก” 

 

 

นางฮานแสยะยิ้มพร้อมกับนัยน์ตาที่กำลังฉายแสงแห่งความเยือกเย็น “ก็เพราะต้าเส้าเหยียชื่นชอบนาง ถึงได้ต้องขายนางไปเสีย การปล่อยหญิงผู้นี้เอาไว้มีแต่จะก่อให้เกิดเรื่องเสื่อมเสีย จะให้นางพาเส้าเหยียเสียผู้เสียคนมิได้” 

 

 

แม่เจียงกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เพียงแค่เกรงว่าเส้าเหยียจะไม่พอใจน่ะเจ้าคะ” 

 

 

นางฮานกล่าว “นี่มิได้ขึ้นอยู่กับเขา…” 

 

 

ขณะกำลังสนทนากันอยู่นั้น สาวใช้ด้านนอกก็ส่งเสียงเข้ามา “เหล่าเหยียมาแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

นางฮานลุกขึ้นยืนจัดองค์ทรงเครื่องให้เรียบร้อย แล้วจึงเดินไปรอตอนรับที่ด้านข้างประตูทางเข้า 

 

 

หลี่จิ้งเสียนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง และไม่ได้สนใจในใบหน้ายิ้มแย้มของนางฮานซึ่งกำลังรอต้อนรับแต่อย่างใด เขาเดินตรงดิ่งไปยังม้านั่งตัวยาวแล้วหย่อนตัวลงนั่งภายใต้อารมณ์ขุ่นหมอง 

 

 

นางฮานขยิบตาส่งสัญญาณให้แม่เจียง หลังจากนั้นแม่เจียงจึงรีบไปสั่งการให้คนนำชาและของว่างมาให้ 

 

 

นางฮานเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้ม และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เหล่าเหยียนี่มิใช่ปัญหาใหญ่แต่อันใด หมิงอวินเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายผู้หนึ่ง เหล่าเหยียค่อยๆ พูดค่อยๆ จากับเขา เขาจะต้องเชื่อฟังเป็นแน่” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนสบถฮึแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เห็นทีว่าเขาจงใจอยากทำให้ข้าโกรธจนอกแตกตายเสียมากกว่า” 

 

 

นางฮานถอดถอนหายใจ “ในใจของเขาจะรู้สึกโกรธเคืองนั่นก็คงมิแปลก ทว่าอีกในไม่ช้าเขาก็จะเข้าใจถึงความยากลำบากของเหล่าเหยียเจ้าค่ะ” 

 

 

เมื่อหลี่จิ้งเสียนนึกย้อนกลับถึงบทสนทนาก่อนหน้านี้ ก็รู้สึกหมดสิ้นพละกำลังเรี่ยวแรง ความแค้นที่หมิงอวินมีต่อเขานั้นมันมากมายยิ่งนัก ใช่ว่าการพูดเพียงไม่กี่ประโยคก็จะสามารถทำให้เขาปล่อยวางได้ 

 

 

“ตอนนี้ที่ต้องเป็นกังวลคือสาวชาวบ้านผู้นั้นต่างหากเจ้าค่ะ หากไม่รีบขับนางออกไป เกรงก็แต่ว่าทางด้านท่านไต้เท้าเหว่ยนั้น…” นางฮานกล่าวอย่างเป็นกังวล 

 

 

“คำล่ำลือที่แผ่กระจายไปทั่ว ส่งผลให้ไต้เท้าเหว่ยไม่พึงพอใจเป็นอย่างมาก และหลายวันมานี้ก็ชักสีหน้าใส่ข้าอยู่ตลอด” หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ “เดิมทีอยากจะส่งสาวชาวบ้านผู้นั้นออกไปให้ไวที่สุด แต่คาดไม่ถึงเลยว่านางดันไปพักอาศัยอยู่ที่จวนจิ้งปั๋วโหว ไม่รู้เหมือนกันว่านางไปมีปัญญาขนาดนี้ได้อย่างไรกัน” 

 

 

นางฮานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง “เป็นไปได้อย่างไรกัน ไม่ใช่ว่านางเป็นสาวชาวบ้านคนหนึ่งเท่านั้นหรอกหรือ แล้วจะไปเกี่ยวข้องกับครอบครัวของจิ้งปั๋วโหวได้อย่างไรกัน” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้ม “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน คนคุมรถม้ากลับมารายงานต่อข้าว่า คนของจวนจิ้งปั๋วโหวออกมาต้อนรับนางเข้าไปด้านในด้วยความดีอกดีใจ” 

 

 

เดิมทีนางฮานต้องการให้หลี่หมิงอวินแต่งงานกับหญิงชาวบ้านผู้นั้น ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ประการแรกคือเรื่องการแต่งงานกับตระกูลเหว่ยก็เป็นอันจบสิ้นไป ที่นางไม่อยากให้หลี่หมิงอวินแต่งงานกับเชียนจินของตระกูลเหว่ย เพราะจะเท่ากับเป็นการเพิ่มขวากหนามอันแข็งแกร่งขึ้นมาอีก ซึ่งนั่นจะทำให้วันคืนของนางยากลำบากยิ่งขึ้น ประการที่สอง หลี่หมิงอวินจะกลายเป็นผู้ที่สามีของนางโปรดปรานไปโดยปริยาย ประการที่สาม…การแต่งหญิงสาวชาวบ้านเข้าตระกูล นั่นจะทำให้นางสามารถควบคุมได้อย่างง่ายดาย ด้วยคิดว่าหญิงสาวชาวบ้านมีสถานะที่ต่ำต้อยอีกทั้งยังไร้ความรู้ ถึงตอนนั้นก็คงไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือของนาง 

 

 

ข่าวคราวนี้เป็นที่น่าตกใจยิ่งนัก นางฮานรู้สึกว่าจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักพิจารณาหญิงสาวชาวบ้านผู้นี้ใหม่อีกครั้งเสียแล้ว 

 

 

“เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่จะเป็นแผนการของหมิงอวิน” นางฮานยังคงไม่เชื่อว่าหญิงสาวชาวบ้านผู้นี้จะมีปัญญาที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ 

 

 

หลี่จิ้งเสียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ตระกูลหลี่ของเราไม่มีสัมพันธ์เกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลจิ้งปั๋วโหว และหมิงอวินก็จากบ้านไปนานเสียขนาดนั้นแล้วจะไปสร้างมิตรสัมพันธ์กับครอบครัวจิ้งปั๋วโหวได้อย่างไรกันรึ” 

 

 

จวนจิ้งปั๋วโหวเป็นของตระกูลข้าราชการที่มีอายุยาวนานมาเป็นร้อยปี ไม่ว่าราชวงศ์ไหนๆ เปลี่ยนถ่ายเข้ามา ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าเขาจะสนิทชิดเชื้อกับองค์ชายพระองค์ใด เจตนาที่ก่อให้เกิดความเสียหายยิ่งไม่ควรพูดถึง เกิดองค์รัชทายาทไม่พึงพอใจแล้วเขาจะได้ประโยชน์อะไรล่ะ 

 

 

นางฮานมองเห็นผู้เป็นสามีขมวดคิ้วเคร่งเครียดและทันใดนั้นก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ข้าได้ยินมาว่าภรรยาคนที่สองของจิ้งปั๋วโหวกำลังตั้งครรภ์ เพียงแต่สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก ดูเหมือนว่าหญิงสาวชาวบ้านผู้นั้นจะมีทักษะด้านการรักษาโรคอยู่บ้าง” 

 

 

ทันใดนั้นจิตใจของหลี่จิ้งเสียนก็เบิกบานขึ้น เขายืดลำตัวขึ้นตรง หยุดชะงักไปชั่วขณะแล้วจึงค่อยๆ เอนหลังเข้าหาพนักพิงอีกครั้ง “ภรรยาคนใหม่ของจิ้งปั๋วโหวหากเจ็บป่วย จะเรียนเชิญหมอหลวงไปให้การรักษาก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไร แล้วเหตุใดจึงได้เชื่อถือหญิงสาวชาวบ้านที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามเช่นนางไปได้” 

 

 

นางฮานคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เหตุใดเหล่าเหยียไม่ลองเรียกตงจึมาถามไถ่ดูว่าในการเดินทางครั้งนี้ของพวกเขาพบเจอเรื่องอันใดมาบ้าง” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนตวัดสายตามองนาง “เจ้าคิดว่าก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้ถามหรืออย่างไร ตงจึเป็นคนรับใช้ที่ติดตามหมิงอวินมาตั้งแต่เขายังเด็ก ซึ่งเขาภักดีต่อหมิงอวินเป็นอย่างมาก หากอยากจะได้คำพูดอะไรจากปากเขา ไม่สู้ข้าเข้าไปถามหมิงอวินโดยตรงยังจะดีเสียกว่า” 

 

 

หลี่หมิงเจ๋อสั่งให้คนเตรียมรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเตรียมกำลังจะออกจากบ้านเพื่อไปรับหลั้วเหยียนกลับมา แต่กลับเป็นว่าติงหลั้วเหยียนกลับมาด้วยตนเองก่อนเสียแล้ว 

 

 

ในตอนแรกหลี่หมิงเจ๋อรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าอันงดงามของติงหลั้วเหยียนกำลังปกคลุมไปด้วยความเย็นชาจน หัวใจของเขาก็ไร้ความรู้สึกลงไปอีกครั้ง เคยคิดว่าได้แต่งงานกับหญิงสาวที่งดงามราวดอกไม้ในฤดูใบ้ไม้ผลิและจะได้ครองคู่กันอย่างมีความสุข ทว่ากลับกลายเป็นการแต่งงานกับหญิงสาวที่ไม่ต่างจากภูเขาน้ำแข็ง ขณะมองดูก็ยิ่งขุ่นหมองในจิตใจ แต่เมื่อนึกถึงคำอบรมสั่งสอนก่อนหน้านี้จากผู้เป็นแม่ หลี่หมิงเจ๋อก็สกัดกลั้นความทุกข์เอาไว้ในใจ แล้วเอ่ยทักทายออกไปด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่อบอุ่น “ข้ากำลังเตรียมไปรับเจ้า…” 

 

 

ติงหลั้วเหยียนเดินปาดเรือนรางเขาไปด้วยสีหน้าอันไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ 

 

 

ความรู้สึกของการถูกเพิกเฉยทำให้หลี่หมิงเจ๋อรู้สึกโกรธขึ้นมา และโยนทิ้งคำสั่งสอนของผู้เป็นแม่ออกไปจนหมดสิ้น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยออกมา “เจ้ากลับมาช้าเสียขนาดนี้ เลยพลาดละครดีๆ ไปหนึ่งฉากน่ะ!” 

 

 

ติงหลั้วเหยียนหยุดชะงักฝีก้าวลงชั่วขณะ หลี่หมิงเจ๋อจึงคิดว่านางจะหันกลับมาเพื่อเอ่ยปากถามเขา แต่คาดไม่ถึงเลยว่า นางเพียงแค่ทำเป็นหยุดชะงักชั่วขณะเท่านั้น จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองเลยแม้แต่น้อย 

 

 

หลี่หมิงเจ๋อจ้องมองไปยังแผ่นหลังอันแสนอรชรนั้นพลางขบฟันด้วยความเคียดแค้น 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] เหรินหยาสิง (人牙行) หมายถึง พ่อค้าแม่ค้าคนกลางในตลาดประเภทต่างๆ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้เจรจาระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย