ตอนที่ 57 สองพี่น้อง

ปฏิญญาค่าแค้น

หลินหลันตั้งอกตั้งใจในการเป็นผู้ดูแลส่วนตัวของนางโดยเริ่มจากการเตรียมสูตรอาหารขึ้นมาหนึ่งฉบับสำหรับเฉียวอวิ๋นซี หลินหลันมีความสนใจมาอย่างมากมาโดยตลอดในการใช้อาหารเป็นยารักษา ซึ่งในชีวิตก่อนหน้านี้นางได้ทุ่มเทเวลาไปกับการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว ด้วยนางคิดว่าแม้ยาจะสามารถรักษาโรคได้แต่ก็ยังคงมีผลข้างเคียงต่อร่ายกายอยู่ดี ดังนั้นการบำรุงด้วยยาหรือจะสู้การบำรุงด้วยอาหาร นอกจากนี้แล้วยังแนะนำเฉียวอวิ๋นซีให้นำผ้าม่านสีมืดทึบภายในห้องเปลี่ยนเป็นผ้าม่านผืนบางโปร่งแสงสีสว่างตา อะไรที่ว่าหญิงตั้งครรภ์ต้องป้องกันการโดนลมและความหนาวเย็น วันคืนนี้ที่ร้อนขนาดนี้ทำให้อากาศภายในห้องร้อนอบอ้าว จากที่ไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยก็คงต้องเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาได้ 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีรับข้อเสนอแนะของหลินหลัน และให้บรรดาสาวรับใช้รีบมาเปลี่ยนผ้าม่านกันตั้งแต่รุ่งเช้า ตลอดจนวางอ่างดอกบัวที่ทำการย้ายมาจากหนองน้ำจำนวนหนึ่งอ่างไว้บริเวณมุมห้อง ส่วนบนโต๊ะได้ทำการวางแจกันดอกไม้หรู่เหยา [1] ซึ่งมีดอกกุหลาบแสนสวยเสียบปักไว้สองสามดอก อีกทั้งยังเปิดบานหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเท เมื่อบวกกับการปรับปรุงทัศนีย์ภาพภายในห้อง ก็ทำให้ห้องทั้งห้องดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างชัดเจน 

 

 

“รู้สึกปลอดโปร่งดีเหมือนกันเมื่อได้มองดูอะไรเช่นนี้” เฉียวอวิ๋นซีซึ่งได้แต่นอนอยู่บนเตียงเป็นระยะเวลาหลายเดือนมาแล้ว ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันจนเบื่อหน่ายเป็นยิ่งนัก พออะไรต่อมิอะไรถูกจัดให้เข้าที่เข้าทางเช่นนี้ จึงรู้สึกหายใจได้อย่างปลอดโปร่งขึ้นมาก 

 

 

เฉียวฮูหยินมองดูบานหน้าต่างที่เปิดอ้า ก็รู้สึกกังวลใจอยู่เล็กน้อย “ข้าว่าปิดหน้าต่างสักสองสามบานดีไหม” 

 

 

หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ด้านนอกอากาศอบอุ่น ดังนั้นเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทนั้นเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดแล้วเจ้าค่ะ ไว้เมื่อมีลมพัดแรงเมื่อใดค่อยปิดก็เป็นพอ ซึ่งการรักษาอากาศสดชื่นไว้ภายในห้องเป็นการดีต่อหญิงตั้งครรภ์เจ้าค่ะ” 

 

 

“ท่านแม่ ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ลมพัดแบบนี้เย็นสบายดีออก” เฉียวอวิ๋นซีกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นางเห็นดีด้วยกับคำพูดของหลินหลัน 

 

 

เฉียวฮูหยินมองดูท่าทีที่แสนมีความสุขของบุตรสาว จึงทำให้นางมีความสุขตามไปด้วย อีกอย่าง หลินหลันเป็นหมอ ในเมื่อนางบอกว่าไม่เป็นไรก็น่าจะไม่เป็นไรกระมัง! จึงไม่เอ่ยคัดค้านใดๆ ขึ้นมาอีก 

 

 

ระหว่างการสนทนา สาวใช้จำนวนหนึ่งก็ถือกล่องหลากสีขนาดใหญ่ทยอยกันเข้ามาทีละคน 

 

 

หัวหน้าสาวรับใช้นามว่าฟางฮุ้ยสั่งให้บรรดาสาวรับใช้นำอาหารทยอยออกมาจัดเรียง แล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “นี่เป็นอาหารซึ่งทำตามสูตรของท่านหมอหลี่เจ้าค่ะ โดยมีปลาจี้อวี๋ [2] นึ่ง เห็ดสดผัดถั่วลันเตา เนื้ออกไก่ผัดผักกาดขาว ไข่ยัดไส้ปลาเงิน แล้วยังมีโจ๊กหมูบดใส่ฟองเต้าหู้……” 

 

 

ตลอดช่วงที่ผ่านมาเฉียวอวิ๋นซีไม่ค่อยรู้สึกอยากอาหารเท่าไหร่นัก เมื่อมองเห็นอาหารจำนวนมากขนาดนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน 

 

 

หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าสดใส “เด็กที่อยู่ในครรภ์ล้วนต้องพึ่งพาการดูดซึมสารอาหารอันมีประโยชน์จากผู้เป็นมารดาถึงจะสามารถค่อยๆ เจริญเติบโตได้ ถึงโหวเหย่ฟูเหรินจะไม่อยากอาหาร แต่ก็ต้องทานเข้าไปบ้าง คิดเสียว่าทานเพื่อเด็กในท้องนะเจ้าคะ” 

 

 

เฉียวฮูหยินก็เอ่ยตามขึ้นมาเช่นกัน “หลี่ฟูเหรินพูดถูกแล้ว อวิ๋นซีอ่า! ต้องกินให้เยอะๆ เข้าไว้เด็กถึงจะแข็งแรงขึ้นมาได้” 

 

 

ลูกคือความหวังและแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่มหาศาลของเฉียวอวิ๋นซี หลังจากได้ยินเช่นนั้นนางจึงเอ่ยขึ้นในทันที “ยกเข้ามาเถอะ!” 

 

 

ฟางฮุ้ยกล่าวด้วยความดีใจ “โดยปกติแล้วในแต่ละวันพวกเราก็คอยโน้มน้าวให้ฟูเหรินทานเยอะๆ หน่อย ทว่าฟูเหรินก็ทานไปได้ไม่มากนัก ตอนนี้กลับกลายเป็นคำพูดของท่านหมอหลี่ที่ใช้ได้ผล ก่อนหน้านี้พวกเราพูดไปเป็นร้อยประโยคยังไม่สู้ประโยคเดียวของท่านหมอหลี่เลยนะเจ้าคะ” 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีจ้องเขม็งใส่นางไปหนึ่งที “เจ้าจะพูดมากไปแล้วนะ” 

 

 

เห็นเฉียวอวิ๋นซีให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีขนาดนี้ ความมั่นใจของหลินหลันก็เพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย 

 

 

เข้าวันที่สาม เฉินจื่ออวี้ส่งคนมาบอกกล่าว เชิญหลินหลันให้ออกไปพบ 

 

 

หลินหลันขอลาเป็นเวลาครึ่งวัน แล้วไปตามนัดหมายโดยมีเหวินซานติดตามไปด้วย 

 

 

สถานที่นัดหมายคือโรงน้ำชาแห่งหนึ่งที่สะดวกสบายและเงียบสงบ โดยเฉินจื่ออวี้ได้ทำการจองที่นั่งแบบห้องส่วนตัวเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว 

 

 

เฉินจื่ออวี้ถือได้ว่าเป็นคนคุ้นเคย ข้างกายเขามีชายท่านหนึ่งสีผิวเข้ม เรียวคิ้วหนารับกับดวงตาคู่กลมโต รูปร่างกำยำสูงโปร่งดั่งชายหนุ่มผู้ซึ่งมีความแข็งแกร่งอันยิ่งใหญ่ ขณะนั้นเองหลินหลันก็รู้ได้ในทันทีว่านั่นคือหนิงซิ่ง 

 

 

“หลินหลันคาราวะต้าเกอ [3] ทั้งสองท่าน” หลินหลันเผยท่าทีอ่อนน้อมสงบเสงี่ยม มันช่วยไม่ได้ที่ตอนนี้ใครใช้ให้นางต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นกันล่ะ! ก็ยอมให้พ่อหนุ่มเฉินจื่ออวี้ผู้นี้พึ่งพอใจไปก่อนสักครั้งแล้วกัน! 

 

 

ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพลานี้เฉินจื่ออวี้ดูพึงพอใจอย่างมาก โดยใบหน้าของเขากำลังยิ้มเยาะ 

 

 

หนิงซิ่งซึ่งปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาดูน่าคบหากว่ามาก รีบลุกขึ้นยืนแล้วให้การคาราวะ “มิบังอาจ มิบังอาจ พวกเราควรจะเรียกเจ้าว่าซ่าวจื่อ [4] ถึงจะถูก ซ่าวจื่อเชิญนั่งลงเร็วเข้า” 

 

 

หลินหลันประทับใจในตัวหนิงซิ่งเป็นอย่างยิ่ง นางแสดงท่าคาราวะให้แก่เขาอีกครั้งแล้วจึงหย่อนตัวลงนั่ง คาดไม่ถึงเลยว่าหลี่หมิงอวินซึ่งดูอ่อนโยนผู้นั้นจะเป็นถึงพี่ใหญ่ของคนเหล่านี้ 

 

 

เฉินจื่ออวี้ถลึงตาใส่หนิงซิ่งขณะเดียวกันก็เตะเข้าไปที่เท้าของหนิงซิ่งซึ่งอยู่ใต้โต๊ะ พลางบ่นตำหนิในใจ เจ้าจะทำตัวเป็นคนดีตรงไปตรงมาทำไมกัน ไม่ง่ายเลยนะที่ข้าจะแก้เผ็ดเอาคืนได้ แถมเจ้ายังเอาแต่เรียกซ่าวจื่อซ่าวจื่ออยู่นั่นแหละ 

 

 

หนิงซิ่งถลึงตาใส่เขากลับไปเช่นกันและพลางส่งเสียงโวยวายขึ้น “เจ้ามาเตะขาข้าทำไมกัน” 

 

 

สีหน้าของเฉินจื่ออวี้ตื่นตระหนกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะรีบพูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “มาเข้าเรื่องกันเถอะ มาเข้าเรื่องกันเถอะ” 

 

 

หลินหลันแอบอมยิ้มด้วยรู้ดีแก่ใจ เพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งนั้นแล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างใส่ใจ “พวกเจ้าไปพบหมิงอวินที่จวนหลี่มาแล้วใช่ไหม” 

 

 

หนิงซิ่งเผยสีหน้าซึ่งดูไม่ค่อยพึงพอใจนัก พลางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “มันน่าโมโหชะมัด พวกเราสองคนไปถึงหน้าประตูเพื่อขอพบเขา แต่ก็ถูกเชิญให้กลับไปในทันที โดยผู้ดูแลบ้านบอกว่า…เส้าเหยียของพวกเรากำลังเก็บตัวอ่านตำราอย่างหนักเพื่อเตรียมสอบ จึงไม่รับแขกใดๆ ทั้งสิ้น” 

 

 

น้ำเสียงและสีหน้าของหนิงซิ่งดูตลกเล็กน้อยภายใต้การเลียนแบบคำพูดคำจาของผู้ดูแลบ้าน 

 

 

นี่เป็นไปตามการคาดหมายของหลินหลัน นางจึงไม่ได้ตระหนกตกใจแต่อย่างใด 

 

 

“เช่นนั้นท่านทั้งสองมีความคิดเห็นอย่างไรหรือ” หลินหลันอยากฟังความคิดเห็นของพวกเขาเสียก่อน 

 

 

หลินหลันสะกดอารมณ์ได้อย่างสงบนิ่งถึงเพียงนี้จึงทำให้เฉินจื่ออวี้รู้สึกประหลาดใจ อย่างไรก็ตามพอมาคิดๆ ดูแล้วการที่หลินหลันไม่ชักสีหน้าใดๆ ต่อการกระทำเมื่อครู่ของเขา เฉินจื่ออวี้กลับยิ่งรู้สึกงุนงงมากกว่า 

 

 

เฉินจื่ออวี้เผยท่าที่ผ่อนคลายไร้ความกังวล พลางเคาะนิ้วลงบนโต๊ะก่อให้เกิดเสียงดังต่อกต่อก 

 

 

“หมิงอวินคาดเดาไว้แต่แรกแล้วว่าท่านพ่อของเขาจะต้องไม่เห็นด้วย เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าท่านพ่อของเขาจะจับเขากักขังบริเวณ…” 

 

 

หนิงซิ่งซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยแย้งขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “เป็นหลี่ต้าเกอต่างหาก” 

 

 

เฉินจื่ออวี้กล่าวอย่างหงุดหงิด “เจ้าอย่าเอ่ยแทรกข้าจะได้ไหม” 

 

 

หนิงซิ่งปิดปากลงภายใต้สีหน้าอันบูดบึ้ง 

 

 

เฉินจื่ออวี้กล่าวต่อ “แต่ว่าเจ้าวางใจได้ หลี่เหล่าเหยียแม้ว่าจะโกรธเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นใช้วิธีลงไม้ลงมืออะไรกับหมิงอวิน ก็แค่กังขังเอาไว้สักระยะหนึ่ง และไม่แน่ว่าหมิงอวินก็ไม่ได้รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรด้วย! กลับเป็นการดีเสียอีกที่เขาจะได้เตรียมตัวสอบอย่างสงบ” 

 

 

หลินหลันนึกตำหนิภายในใจ พูดง่ายดีนี่ ลองเปลี่ยนเป็นเจ้าเองดูไหมล่ะ 

 

 

“โชคดีที่หมิงอวินได้วิเคราะห์สถานการณ์ไว้ล่วงหน้าอย่างถี่ถ้วน อีกทั้งยังมีแผนการโดยละเอียด อันดับต่อไป พวกเราจะต้องราดน้ำมันลงไปในกองไฟโดยการทำให้เรื่องราววุ่นวายใหญ่โตขึ้นมา เพื่อทำให้หลี่เหล่าเหยียคิดที่จะเจรจาสงบศึกและอยู่ร่วมอย่างสันติสุข” 

 

 

อืม ความคิดนี้หลินหลันเห็นด้วยอย่างยิ่ง ซึ่งเดิมทีนางก็คิดเช่นนี้ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าหลี่หมิงอวินได้คิดเอาไว้แต่แรกแล้วด้วยเช่นกัน 

 

 

“ท่าทีของหลี่เหล่าเหยียต่อต้านเสียขนาดนั้น แล้วเขาจะยอมประนีประนอมหรือ” หลินหลันรู้สึกไม่มั่นใจเอาเสียเลย 

 

 

“นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา เรื่องในเมืองหลวงซับซ้อนและมีความสำคัญมากเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปจะเข้าใจ! อย่ามองว่านี่เป็นเพียงเรื่องของตระกูลหลี่เท่านั้น จริงๆ ในนั้นมีความเกี่ยวข้องกับประเด็นความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งอยู่มากมาย” เฉินจื่ออวี้กล่าวด้วยความรู้สึกประณาม 

 

 

“โอ๊ะ? รีบเล่าให้ฟังหน่อยสิ” หลินหลันแสดงทีท่าสนอกสนใจอย่างยิ่ง นางในขณะนี้ไม่ต่างจากการยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มหมอกถึงแม้จะมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนแล้วก็ตาม ทว่าหากสามารถกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกองกำลังต่างๆ ที่เมืองหลวงนี้ได้ จากนั้นก็จะสามารถกำหนดเป้าหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาด ไม่ง่ายเลยที่จะสามารถเชื่อมความสัมพันธ์กับจิ้งปั๋วโหวได้ หากไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ ก็คงน่าเสียดายแย่ 

 

 

เฉินจื่ออวี้ดื่มชาอย่างละเมียดละไม แล้วกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น “มันซับซ้อนไม่น้อยอยู่ทีเดียว ไม่รู้ว่าเจ้าจะสามารถฟังเข้าใจหรือไม่” 

 

 

หลินหลันอยากยกเท้าขึ้นไปเตะเขาสักที แต่ก็ต้องสกัดกลั้นอารมณ์นั่นเอาไว้ แล้วกล่าวขึ้นอย่างถ่อมตัว “เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเลยว่าข้าจะฟังเข้าใจหรือไม่ ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องดีสำหรับข้าที่จะรู้เอาไว้บ้าง” 

 

 

หนิงซิ่งพยักหน้าอย่างเห็นดีเห็นงาม “ไม่เลวเลย ไม่เลวเลย” 

 

 

เฉินจื่ออวี้ทำทีส่งเสียงกระแอม แล้วจึงกล่าวขึ้น “จะว่าไปแล้วตอนนี้ตระกูลหลี่ของเจ้าร้อนแรงไม่น้อยเลยทีเดียวเชียว องค์รัชทายาทและองค์ชายสี่ต้องการเอาชนะหลี่เหล่าเหยีย พอเป็นแบบนี้แล้ว! บิดาของติงหลั้วเหยียนน้องสะใภ้ของเจ้า คือผู้สนับสนุนที่ซื่อสัตย์ขององค์รัชทายาท และตอนนี้ที่ได้กำหนดเรื่องการแต่งงานไว้กับหมิงอวินก็คือไต้เท้าเหว่ยรองเจ้ากรมยุทธ์ซึ่งเป็นคนขององค์ชายสี่ แน่นอนว่า การแสดงออกของไต้เท้าเหว่ยนั้นไม่ได้ชัดเจนจนออกหน้าออกตานัก แต่ทุกคนก็ยังจัดว่าเขาเป็นคนขององค์ชายสี่ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่า หลี่เหล่าเหยียคิดอะไรอยู่ในใจของเขากันแน่ เขาต้องการเหยียบเรือสองแคม? หรือว่าอยากเป็นผู้บริสุทธิ์ใจต่อทั้งสองฝ่าย?” 

 

 

“ข้าว่า เขาทะเยอทะยานมากเกินไปต่างหาก” หนิงซิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงปนการดูถูก “อย่าได้ถึงตอนนั้นกลายเป็นว่าอวดฉลาดแต่กลับทำอะไรโง่ๆ จนทำร้ายทั้งตัวเองและผู้อื่นจนได้แล้วกันล่ะ” 

 

 

“เอาเรื่องนี้ไว้ก่อนเถอะ จากการวิเคราะห์ของหมิงอวิน ถ้าเขาแต่งงานกับลูกสาวของไต้เท้าเหว่ย มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าเขาอาจจะกลายเป็นแพะรับบาป ซึ่งเขาก็ไม่ได้มององค์ชายสี่ในแง่ดีอยู่แล้วด้วย” เฉินจื่ออวี้กล่าว 

 

 

หลินหลันกล่าวด้วยความสงสัย “เช่นนั้นเขามองใครในแง่ดี?” 

 

 

สีหน้าของเฉินจื่ออวี้ดูเคร่งขรึมขึ้นมากะทันหัน “ความจริงแล้วมันไม่สำคัญหรอกว่าจะมองใครในแง่ดี สิ่งสำคัญคือผู้ใดเป็นคนสุดท้ายที่ได้นั่งบนบัลลังค์มังกรนั่นต่างหาก เรื่องชนชั้นสูงประเภทนี้มีความเสี่ยง และเป็นความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่เสียด้วย สิ่งที่ปลอดภัยที่สุดคือต้องเดินตามผู้ซึ่งนั่งบนบัลลังค์มังกรอยู่เสมอ ตราบใดที่เจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ก็จะได้รับมอบหมายงานสำคัญไม่ว่าเป็นผู้ใดที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์” เฉินจื่ออวี้พยายามกล่าวอย่างง่ายดายไม่ซับซ้อน ด้วยเกรงว่าหลินหลันจะฟังไม่เข้าใจ 

 

 

หลินหลันเชื่ออย่างยิ่งว่าวิธีการคิดของหมิงอวินนั่นถูกต้องมาก มีคำกล่าวที่ว่าเจ้าสามารถสร้างความมั่งคั่งได้โดยการเสี่ยง ยิ่งเสี่ยงมากผลตอบแทนก็ยิ่งมาก และทุกการตัดสินใจในชีวิตอาจส่งผลต่อโชคชะตาของตัวเจ้าเอง เพื่อสานต่อรากฐานและความเจริญรุ่งเรืองแม้บางครั้งความสัมพันธ์ฉันท์ญาติมิตรก็อาจยอมละเลยไปได้ แต่เหมือนว่าคนอย่างเขา ซึ่งมีความสามารถอย่างแท้จริงแล้วเหตุใดจะต้องพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงด้วยเล่า ไม่สู้เลือกเป็นขุนนางบริสุทธิ์ผู้หนึ่งที่มั่นคงและไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดนี่ต่างหากถึงจะถูกต้อง และสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกสบายใจได้ก็คือ เฉินจื่ออวี้และหนิงซิ่งมีวิธีการคิดเฉกเช่นเดียวกับหลี่หมิงอวิน ซึ่งการเป็นเช่นนี้มันดีมาก หากใครคนใดคนหนึ่งในพวกเขาถูกทำให้โอนอ่อนตามไป แล้วมากดดันหลี่หมิงอวิน หลี่หมิงอวินคงจะลำบากใจมากอย่างแน่นอน แม้ว่านางกับหลี่หมิงอวินไม่ได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แต่ทว่าเมื่อเรื่องราวจบลงและต้องแยกย้ายจากกัน นางก็ยังคงหวังว่าหลี่หมิงอวินจะปลอดภัยดี 

 

 

“หลี่ต้าเกอมีความคิดเป็นตัวของตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร” หนิงซิ่งกล่าวชื่นชมอย่างจริงใจ 

 

 

“เอาเถอะ! อย่าเพิ่งสนใจเลยว่าหลี่เหล่าเหยียคิดอะไรกันแน่ ประเด็นสำคัญคือเราจะใช้ความสัมพันธ์เหล่านี้เพื่อแก้ปัญหาในปัจจุบันนี้ได้อย่างไรต่างหาก” หลินหลันชี้ไปยังประเด็นของปัญหา 

 

 

เฉินจื่ออวี้อดที่จะตกตะลึงไม่ได้ หลินหลันสมองไม่เลวเลยหนิ! 

 

 

“เจ้าว่า เมื่อเรื่องนี้วุ่นวายขึ้นแล้ว ใครจะเป็นผู้ที่ไม่มีความสุขมากที่สุดล่ะ” เฉินจื่ออวี้สอดแทรกความลึกลับ 

 

 

ใครกันที่จะไม่มีความสุขมากที่สุด? จากการจับต้นชนปลาย แน่นอนว่าฮ่องเต้คือผู้ที่ไม่มีความสุขที่สุด ที่บรรดาบุตรชายต่างก็อดใจรอไม่ไหวที่จะแย่งบัลลังค์ของเขา? หลินหลันยิ้มเล็กยิ้มน้อยและแสดงออกอย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง 

 

 

จากนัยน์ตาอันแสนสงบนิ่งของนาง เฉินจื่ออวี้ก็มองออกได้ว่านางเข้าใจแล้ว และลึกๆ แอบอดสงสัยไม่ได้ว่า แม่สาวชาวบ้านมีความชาญฉลาดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน 

 

 

“แน่นอนว่า หากต้องการให้ท่านผู้นั้นออกโรง ก็ยังจำเป็นต้องได้รับการร่วมมืออีกหลายด้าน และโชคชะตาพิเศษผสมผสาน เช่น…ท่านที่ปกป้องเจ้าในตอนนี้ ถ้าหากเขายอมออกหน้าพูดสักสองสามประโยค…” เฉินจื่ออวี้กล่าวจุดประเด็น 

 

 

หนิงซิ่งทำตาโตจ้องเขม็งใส่เขา “เจ้าหยุดพูดอย่างลึกลับซับซ้อนจะได้ไหม ถ้าซ่าวจื่อไม่เข้าใจจะทำอย่างไร” 

 

 

หลินหลันมองไปที่เขาอย่างขอบคุณ และพูดขึ้น “ความหมายของพวกเจ้าข้าเข้าใจแล้ว แล้วหลังจากนั้นล่ะ ข้าว่าพวกเรามาแบ่งหน้าที่กันเถอะ” 

 

 

เฉินจื่ออวี้รู้สึกไม่วางใจ “ทักษะการรักษาโรคของเจ้าได้เรื่องจริงๆ หรือ หากไม่ได้เรื่อง ข้าจะแอบลักไก่เชิญหมอชื่อดังสักสองท่านมาร่วมด้วยช่วยเจ้า” 

 

 

หลินหลันลุกขึ้นยืน กล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ไม่ต้องหรอก” ขณะพูดก็แสดงท่าคาราวะอย่างอ่อนช้อยไปทางสองท่านนั้น “เรื่องของข้าและหมิงอวินคงต้องรบกวนทั้งสองท่านด้วย” 

 

 

หนิงซิ่งรีบลุกขึ้นและคาราวะกลับคืนในทันที “ซ่าวจื่อไม่จำเป็นต้องเกรงใจต่อพวกเรา เรื่องของต้าเกอก็คือเรื่องของพวกเราพี่น้อง ต้าเกอประสบความลำบาก นี่จึงเป็นสิ่งที่พึ่งกระทำในฐานะการเป็นพี่น้อง” 

 

 

หลินหลันออกมาจากโรงน้ำชาพร้อมอารมณ์เริงร่า หลังจากการสนทนาครั้งนี้สิ้นสุดลง หัวใจของนางก็สว่างสดใสขึ้นมาก นางไม่จำเป็นต้องเป็นเสมือนแมลงวันไร้หัวที่พุ่งชนกับทุกหนแห่งอีกต่อไป หลินหลันตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าเมื่อกลับไปจะต้องเจาะลึกอาการของเฉียวอวิ๋นซีให้มากยิ่งขึ้น ดึงเอาความมุ่งมั่นและความกล้าหาญที่จะฝ่าฟันการต่อสู้อันยากลำบากนี้ออกมา และจะต้องสยบจวนจิ้งปั๋วโหวซึ่งเป็นดั่งภูเขาลูกใหญ่นี้ให้อยู่ในอาณัติให้ย่อมได้ 

 

 

หลินหลันแหงนหน้ามองผืนท้องฟ้าสีฟ้าใส แม้พระเจ้าก็ยังให้การช่วยเหลือนาง ท่านพ่อหลี่ผู้สาระเลว ในครั้งนี้เจ้าจะต้องพ่ายแพ้อย่างราบคราบเป็นแน่ 

 

 

เหวินซานมองเห็นสีหน้าแห่งความสุขกำลังแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของนายหญิง ความกังวลที่ซ่อนอยู่ในใจจึงมลายหายไปจนหมดสิ้น ในเมื่อเส้าฟูเหรินไม่ได้เป็นกังวล แน่นอนว่าคงไม่มีอะไรให้น่าเป็นกังวลอีกแล้ว เหวินซานควบแส้ม้าของเขาและทันใดนั้นเองม้าก็ค่อยๆ ออกวิ่งไป 

 

 

 

 

 

—– 

 

 

[1] หรู่เหยา (汝窑) โรงทำเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยราชวงศ์ซ่ง รูปแบบลวดลายของเครื่องกระเบื้องที่ผ่านการผลิตจากที่นี่จะไม่เหมือนเครื่องเคลือบอื่นๆ ในยุคนั้น โดยสีจะมีความเสถียร และเคลือบด้วยสีอ่อนๆ 

 

 

[2] ปลาจี้อวี๋ (鲫鱼) ชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง 

 

 

[3] ต้าเกอ (大哥) คำใช้เรียก ชายหนุ่มซึ่งมีวัยอาวุโสกว่าตนเอง (พี่ชายคนโต, พี่ใหญ่) 

 

 

[4] ซ่าวจื่อ (嫂子) พี่สะใภ้