ด้วยเวลาเพียงชั่วข้ามคืน ตามตรอกซอกซอยตลอดจนหน้าจวนตระกูลผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง กำลังแพร่สะพัดไปด้วยข่าวลือระลอกใหม่ ในใจความที่ว่าใต้เท้าหลี่รองเสนาบดีกรมคลังรังเกียจคนจนรักใคร่คนรวย จึงต้องการทำลายความสัมพันธ์คู่สามีภรรยา ขณะที่หลี่หมิงอวินชายหนุ่มผู้มีความสามารถเป็นอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงเพื่อรักษาไว้ซึ่งคำมั่นสัญญา จึงไม่ขอมีภรรยาผู้ร่ำรวยและเลือกที่จะไม่ทอดทิ้งภรรยาผู้ยากจน มันคือความรักอันมั่นคงของสามีผู้มีรักให้อย่างแท้จริง
จะมีหญิงสาวผู้ใดบ้างที่ไม่ปรารถนาครอบครองความรักอันแข็งแกร่งและเปี่ยมด้วยความจริงใจ จะมีหญิงสาวผู้ใดบ้างที่ไม่ต้องการให้ผู้ชายของตนหรือผู้ชายที่จะแต่งงานด้วยในอนาคตปฏิบัติต่อตนเองด้วยการรักเดียวใจเดียว
หลี่หมิงอวินผู้ซึ่งอยู่ในคำล่ำลือสร้างความพึงใจต่อจินตนาการด้านความรักของบรรดาหญิงสาวอย่างมากมาย เขาทำให้พวกนางได้เห็นความงามที่แท้จริงท่ามกลางความเป็นจริงอันโหดร้ายว่าแท้จริงแล้วใต้หล้านี้มิได้ดำมืดเช่นนั้น เฉกเช่นผู้ชายดีๆ ยังคงหลงเหลืออยู่บนโลกนี้ แต่ที่แย่ก็คือทำไมพวกนางถึงไม่สามารถครอบครองหลี่หมิงอวินชายหนุ่มผู้ซึ่งสมบูรณ์แบบ ชายหนุ่มผู้ซึ่งเพียบพร้อมด้วยพรสวรรค์ความสามารถ รูปลักษณ์และคุณธรรมตามความปรารถนาของพวกนางได้
ดังนั้น ผู้หญิงเหล่านี้ซึ่งกำลังโอบกอดความในใจอันแสนซับซ้อนพร้อมทั้งความอิจฉาริษยา เริ่มตัดพ้อและตำหนิผู้ชายของตนเองต่างๆ นานา พร้อมกับหมอนที่ลอยละลิ่วปลิวว่อน
ดังนั้น บรรดาสามีเหล่านั้นจึงเริ่มตกอยู่ในความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง
ดังนั้น หลังเช้าตรู่ของวันใดวันหนึ่ง ก็มีขุนนางไปเข้าพบหลี่จิ้งเสียน โดยกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างอ้อนวอน “ใต้เท้าหลี่ โปรดรีบจัดการปัญหาเรื่องของบุตรชายรองของท่านเถอะ มิเช่นนั้นวันคืนของพวกเราไม่เป็นอันสงบสุขแน่”
มุมปากของหลี่จิ้งเสียนกระตุกขึ้น เขาส่งเสียงหัวเราะเจื่อนๆ เล็กน้อยและกล่าวในใจ เรื่องของบ้านข้าไปเกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าด้วย
ดังนั้น ค่ำคืนของวันใดวันหนึ่งใต้เท้าเหว่ยจึงไปเข้าเฝ้าองค์ชายสี่
ใต้เท้าเหว่ยกล่าวขึ้น “ฝ่าบาท เพลานี้ปัญหาของตระกูลหลี่กำลังเป็นที่เลืองลืออย่างหนัก แม้กระทั่งกระหม่อมเองก็ตกเป็นผู้ที่ถูกทุกคนหัวเราะเยาะไปด้วย จนกระหม่อมแทบไม่มีหน้าออกไปพบปะผู้คนอีกแล้วพะย่ะค่ะ”
องค์ชายสี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ใต้เท้าเหว่ยใจเย็นไว้อย่าได้กระโตกกระตากไป หลี่หมิงอวินเป็นผู้มีพรสวรรค์ความสามารถที่พบได้น้อยนัก จะยอมแพ้ไปง่ายๆ เช่นนี้ ไม่เสียดายแย่หรือ”
ใต้เท้าเหว่ยนึกบ่นในใจ มีใครบ้างที่จะไม่รู้ว่าหลี่หมิงอวินเป็นผู้มีพรสวรรค์ความสามารถ แต่ทว่าจะมาทำให้ชื่อเสียงบุตรสาวแห่งตระกูลข้าเสื่อมเสียมิได้
องค์ชายสี่ดูเหมือนจะมองทะลุความในใจของเขา จึงเอ่ยตรัสขึ้น “ใต้เท้าเหว่ยเพลานี้แม้สถานการณ์ยากลำบากทว่าจะมาล้มเลิกกลางคันคงมิได้ ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรับรู้ถึงเรื่องราวการหมั้นหมายระหว่างตระกูลหลี่กับครอบครัวของพวกเจ้า หากสำเร็จลุล่วงไปได้ก็เป็นเรื่องน่ายินดีปรีดายิ่ง แต่หากไม่สำเร็จ ใต้เท้าเหว่ยจะเป็นผู้พ่ายแพ้ยับเยินมากที่สุด”
ภายใต้สภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว ทว่าใต้เท้าเหว่ยกลับรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายเท่านั้น ด้วยคำขู่เมื่อครู่ส่งผลให้เขาตัวสั่นสะท้านขึ้นทันใด
“ดังนั้น ข้าแนะนำให้ใต้เท้าเหว่ยยอมถอยออกมาสักหนึ่งก้าว แล้วเปิดใจให้กว้างๆ เข้าไว้” องค์ชายสี่ตรัสด้วยคำพูดซึ่งแฝงความหมายเอาไว้อย่างลึกล้ำ
ใต้เท้าเหว่ยมิอาจเข้าใจได้ เมื่อครู่ยังตรัสว่าอย่าได้ยอมแพ้ แล้วตอนนี้กลับให้เขาถอยออกมาหนึ่งก้าว องค์ชายสี่กำลังสื่อความหมายอะไรกันแน่
“ตามความเห็นของข้า หลี่หมิงอวินเพียงรู้สึกขอบคุณหญิงสาวชาวบ้านผู้นั้น จึงต้องการตอบแทนนาง แต่นั่นมิได้หมายความว่าพวกเขามีความรักใคร่อันลึกซึ้งต่อกันแต่อย่างใด เมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้เจ้ายอมตกลงให้เขารับหญิงสาวชาวบ้านผู้นั้นเป็นนางบำเรอ แล้วรีบจัดการเรื่องการแต่งงานให้เรียบร้อยเสีย รอกระทั่งเรื่องราวเสร็จสิ้น ค่อยหาวิธีการส่งหญิงสาวชาวบ้านผู้นั้นออกไป เพียงเท่านี้เรื่องราวก็เป็นอันง่ายขึ้นแล้ว” องค์ชายสี่ตรัสเสนอแนะ
ใต้เท้าเหว่ยครุ่นคิดอย่างเศร้าหมอง ดูเหมือนว่านี่คงเป็นหนทางเดียวเสียแล้ว ต้องยอมให้จื่อซวนน้อยใจไปสักระยะหนึ่ง ถึงอย่างไรนั่นก็ยังดีกว่าการที่เขาต้องพ่ายแพ้อย่างราบคราบ
“ทว่าฝ่าบาทพะย่ะค่ะ ตอนนี้ใต้เท้าหลี่และใต้เท้าติงกลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วด้วยการแต่งงานของบุตรชายกับบุตรสาวของพวกเขา และเท่าที่เจ้าหน้าที่ระดับล่างรับรู้มา ใต้เท้าหลี่กับองค์รัชทายาทก็ดูเหมือนจะมีความสนิทสนมกันมากด้วยพะย่ะค่ะ” ใต้เท้าเหว่ยอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา แต่อย่างไรก็ตามเขาเพียงแค่อยากเตือนองค์ชายสี่ไว้ก็เท่านั้น ด้วยคนผู้นี้ไม่อาจคาดเดาความคิดของเขาได้ บางทีอาจถึงเวลาที่ควรคิดวางแผนการใหม่แล้วหรือไม่
ทันใดนั้นองค์ชายสี่ก็ส่งเสียงหัวเราะขึ้นมา “ใต้เท้าเหว่ยอ่าใต้เท้าเหว่ย จนตอนนี้เจ้ายังคิดว่าผู้ที่ข้าต้องการนั้นคือใต้เท้าหลี่ผู้นั้นอยู่อีกหรือ”
ใต้เท้าเหว่ยมองไปยังองค์ชายสี่ด้วยความงุนงงสงสัย
องค์ชายสี่โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวขึ้นอย่างมีนัยยะ “การสอบจักรวรรดิกำลังจะจัดขึ้นในอีกไม่ช้า ผู้คนมากมายต่างพากันจับจ้องไปที่หลี่หมิงอวิน หากไม่มีอะไรผิดคาด หลี่หมิงอวินจะต้องติดหนึ่งในสามอันดับแรกอย่างแน่นอน และเจ้าอย่าได้ลืมไปสิว่า หลี่หมิงอวินยังมีสหายที่เป็นเสมือนพี่น้องของเขาอีกสองท่าน ทั้งหมดนั่นล้วนเป็นตัวเลือกที่ดีเลิศสำหรับข้า หากตอนนี้เสด็จพ่อยังคงร่างกายแข็งแรงดี สิ่งที่ข้าควรคิดก็คือจะสรรหาผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์เพื่อเข้าไปช่วยเสด็จพ่อแบ่งเบาความกังวลของพระองค์ไปบ้าง”
ใต้เท้าเหว่ยตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ที่แท้แล้วองค์ชายสี่ก็ไม่ได้มีความตั้งใจจะดึงใต้เท้าหลี่เข้ามาร่วมด้วย เป้าหมายขององค์ชายสี่ก็คือหลี่หมิงอวินมาโดยตลอด รวมถึงสหายเคียงกายหลี่หมิงอวินทั้งสองคนนั่น
“ทรงประทานอภัยแด่ความโง่เขลาของกระหม่อมด้วยพะย่ะค่ะ เพลานี้กระหม่อมเข้าใจดีแล้วและจะดำเนินการตามความคิดเห็นของฝ่าบาทพะย่ะค่ะ”
ภายนอกเต็มไปด้วยลมฝน ขณะที่เรือนจุ้ยอวิ๋นเซวียนกลับมีเพียงความเงียบเหงา นับแต่หลี่หมิงอวินถูกกักบริเวณอยู่ในนี้ เขาก็ไม่ได้มีการส่งเสียงตะโกนหรือทุบตีอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเอาแต่ถือตำราเรียนและศึกษามันอย่างหนักตลอดทั้งวัน ราวกับกำลังเอาจริงเอาจังในการเตรียมตัวสำหรับการสอบ เขาทำเสมือนว่าไม่สนใจสิ่งใดๆ ด้านนอกนั่นทั้งสิ้น ทุกอย่างนิ่งสงัดจนทำให้ผู้อื่นไม่อาจวางใจได้
แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงสิ่งที่บรรดาข้ารับใช้มองเห็น ทว่าความเป็นจริงภายในใจของหลี่หมิงอวินนั้นพวกเขามิอาจล่วงรู้ได้เลย
หลี่หมิงอวินไม่สนใจใยดีอะไรเลยจริงๆ เช่นนั้นหรือ แน่นอนว่าคำตอบคือไม่
เป็นระยะเวลาเจ็ดวันแล้ว สถานการณ์ด้านนอกเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้หรือไม่ หลินหลันได้เข้าไปอยู่ในจวนจิ้งปั๋วโหวอย่างราบรื่นหรือไม่ ส่วนในเรื่องความปลอดภัยของหลินหลัน ตัวเขาเองไม่ได้เป็นห่วงมากนัก เพราะต่อให้นางไม่มีจวนจิ้งปั๋วโหวเป็นเกาะกำบัง ก็ยังมีตระกูลเยี่ยและเฉินจื่ออวี้ที่สามารถคิดหาวิธีปกป้องนางได้เช่นกัน แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้อยู่ดี
หลี่หมิงอวินหยิบพัดขึ้นมาและคลี่กางมันออก มองดูภาพวาดต้นไพ่ซึ่งปรากฏอยู่บนพื้นผิวของพัด อดไม่ได้ที่มุมปากของหลี่หมิงอวินจะยกโค้งขึ้นขณะเดียวกันนัยน์ตาของเขาก็ฉายแสงแห่งความอบอุ่น เมื่อครั้งอยู่บนเรือเขาเคยชินกับการถกเถียงกับนาง เคยชินกับการเผลอหลับไปพร้อมตำรา และเมื่อลืมตาขึ้นก็จะเห็นเรือนร่างของนางที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับวัตถุดิบยา แม้กระทั่งรู้สึกเคยชินกับกลิ่นจางๆ ของยาที่ลอยคละคลุ้งในอากาศ พอได้นึกถึงคืนวันเหล่านี้ ก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเสียจริง เห็นทีว่า ความเคยชินเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่างน่ากลัวไม่น้อยเลย
เรือนจุ้ยอวิ๋นเซวียนเป็นอาคารเล็กๆ ที่หันหน้าเข้าหาจวนหลี่ เรือนร่างอรชรงดงามกำลังยืนพิงข้างบานหน้าต่าง คิ้วเรียวได้รูปกำลังขมวดเข้าหากันเล็กน้อยและดวงตาคู่นั้นเผยให้เห็นถึงความเสน่หารักใคร่ นางจ้องมองอย่างเงียบๆ ไปยังจุดที่ไกลออกไปจากมุมหน้าต่าง
คนอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ ทว่าหัวใจไกลออกไปเกินกว่าจะไขว่คว้าถึง ช่วงเวลาอันแสนงดงามเหล่านั้น ท้ายที่สุดกลับถูกคนโหดเหี้ยมไร้จิตใจทำลายไปจนหมดสิ้น ในที่สุดนางก็ได้เหยียบเข้ามาในตระกูลหลี ทว่ากลับไม่อาจเข้าใกล้เขาผู้นั้นได้อีกตลอดกาลเสียแล้ว
กรงนกที่แขวนอยู่บริเวณนอกบานหน้าต่าง มีนกกระทาสองตัวกระโดดขึ้นและลงพลางส่งเสียงร้องจิ๊บๆ ราวกับว่ากำลังสื่อสารกันด้วยความรักอย่างมีความสุข นั่นทำให้เจ้าของเรียวคิ้วสวยขมวดเข้าหากันแน่นยิ่งขึ้น
“หลู่ฉีช่วยนำกรงนกนี่ไปแขวนแห่งหนอื่นที” ติงหลั้วเหยียนสั่งการด้วยความรำคาญใจ
สาวรับใช้นามว่าหลู่ฉีรีบวางเข็มและด้ายในมือทันที แล้วเข้ามารื้อกรงนกลงมา และก่อนที่นางจะเดินไปกลับหยุดชะงักฝีเท้าขึ้นกะทันหันก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงบางเบา “ต้าเส้าหน่ายนาย บริเวณนี้พระอาทิตย์แรง เข้าไปในห้องดีกว่านะเจ้าคะ”
ติงหลั้วเหยียนถอดถอนหายใจออกมาในทันที พระอาทิตย์จะร้อนแรงเพียงใดก็ไม่สามารถสาดส่องให้หัวใจของนางอบอุ่นขึ้นมาได้ และไม่อาจช่วยส่องแสงสว่างนำทางให้แก่นางได้เลย
“หลู่ฉี เจ้าใสหัวออกมาซะ” หัวใจของติงหลั้วเหยียนเต้นแรงขึ้นด้วยความตกใจ ขณะเดียวกันกรงนกในมือของหลู่ฉีก็ตกลงไปบนพื้น ตามมาด้วยเสียงนกร้องดังระงมขึ้นด้วยความตื่นตระหนก
ร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาราวกับพายุหมุน ติงหลั้วเหยียนก้าวขึ้นไปเบื้องหน้าในทันทีและเข้าไปยืนบดบังหลู่ฉีเอาไว้ ใบหน้าของนางเรียบเฉย ขณะเดียวกันดวงตาคู่สวยก็จ้องมองไปยังคนแปลกหน้าที่แสนคุ้นเคยอย่างใจเย็นและไม่แยแส “เจ้ามาตากลมอะไรที่นี่ เหตุใดจึงไม่ไปตั้งหน้าตั้งตาอ่านตำรา”
ขณะเดียวกันนั้นเองก็มีข้ารับใช้วิ่งไปรายงานฮูหยิน
หลี่หมิงเจ๋อจ้องมองด้วยนัยน์ตาแดงกล่ำ สายตาของเขามองผ่านติงหลั้วเหยียนไปและจรดสายตาลงที่เรือนร่างของหลู่ฉี เขาขบฟันเข้าหากันจนแน่นพร้อมกับนัยน์ตาที่กำลังฉายให้เห็นถึงความเกลียดชัง และกล่าวเน้นทีละคำ “เจ้า หลีก ไป”
“ไม่หลีก เจ้ามีปัญหาแคลงใจอะไรก็มาลงที่ข้า อย่าได้หาเรื่องคนของข้า” ติงหลั้วเหยียนเผชิญหน้ากับเขาอย่างไม่เกรงกลัว
แม้ว่าหลี่หมิงเจ๋อจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทว่าเขาก็ยังพอมีสติอยู่บ้าง เขาสามารถโต้เถียงกับนางและก่อสงครามเย็นกับนางได้ แต่ไม่อาจลงไม้ลงมือได้ มิฉะนั้นใต้เท้าติงผู้หวงบุตรสาวยิ่งกว่าอะไรดีคงได้เล่นงานเขาเป็นแน่ และถึงตอนนั้นแม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ของเขาก็ช่วยเหลืออะไรมิได้
“เจ้าลองถามหลู่ฉีของเจ้าดูสิว่านางไปก่อเรื่องอะไรไว้” หลี่หมิงเจ๋อกล่าวด้วยความโมโห
ติงหลั้วเหยียนกล่าวอย่างเย็นชา “หลู่ฉีอยู่กับข้าตลอดทั้งวัน ไม่เคยออกไปแห่งหนใดทั้งนั้น แล้วนางจะไปก่อเรื่องอะไรขึ้นได้”
หลี่หมิงเจ๋อเดินกลับไปกลับมาด้วยความโกรธที่อัดแน่นภายในใจ และพูดขึ้น “ปี้หรูทำอะไรให้เจ้าเดือดร้อนงั้นรึถึงต้องให้ท่านแม่ขายนางออกไป”
หลั้วติงเหยียนแอบแสยะยิ้มอยู่ภายในใจ สุดท้ายก็โบ้ยมาที่นางจริงๆ สินะ
“ปี้หรูถูกขายออกไปก็ตั้งหลายวันแล้ว เหตุใดถึงเพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่าจะต้องมาคิดบัญชีกับข้าล่ะ” ติงหลั้วเหยียนกล่าวเย้ยหยัน “หรือเจ้าวางแผนซื้อนางอย่างลับๆ แล้วเก็บเอาไว้ด้านนอก ทว่าเจ้ากลับซื้อไม่สำเร็จ ถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้น่ะ”
หลี่หมิงเจ๋อถูกจับไต๋ความในใจได้และนั่นทำให้เขาตะคอกออกไปอย่างหงุดหงิด “หากเป็นเช่นนั้นแล้วจะอย่างไร สามีภรรยาคู่อื่นเขาล้วนรักใคร่กันอย่างอบอุ่นชื่นมื่น ทว่าเจ้าวันๆ กลับเอาแต่ปั้นหน้าหงิกงอ เสมือนกับว่าชาติที่แล้วข้าไปติดค้างอะไรเจ้าไว้ อย่าพูดถึงความรักใคร่เลย กระทั่งจะพูดจาดีๆ ต่อข้าสักประโยคยังไม่มี ข้าก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายทั่วไปที่ไม่ใช่พระอิฐพระปูน แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร”
ติงหลั้วเหยียนรู้สึกอับอายเมื่อนางได้ยินเขาพูดคำเหล่านี้ต่อหน้าคนรับใช้โดยไร้ซึ่งความเขินอาย “เจ้าจะรักชอบใครก็เรื่องของเจ้า ท่านแม่ต้องการขายปี้หรูนั่นก็เป็นเรื่องของท่านแม่ ไม่เกี่ยวข้องกับข้า”
หลู่ฉีกล่าวอย่างกล้าๆ กลัว “ต้าเส้าเหยีย นี่ไม่ใช่ความคิดของต้าเส้าหน่ายนายจริงๆ เจ้าค่ะ ต้าเส้าหน่ายนายมิเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้กับผู้ใดทั้งสิ้นเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงเจ๋อจ้องมองใบหน้าที่กำลังโกรธเกรี้ยวของติงหลั้วเหยียน ทว่านั่นกลับยิ่งทำให้นางดูมีเสน่ห์มากขึ้น เนินอกอวบอิ่มคู่นั้นกำลังขึ้นๆ ลงๆ พร้อมจังหวะการหายใจที่รวดเร็ว ชายขอบเสื้อที่แหวกกว้างเผยให้เห็นผิวบอบบางอันน่าหลงใหล ปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นเป็นการกระตุ้นความรู้สึกของเขาให้ปะทุขึ้น และเมื่อนึกย้อนกลับไปถึงความปีติยินดีภายใต้ค่ำคืนนั้นที่ห้องหอเจ้าสาว ภายในท้องของหลี่หมิงเจ๋อก็เกิดร้อนวูบวาบ ไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่กำลังพุ่งพล่าน จนสามารถชำระล้างจิตสำนึกของเขาซึ่งเต็มไปด้วยความเกลียดชังนาง เกลียดชังความเฉยเมยของนาง เกลียดชังความงดงามของนาง เกลียดชังที่นางเคยส่งข่าวคราวกับหลี่หมิงอวินและเกลียดชังทุกๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับนาง มลายหายไปจนหมดสิ้น เพียงเพราะเขาชอบนางมากเหลือเกิน เขาชอบนางอย่างมิอาจหาคำใดมาอธิบายได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อของนาง
เขาจ้องมองอย่างเย็นชาไปยังเจ้าของใบหน้าที่เรียกได้ว่าทั้งรักทั้งเกลียด แล้วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “หลู่ฉี ไสหัวออกไป”
หลู่ฉีซึ่งเห็นต้าเส้าเหยียกำลังโมโห แล้วจะกล้าทิ้งให้นายหญิงของตนอยู่ลำพังเช่นนี้ได้อย่างไรกัน นางทรุดตัวคลุกเข่าลงบนพื้นและเอ่ยอ้อนวอน “ต้าเส้าเหยียเจ้าคะ เรื่องของปี้หรูมิใช่ต้าเส้าหน่ายนายพูดจริงๆ เจ้าค่ะ หากต้าเส้าเหยียโกรธแค้น โปรดลงโทษมาที่ข้าน้อยเท่านั้น ขอท่านอย่าได้โกรธเคืองต้าเส้าหน่ายนายเลยนะเจ้าคะ”
“ข้าสั่งให้เจ้าไสหัวไป ไม่ได้ยินรึ” หลี่หมิงเจ๋อส่งเสียงตะคอก
“หลู่ฉี ลุกขึ้น ไม่ต้องสนใจคนบ้าผู้นี้” ติงหลั้วเหยียนกล่าวอย่างไม่เกรงกลัว เพื่อสาวใช้เพียงคนเดียวถึงขั้นขึ้นมาหาเรื่องบนนี้ หากครั้งนี้ยอมอ่อนข้อ ครั้งหน้าเขาคงได้อาละวาดมากขึ้นกว่านี้เป็นแน่
หลู่ฉีร้อนรนใจจนน้ำตาไหลรินลงมา “ต้าเส้าเหยีย โปรดสงบสติอารมณ์ก่อนนะเจ้าคะ”
หลี่หมิงเจ๋อก้าวไปเบื้องหน้าและออกแรงผลักติงหลั้วเหยียนให้หลีกออกไป ขณะนั้นเองติงหลั้วเหยียนโซเซไปกระแทกเข้ากับโต๊ะ ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็ซีดลงแสดงถึงความเจ็บปวด
หลี่หมิงเจ๋อจิกผมของหลู่ฉีแล้วลากนางไปยังหน้าบานประตูก่อนจะจับเหวี่ยงออกไปด้านนอก จากนั้นบานประตูก็ปิดลงพร้อมกับใส่สลักกลอนอย่างดิบดี โดยไม่แยแสหลู่ฉีที่กำลังทุบประตูและร้องห่มร้องไห้จากด้านนอก เขาหันหลังกลับมาแล้วสาวเท้าเดินเข้าไปประชิดตัวติงหลั้วเหยียน
นัยน์ตาของเขาฉายประกายแห่งความเย็นชา นอกจากนั้นยังมีความปรารถนาและความหวังปะปนอยู่ด้วย
ทันใดนั้นเองติงหลั้วเหยียนก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าเขากำลังจะทำอะไร นางกระชับคอเสื้อของตนเอาไว้แน่นพลางถอยหนีด้วยความตื่นตระหนก “เจ้า เจ้าจะทำอะไร”
หลี่หมิงเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงแห่งความเกลียดชังทว่าแฝงเอาไว้ซึ่งอารมณ์เศร้าหมอง “ทำอะไรงั้นเหรอ เจ้าเป็นภรรยาของข้า แล้วเจ้าว่าข้าจะทำอะไรเจ้าล่ะติงหลั้วเหยียน เจ้าเป็นภรรยาของข้าแล้ว นับแต่นี้เป็นต้นไป ร่างกายของเจ้า จิตใจของเจ้า ล้วนเป็นเพียงของข้าผู้เดียวเท่านั้น”
ติงหลั้วเหยียนส่ายหน้าพัลวันอย่างตื่นกลัว “เจ้าอย่าทำเรื่องชั่วๆ เชียวนะ ไม่เช่นนั้นข้าจะบอกท่านแม่”
หลี่หมิงเจ๋อแสยะยิ้ม ความขุ่นเคืองและความปรารถนาอันแรงกล้าทำให้ใบหน้าเดิมที่แสนหล่อเหลาของเขาเปลี่ยนไปในทางกลับกัน รวมถึงรอยยิ้มของเขาก็ช่างน่ากลัวยิ่งนัก “ข้าแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะได้เห็นเจ้าวิ่งแจ้นไปบอก จะได้โพทะนาให้ทุกคนรับรู้ว่าเจ้า ติงหลั้วเหยียนเป็นภรรยาของข้าได้อย่างไร และข้าจะได้ไม่ต้องใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายไปกับเรื่องพวกนั้นอีกต่อไป”
ขณะพูด เขาก็ก้าวฝีเท้ายาวเดินไปข้างหน้าแล้วคว้าตัวติงหลั้วเหยียนเอามาก่อนจะออกแรงผลักนางลงบนเตียง เขาคร่อมตัวนางเอาไว้แล้วฉีกเสื้อผ้าของนางหลุดลุ่ย
“อย่านะ อย่านะ หลี่หมิงเจ๋อเจ้ามันคนสาระเลว” ติงหลั้วเหยียนส่งเสียงตะโกนพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลริน แม้จะพยายามออกแรงขัดขืนเพียงใด กลับไม่อาจผลักเรือนร่างของผู้ที่ทาบคร่อมอยู่เหนือนางให้หลุดพ้นไปได้
หลี่หมิงเจ๋อใช้เพียงมือเดียวรวบข้อมือทั้งสองข้างของนางไว้เหนือหัวให้อยู่ภายใต้อาณัติของเขา ขณะที่อีกมือหนึ่งทำหน้าที่ปลดกางเกงออกและนำความตื่นเต้นอันเร้าร้อนแทรกเข้าไปยังสถานที่อบอุ่นซึ่งเขาเฝ้าปรารถนามาเนิ่นนานพลางเอ่ยกระซิบกระซาบข้างใบหูของนาง : “ใช่ ข้ามันเป็นคนสาระเลว โชคร้ายหน่อยนะ ที่เจ้าแต่งงานกับคนสาระเลวอย่างข้า” ขณะพูด ช่วงเอวของเขาก็ยืดตรงก่อนจะกระแทกเข้าไปอย่างไร้ความปราณี