ฮานชิวเยว่รีบมาทันทีที่ได้รับคำบอกกล่าว บรรดาสาวรับใช้ของติงหลั้วเหยียนกำลังเคาะประตูอย่างเอาเป็นเอาตาย ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงร้องครวญครางอู้อี้ของหลั้วเหยียนซึ่งเป็นอะไรที่น่าสังเวชยิ่งนัก
สีหน้าของฮานชิวเยว่เย็นชาและกล่าวด้วยเสียงดุดัน “ออกไปให้หมด”
หลู่ฉีพร้อมคนอื่นๆ เมื่อเห็นฮูหยินมาถึง เดิมทีอยากจะร้องไห้และฟ้องกล่าวถึงสิ่งที่ต้าเส้าเหยียกระทำ ทว่าฮูหยินกลับเอ่ยปากขับไล่ผู้คนให้ออกไป และด้วยความเคร่งขรึมของนางจึงไม่อาจกล้าขัดขืนต่อคำสั่งได้ หลู่ฉีจึงจำใจพาทุกคนออกไปแต่โดยดี อย่างไรก็ดี ในเมื่อนายหญิงมาถึงที่นี่แล้ว ต้าเส้าเหยียก็ควรจะต้องเปิดประตูให้อย่างเป็นแน่
“ชุนซิ่ง เจ้านำคนอื่นๆ ไปคอยเฝ้าบริเวณทางเข้าไว้ อย่าได้ให้ผู้ใดบุกเข้ามาเป็นอันขาด อีกอย่าง ช่วยกสั่งการลงไปด้วยว่า เรื่องราวในวันนี้ห้ามมิให้ผู้ใดปริปากพูดออกไป ในหลายวันมานี้เหล่าเหยียกำลังร้อนรุ่มใจจึงไม่ควรเพิ่มภาระเข้าไปอีก”
“เจ้าค่ะ!” ชุนซิ่งตอบรับแล้วเดินออกไป
ฮานชิวเยว่สูดลมหายใจลึก ก่อนจะส่งเสียงเคร่งขรึมตะโกนขึ้น “หมิงเจ๋อ เปิดประตู”
หลี่หมิงเจ๋อที่กำลังสติแตกจนไม่แยแสผู้อยู่ใต้เรือนร่างของเขาที่กำลังส่งเสียงร้องไห้ปนด่าทอ สิ่งเดียวที่เขาจดจ่อในตอนนี้คือออกแรงควบคุมคนใต้ร่าง เขาแทบอดทนรอไม่ไหวที่จะฝังทั้งแกนกายลงไปในนั้น…ในช่วงเวลาสำคัญ เสียงของผู้เป็นมารดาก็ดังขึ้นกะทันหัน หลี่หมิงเจ๋อตื่นตระหนก เขารีบร้อนลุกขึ้นจากเตียงแล้วคว้าเอาเสื้อผ้าของเขาที่ร่วงกองอยู่บนพื้นขึ้นมาสวมใส่อย่างลุกลี้ลุกลน ก่อนจะหันไปคว้าเสื้อผ้าของติงหลั้วเหยียนพลางเอ่ยปากให้นางลุกขึ้นสวมใส่เสื้อผ้าเช่นกัน ทว่าเมื่อมองดูเสื้อผ้าที่เขาคว้าหยิบขึ้นมา ก็เห็นได้ชัดเจนว่ามันขาดรุ่ยจนไม่สามารถสวมใส่ได้อีกแล้ว จึงรีบเอ่ยปากขึ้นด้วยความร้อนใจ “เจ้ายังจะมัวร้องไห้อยู่อีก รีบไปหาเสื้อผ้ามาสวมใส่เสียสิ ถึงตอนนั้นหากข้าต้องอับอายขายหน้า แน่นอนว่าเจ้าเองก็ไม่ต่างจากข้าด้วยเช่นกัน”
ติงหลั้วเหยียนจ้องมองคนสารเลวผู้นี้อย่างเกลียดชัง ทว่าด้วยตอนนี้แม่สามีกำลังยืนอยู่ด้านนอก หากผู้อื่นมองเห็นนางในสภาพเยี่ยงนี้ ไม่สู้โดดอาคารลงไปตายให้รู้แล้วรู้รอดยังจะดีกว่า นางจึงทำได้เพียงพยุงร่างอันบอบช้ำลุกขึ้นโดยห่อเรือนร่างเอาไว้ด้วยผ้าห่ม แล้วตรงไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อหาเสื้อผ้ามาสวมใส่
เมื่อฮานชิวเยว่ไม่ได้ยินเสียงจากด้านในอีกต่อไป นางจึงรอคอยด้วยความอดทนพลางกรนด่าหมิงเจ๋ออยู่ภายในใจ ลูกชายผู้ดื้อรั้นคนนี้ ไม่มีวันใดเลยที่จะไม่ก่อเรื่องทำให้ผู้อื่นเขาเบาใจไปได้บ้าง ขณะนี้ภายในจวนมีเรื่องวุ่นวายซึ่งยังจัดการไม่ได้ แล้วเขายังมาก่อเรื่องที่นี่อีก
ติงหลั้วเหยียนสวมใส่เสื้อผ้าเป็นที่เรียบร้อย นางจ้องมองไปยังหลี่หมิงเจ๋ออย่างเคียดแค้นหาใดเทียบเท่าได้ไม่ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซึ่งแฝงความเกลียดชังเอาไว้ “หลี่หมิงเจ๋อ หากเจ้ากล้าทำเยี่ยงนี้ต่อข้าอีก พวกเราก็เป็นอันหย่าขาด…”
หลี่หมิงเจ๋อในขณะนี้กำลังตื่นตระหนก เขาคิดเพียงแค่ว่าอีกประเดี๋ยวจะตอบท่านแม่อย่างไรดี อีกทั้งยังเกรงว่านางจะบอกกล่าวถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อผู้เป็นแม่ของเขา จึงทำได้เพียงเอ่ยปลอบประโลมต่อนาง “เป็นข้าเองที่ขาดสติไปชั่วขณะ เมื่อครู่นี้ข้าทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
ติงหลั้วเหยียนหยิบกรรไกรในตะกร้าผ้าขึ้นมาแล้วชี้ไปที่คอของตนเอง พร้อมกับพูดขึ้นทั้งน้ำตา “พูดมาอีกสิ…หากเจ้ายังพูดมาอีกข้าจะได้ตายให้เจ้าดูตอนนี้เลย”
หลี่หมิงเจ๋อตกใจเป็นอย่างยิ่งแล้วรีบวิ่งเข้าไปแย่งกรรไกรนั่นเอามา “เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ข้าไม่พูดก็ได้ ท่านแม่อยู่ด้านนอก เจ้าอย่าโวยวายอยู่เลย” ขนาดพูด เขาก็เอื้อมมือขึ้นไปหวังจะเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าให้แก่นาง
ติงหลั้วเหยียนปัดมือเขาออกไปอย่างรังเกียจ “อย่าได้แตะต้องข้า”
หลี่หมิงเจ๋อจึงเดินหน้าสลดไปเปิดประตูก่อนจะเอ่ยเรียกผู้เป็นแม่พร้อมความรู้สึกหวาดกลัว
ขณะนั้นเองฮานชิวเยว่ชี้ไปยังบริเวณด้านนอกหน้าบานประตู “เจ้านั่งคุกเข่าลงตรงนี้พลางนึกทบทวนให้ดีๆ เสีย”
ความละอายแก่ใจคือสิ่งเดียวที่หลี่หมิงเจ๋อกำลังรู้สึกถึงในตอนนี้ อย่าว่าแต่เขาจะกล้าเอ่ยถึงการระเบิดอารมณ์โมโหด้วยเรื่องของปี้หรูเลย กับเรื่องเมื่อครู่ที่ตนกระทำลงไปนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ฉะนั้นแล้วเขาจึงได้แต่คุกเข่าลงไปหน้าบานประตูอย่างเชื่อฟัง
ฮานชิวเยว่สะบัดชายแขนเสื้อแล้วเดินเข้าไปด้านในห้อง ติงหลั้วเหยียนปาดน้ำตาก่อนจะให้การคาราวะแด่ผู้เป็นแม่สามี
ฮานชิวเยว่รีบประครองนางขึ้นมา เพียงแวบตาเดียวก็สังเกตเห็นรอยแดงบนลำคอระหงส์ของนาง จึงอดรู้สึกโมโหขึ้นมามิได้ การกระทำการข่มขื่นท่ามกลางช่วงเวลากลางวันแสกๆ หากให้ผู้เป็นสามีของนางรับรู้เข้าคงได้เป็นอันบ้านแตกแน่? หลี่หมิงเจ๋อชักจะไม่ได้เรื่องเกินไปเสียแล้ว โมโหก็โมโห ทว่าฮานชิวเยว่ยังคงต้องข่มใจให้สงบแล้วปลอบประโลมผู้เป็นลูกสะใภ้ “ดูเจ้าสิ ตาแดงบวมไปหมดแล้ว เจ้าลูกไม่รักดีผู้นี้ไว้กลับไปแม่จะกำราบเขาเสียให้เข็ดราบ เพื่อระบายความโกรธแทนเจ้า”
ติงหลั้วเหยียนรู้สึกขื่นขมยิ่งนัก ความคับแค้นอัดอั้นตันใจมากมายมิอาจระบายออกมาได้ ทำได้เพียงปล่อยให้น้ำตาตกในเก็บงำความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้เช่นนั้น
ฮานชิวเยว่รู้สึกเบาใจขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง ทั้งหมดล้วนต้องโทษที่บุตรชายของตนเองทำตัวน่าผิดหวังยิ่งนัก ส่งผลให้นางในฐานะแม่สามียังต้องมาแสดงทีท่าอ่อนน้อมให้ความเกรงใจ
“หมิงเจ๋อเพียงแค่เอาแต่ใจตัวเองไปหน่อยและไม่รู้ว่าการทะนุถนอมผู้อื่นนั้นควรทำเช่นไร ความจริงแล้วในใจของเขานั้นรักใคร่เจ้ายิ่งนัก ตอนแรกเมื่อรู้ว่าคนที่จะสู่ขอมาเป็นภรรยานั่นก็คือเจ้า เขาดีอกดีใจยกใหญ่เลยล่ะ เอาแต่พูดต่อหน้าข้าว่าเจ้าดีอย่างนู้นดีอย่างนี้……หลั้วเหยียนอ่า! ด้วยใจจริงของแม่มองเจ้าเป็นลูกสาวของข้าผู้หนึ่ง แม่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเจ้าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ชั่วชีวิตของพวกเราในฐานะลูกผู้หญิงอันที่จริงแล้วจะปรารถนาอะไรอื่นไปได้หรือนอกเสียจากการได้แต่งงานกับสามีซึ่งรักใคร่เราสุดหัวใจ จริงหรือไม่จ๊ะ หมิงเจ๋อมีใจให้แก่เจ้าอย่างแท้จริงขอเพียงแค่เจ้าปฏิบัติต่อเขาด้วยใจจริงของเจ้า เขาจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองและรักเดียวใจเดียวต่อเจ้าเป็นแน่ หลังจากนี้ หากเขาทำความผิดอะไรขึ้นมาอีก เจ้าก็อย่าได้ไปต่อปากต่อคำกับเขา แค่มาบอกแม่ก็พอ แม่จะจัดการให้เจ้าเอง แล้วมาดูกันว่าเขายังกล้ากระทำการตามอำเภอใจอีกหรือไม่”
มองดูผิวเผินดูเหมือนทุกคำพูดของแม่สามีเป็นการช่วยเหลือนาง ทว่าความจริงลึกๆ แล้วเขาแอบกล่าวโทษว่าเป็นเพราะนางปฏิบัติต่อหมิงเจ๋ออย่างเย็นชาเกินไป หลั้วเหยียนมิรู้ว่าควรจะพูดอย่างไรออกไปดี จริงอยู่ที่นางเองก็รู้ดีว่านางได้แต่งงานกับหมิงเจ๋อแล้วก็ควรลบคนผู้นั้นออกไปจากก้นบึ้งของหัวใจได้แล้ว ทว่า ความรู้สึกมิใช่สิ่งของที่บทจะให้ละทิ้งก็สามารถละทิ้งได้ ในเมื่อเขาผู้นั้นถูกสลักลึกลงไปในหัวใจของนางแล้ว นอกเสียว่าหัวใจดวงน้อยของนางหยุดเต้นไปพร้อมกับการจบสิ้นชีวิตลง บางทีนั่นอาจช่วยให้ลืมเลือนไปได้กระมัง! นางเองมิใช่ว่าไม่เคยลองทำดีต่อหมิงเจ๋อ ทว่าทุกครั้งที่เห็นหมิงเจ๋อดีแต่พูด นางก็เป็นอันต้องรู้สึกโมโหอย่างมากและอดไม่ได้ที่จะหยิบยกหมิงเจ๋อขึ้นไปเปรียบเทียบกับคนผู้นั้น ยิ่งเปรียบเทียบก็ยิ่งผิดหวัง……
เมื่อเห็นว่าลูกสะใภ้เอาแต่ขมวดคิ้วก้มหน้าก้มตา แต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าซึ่งเป็นการโต้แย้งแต่อย่างใด ซึ่งทำให้ฮานชิวเยว่รู้ได้ทันทีว่านางรับฟังเข้าไปทั้งหมดแล้ว จึงจงใจเดินไปยังบริเวณหน้าประตูห้องและจิ้มนิ้วลงบนหน้าผากของบุตรชายพร้อมคำตำหนิ “เจ้าชักจะเกินไปเสียแล้ว กระทั่งเมียตัวเองก็ยังกล้าลงไม้ลงมือได้ นับวันยิ่งไม่เห็นแม้กระทั่งหัวของแม่เจ้าแล้วงั้นหรือ”
ฮานชิวเยว่ตั้งใจกล่าวเป็นว่าหมิงเจ๋อลงไม้ลงมือกับภรรยาของตัวเอง เพื่อมิให้ทั้งสองทำตัวไม่ถูก
ไร้ซึ่งการโต้เถียงใดๆ ทั้งสิ้นจากหมิงเจ๋อ จะมีก็เพียงการเอ่ยยอมรับผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ท่านแม่ ลูกทำผิดไปแล้ว ขอท่านแม่อย่าโกรธลูกเลยนะขอรับ”
“ประโยคเช่นนี้เจ้าไม่ต้องมาพูดกับข้า ไปพูดกับภรรยาของเจ้าคนที่จะอยู่เคียงข้างเจ้าชั่วทั้งชีวิตนั่นเสีย หากเจ้าไม่รู้จักรักและทะนุถนอมภรรยาของเจ้าจนทำให้หลั้วเหยียนหนีไปล่ะก็ เจ้าอย่ามีหน้ามาเรียกข้าว่าแม่อีก” ฮานชิวเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“ลูกไม่กล้าอีกแล้วขอรับ ไม่กล้าแล้ว……” หลี่หมิงเจ๋อเผยสีหน้าตื่นตระหนกและหวาดกลัว
“เจ้าเติบใหญ่แล้วถึงได้ปีกกล้าขาแข็ง กระทั่งคำพูดของแม่ก็ทำเป็นหูทวนลมใส่เสียแล้ว ข้าขอสั่งให้เจ้าไปนั่งคุกเข่าที่ห้องโถงบรรพบุรุษและรอจนกว่าท่านพ่อของเจ้ากลับมาเพื่อให้การสั่งสอนเจ้า”
หลี่หมิงเจ๋อรับรู้ได้ถึงความหมายในคำพูดนั้น จึงรีบร้อนกล่าวขึ้นทันที “ท่านแม่ อย่าได้บอกท่านพ่อเป็นอันขาดนะขอรับ มิฉะนั้นแล้วท่านพ่อคงได้ตีลูกจนตายแน่ ลูกจะไปสำนึกผิดและขอโทษหลั้วเหยียนเดี๋ยวนี้ขอรับ”
หลี่หมิงเจ๋อรุกรี้รุกรนยืนขึ้นแล้วมุ่งตรงไปขอโทษหลั้วเหยียน
“หลั้วเหยียน ครั้งนี้ข้าทำผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรโมโหร้ายใส่เจ้าด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อยเยี่ยงนั้น เรื่องนี้หากให้ท่านพ่อรับรู้เข้า ท่านพ่อคงซักไซ้ไล่ความ……”
จะมีหรือที่ติงหลั้วเหยียนไม่เข้าใจคำพูดของเขา หากบอกออกไปก็คงได้เป็นการทำให้พ่อตารู้เรื่องว่าพวกเขา….ในตอนกลางวันแสกๆ ทว่าหลี่หมิงเจ๋อช่างน่าโมโหเสียขนาดนี้แล้วจะให้ยอมอภัยให้แก่เขาอย่างง่ายดาย นางเองก็มิอาจทำใจได้เช่นกัน ติงหลั้วเหยียนรู้สึกถึงความสับสนคิดไม่ตก
“หลั้วเหยียน หลังจากนี้พวกเรามาใช้ชีวิตด้วยกันอย่างสงบสุขตกลงไหม ข้าจะขยันตั้งใจเล่าเรียนตำราหนังสือและจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังอีก” หลี่หมิงเจ๋อกล่าวด้วยสัจจริง คำพูดนี้ล้วนออกมาจากใจของหลี่หมิงเจ๋อ หากว่าหลั้วเหยียนยอมทำดีต่อเขาแม้เพียงเล็กน้อย จะให้เขาทำอะไรก็ย่อมได้ทั้งสิ้น
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้าของหลั้วเหยียน คำพูดของท่านแม่ฟังดูมีเหตุมีผลอยู่เหมือนกัน มันคงเป็นไปไม่ได้หากทั้งชีวิตจะต้องมัวแต่ทะเลาะกันต่อไปเยี่ยงนี้สินะ? ติงหลั้วเหยียนกล่าวทั้งความรู้สึกที่แฝงเอาไว้ซึ่งความเจ็บปวด “แล้วหากภายหลังเจ้ากระทำผิดอีก เช่นนั้นควรจัดการอย่างไรหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของนางที่ดูโอนอ่อนลง หลี่หมิงเจ๋อจึงกล่าวขึ้นอย่างดีใจ “ไม่มีทางทำผิดอีกอย่างแน่นอน หากทำผิดอีกเจ้าจะลงโทษข้าให้คุกเข่าบนหัวเตียงเลยก็ได้”
ฮานชิวเยว่เมื่อเห็นเด็กทั้งสองคนพูดคุยกันได้ลงตัวแล้ว จึงจงใจปั้นหน้าและกล่าวขึ้น “ครั้งนี้เห็นแก่หน้าภรรยาของเจ้า ข้าจึงยกโทษให้เจ้าก่อนหนึ่งครั้ง วันหน้าวันหลังข้าจะให้ลูกคิดแก่หลั้วเหยียนไว้ หลั้วเหยียน หากเขากล้าก่อเรื่องยุ่งวุ่นวายขึ้นมาอีก เจ้าก็สั่งให้เขาคุกเข่าลงบนลูกคิดนั้นเสียเลย”
หลี่หมิงเจ๋อเผยสีหน้าหงิกงอ “ท่านแม่ ท่านใจร้ายเกินไปแล้วนะขอรับ”
ฮานชิวเยว่ตวัดสายตามองไปที่เขา “หลั้วเหยียนก็เป็นลูกสาวของข้าเช่นกัน ใครกล้ารังแกลูกสาวของข้า ข้าจะเล่นงานให้หนักเสียยิ่งกว่า”
เรื่องครานี้จึงเป็นอันถูกตัดสินโดยฮานชิวเยว่เป็นที่เรียบร้อย และเมื่อเดินพ้นประตูออกไป ฮานชิวเยว่ก็เอ่ยข่มขู่ขึ้นมาอย่างเคร่งขรึมอีกระรอกด้วยใจความที่ว่า ผู้ใดกล้าแพร่งพรายเรื่องนี้ ให้จัดการเรียกนายหน้าซื้อขายคนกลางมานำตัวไปได้ทันที
วันนี้หลี่จิ้งเสียนกลับมาถึงจวนแต่หัววันเป็นพิเศษ เหล่าข้ารับใช้เมื่อมองเห็นสีหน้าของผู้เป็นนายท่านไม่ได้ดูบึ้งตึงจึงพากันแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ด้วยในระยะที่ผ่านมานี้ต่างต้องเผชิญกับอาการอกสั่นขวัญแขวนภายใต้บรรยากาศรอบตัวอันแสนอึดอัดช่วยให้หายใจหายคอไม่สะดวก ราวกับจะทำให้ขาดอากาศหายใจตายได้เลยทีเดียว
หลี่จิ้งเสียนเมื่อกลับเข้าจวนมาก็ไปนั่งอยู่ในห้องหนังสือเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยาม หลังจากดื่มน้ำชาไปสองสามถ้วยเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมุ่งออกไปยังเรือนจุ้ยอวิ๋นเซวียน
“เอ้อร์เส้าเหยียสองวันมานี้เป็นอย่างไรบ้าง” หลี่จิ้งเสียนเดินไปถึงขั้นล่างของเรือนจุ้ยอวิ๋นเซวียนแล้วเอ่ยถามคนรับใช้ที่คอยเฝ้ายาม
“เอ้อร์เส้าเหยียอ่านหนังสืออยู่ตลอดทั้งวันขอรับ” คนรับใช้กล่าวตอบ
หลี่จิ้งเสียนถอนหายใจแรง หมิงอวินช่างควบคุมอารมณ์ได้เก่งกาจยิ่งนัก ขณะที่หมิงเจ๋อกลับเป็นผู้ที่อารมณ์ร้อนเกินไป หากว่าทั้งสองคนสามารถปรับผสานเข้ากันได้ เขาก็คงไม่ต้องเป็นกังวลใจอะไรมากมายเยี่ยงนี้
“พวกเจ้าออกไปให้หมด” หลี่จิ้งเสียนยกมือโบกปัดๆ
คนรับใช้ที่คอยเฝ้ายามล้วนพากันแยกย้ายออกไปเป็นที่เรียบร้อย
หลี่หมิงอวินได้ยินเสียงฝีก้าวเท้าที่แตกต่างออกไป ปากกาในมือของเขาจึงชะงักลงชั่วขณะ…ในที่สุดก็โผล่หน้ามาแล้วสินะ
กลอนประตูถูกปลดออก ตามมาด้วยหลี่จิ้งเสียนที่กำลังเดินย่างก้าวเข้ามา
หลี่หมิงอวินวางด้ามปากกาลงแล้วลุกขึ้นยืน เขาไม่ปริปากเอ่ยเรียกผู้มาเยือนและไม่แม้แต่จะให้การคาราวะ สิ่งเดียวที่เขากำลังแสดงออกนั่นก็คือการยืนขึ้นภายใต้ใบหน้าที่มองต่ำเล็กน้อยและแฝงเอาไว้ซึ่งความพึงพอใจ
หลี่จิ้งเสียนเดินเข้ามาพลิกหนังสือที่หลี่หมิงอวินกำลังอ่านอยู่เปิดไปมารวมถึงบทความที่เขาเขียน ก่อนจะพยักหน้าและกล่าวชื่นชม “ดูเหมือนว่า หลายวันมานี้เจ้าจะขยันขันแข็งเป็นอย่างมาก”
หลี่หมิงอวินมิได้ขานรับคำใดๆ ออกไป
หลี่จิ้งเสียนรู้สึกถึงความเบื่อหน่าย เขาเดินไปนั่งบนเก้าอี้นวมฝั่งตรงข้าม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หมิงอวิน นั่งลงก่อนเถอะ!”
หลี่หมิงอวินยังคงไม่ขยับเขยื่อน
หลี่จิ้งเสียนหมดความอดทนอีกต่อไป “เจ้าจะทำให้สถานการณ์อึดอัดเช่นนี้ไปอีกนานเพียงใด”
หลี่หมิงอวินชายตาขึ้นมอง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ “ถ้าหากท่านพ่อยอมรับหลินหลัน ลูกจักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง”
สองพ่อลูกมองหน้ากันเป็นเวลาเนิ่นนานพอตัว ก่อนหลี่จิ้งเสียนจะถอดถอนหายใจออกมา “ข้าจะยอมให้หลินหลันเข้ามาก็ได้”
หลี่หมิงอวินถึงกับตกตะลึง นี่เขาไม่ได้ฟังผิดไปหรอกใช่ไหม! ท่านพ่อยินยอมแล้วจริงๆ งั้นหรือ
“ทว่าเจ้าก็ต้องรับปากพ่อเรื่องหนึ่ง” หลี่จิ้งเสียนกล่าวอย่างใจเย็น
หลี่หมิงอวินสงบนิ่งลงดั่งเดิม ว่าแล้วเชียวว่าท่านพ่อของเขาไม่มีทางตอบรับอย่างง่ายดายหรอก “เชิญท่านพ่อว่ามาขอรับ”
หลี่จิ้งเสียนมองบุตรชายด้วยสีหน้าเรียบสงบ “เจ้าจะต้องแต่งงานกับบุตรสาวของใต้เท้าเหว่ย ส่วนหลินหลัน……เป็นได้เพียงนางบำเรอเท่านั้น” ใต้เท้าเหว่ยถึงขั้นยอมถอยให้หนึ่งก้าวแล้ว ด้วยเห็นว่านี่คือหนทางของการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
“ไม่ได้ขอรับ ลูกไม่สามารถตอบตกลงได้ ชีวิตนี้ของลูกนอกเสียจากหลินหลันก็ไม่อาจแต่งกับหญิงอื่นได้อีกแล้ว” หลี่หมิงอวินยื่นคำขาด
หลี่จิ้งเสียนกำลังรู้สึกโมโหขึ้นมาเสียแล้ว “เจ้าอย่าทำตัวได้คืบจะเอาศอก หญิงชาวบ้านเช่นนั้น สามารถเข้ามาเหยียบตระกูลหลี่ในฐานะนางบำเรอก็เป็นการให้เกรียตินางมากพอแล้ว”
“เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดคุยอีกแล้ว” หลี่หมิงอวินหันกลับไปนั่งยังหน้ากล่องหนังสืออีกครั้ง แล้วหยิบเอาหนังสือขึ้นมาโดยไม่สนใจการมีตัวตนอยู่ของหลี่จิ้งเสียน ทว่าภายในใจของเขากลับกำลังพลุ่งพล่านไปด้วยความคิดต่างๆ นานา ที่ท่านพอยอมถอยออกไปหนึ่งก้าวเป็นเพราะแรงกดดันที่ได้รับจากภายนอกหรือเปล่า? ภายด้านนอกนั้นเฉินจื่ออวี้ดำเนินการตามแผนไปถึงระดับไหนกันแน่?
เดิมทีหลี่จิ้งเสียนคิดว่าการสนทนาในวันนี้จะประสบความสำเร็จได้ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่าทีของหมิงอวินนั้นแน่วแน่เป็นอย่างมาก ไม่มีแม้แต่พื้นที่ว่างสำหรับการเจรจาให้ด้วยซ้ำ ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกคล้ายจุกแน่นที่หน้าอกและไม่รู้จะพูดอะไรออกไปถึงจะเป็นการดี
“หมิงอวิน เจ้าก็ต้องคำนึงถึงความลำบากใจของพ่อบ้างเช่นกัน” เนิ่นนานพอตัว กว่าที่หลี่จิ้งเสียนจะเอ่ยปากขึ้น “แล้วพ่อจะไปอธิบายต่อใต้เท้าเหว่ยได้อย่างไร และตอนนี้คนทั้งเมืองหลวงก็ต่างรู้เรื่องการแต่งงานของเจ้าและลูกสาวตระกูลเหว่ยว่าได้มีการพูดคุยกันไว้แล้ว ถ้าเจ้าไม่แต่งงานกับนาง แล้วนางมีหน้าไปพบเจอผู้อื่นในภายภาคหน้าได้อย่างไรกัน”
หลี่หมิงอวินวางหนังสือลงแล้วมองไปยังผู้เป็นพ่อของเขาด้วยนัยน์ตาเรียบเฉย “ทว่า เรื่องการแต่งงานนั่น ลูกไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย ทุกสิ่งต้องลำดับการมาก่อนและหลัง หากท่านพ่อพูดคุยเจรจากับลูกไว้แต่เนิ่นๆ ลูกก็คงไม่หลุดให้คำมั่นสัญญาอะไรไปอย่างง่ายดาย”
หลี่จิ้งเสียนพูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงกล่าวขึ้นด้วยความโกรธ “การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ เดิมทีพ่อแม่หรือคำพูดของแม่สื่อก็คือตัวกำหนด เป็นเรื่องที่เจ้าทำผิดพลาดเองแท้ๆ กลับเอ่ยตำหนิโดยกล่าวโทษมาทีข้า นี่มันจะบังอาจเกินไป”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ตัวลูกอยู่ที่เมืองเฟิงอาน จึงไม่ทันได้แจ้งให้ท่านพ่อทราบ นั่นถือว่าเป็นความประมาทของลูก แต่อย่างไรก็ตามท่านตาและท่านยายต่างก็ล้วนเห็นชอบด้วยแล้วทั้งสิ้น ท่านพ่อไม่ได้สอนลูกอยู่เสมอหรอกหรือว่าต้องให้การเคารพผู้อาวุโส และไม่ขัดต่อคำพูดของผู้อาวุโส ในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาท่านพ่อไม่ได้ให้ความเคารพต่อท่านตาอย่างมากหรอกหรือ”