ตอนที่ 60 จุดเปลี่ยนหลังจากความพ่ายแพ้

ปฏิญญาค่าแค้น

ทางด้านหลี่หมิงอวินนั้นยังคงติดแหงกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีใครยอมใคร ในขณะที่ทางด้านหลินหลันกลับมีความคืบหน้าไปไม่น้อยเลยทีเดียว 

 

 

จากการทุ่มเทแรงกายแรงใจของนาง ไม่ถึงครึ่งเดือน อาการเลือดออกผิดปกติของเฉียวอวิ๋นซีก็เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีมาก นอกจากนี้ในบางครั้งบางคราวเพื่อคลายปมเกี่ยวกับตัวตนของนาง จึงได้บอกเล่าเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ เมื่อครั้งหลินหลันอยู่ในหมู่บ้านให้นางฟัง ซึ่งช่วยคลายความสับสนในอดีตของเฉียวอวิ๋นซีที่มีต่อหลินหลันให้ค่อยๆ กระจ่างขึ้น 

 

 

ผู้ที่มีปฏิกิริยาแคลงใจสงสัยต่อตัวหลินหลันในก่อนหน้านี้ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างแห่งจวนท่านพระยา ทว่าในตอนนี้ต่างพากันเลื่อมใส่ทักษะการรักษาของหลินหลันถ้วนหน้า เห็นทีว่ามรสุมชีวิตช่วงนี้กำลังค่อยๆ อ่อนลงไปแล้วสินะ 

 

 

“หลินหลัน หากข้าพูดคุยกับลูก ลูกจะได้ยินจริงๆ หรือ” เฉียวอวิ๋นซีมองไปยังหลินหลันอย่างเหลือเชื่อ 

 

 

“ตำราโบราณเขียนเอาไว้อย่างนั้นเจ้าค่ะ ทารกอยู่ในครรภ์มารดามิใช่ว่าจะนอนหลับอยู่ตลอดทั้งวัน หลังจากสามเดือนทารกก็จะมีการรู้สึกตัว คนสมัยก่อนได้กล่าวไว้ว่าในระหว่างตั้งครรภ์ ‘ดวงตาไม่จ้องมองสิ่งชั่วร้าย หูไม่รับฟังเสียงลามก ปากไม่เอื้อยเอ่ยคำหยาบคาย…’ ยิ่งกว่านั้นแม่และลูกยังมีสายสัมพันธ์เชื่อมต่อกัน ฉะนั้นแล้วเด็กจึงสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ผู้เป็นแม่ ดังนั้นฟูเหรินจะต้องพยายามทำใจให้ผ่อนคลายและมีความสุขเข้าไว้ เพื่อเด็กที่เกิดมาจะได้ร่าเริงมากขึ้น ฟูเหรินจะต้องหมั่นพูดคุยกับลูกของท่าน เล่าเรื่องราวหรืออะไรบางอย่างให้เขาฟัง ซึ่งจะส่งผลให้เด็กมีความสุขมากเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีรู้สึกว่านี่ช่างเป็นความรู้ที่แสนแปลกใหม่ จึงกล่าวออกไปด้วยท่าทีราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง “เช่นนั้นก่อนหน้าที่ข้าทำหน้ามุ่ยอยู่ตลอดทุกวัน ลูกของข้าก็คงจะไม่มีความสุขเช่นกันใช่ไหม” 

 

 

หลินหลันกล่าวขึ้นอย่างติดตลก “แล้วท่านคิดว่าอย่างไรหรือ ดังนั้นต่อจากนี้จะต้องดูแลสุขภาพกายใจให้เป็นอย่างดีเขาจึงจะดีตามไปด้วย” 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีพยักหน้ารัวๆ แล้วกล่าวด้วยความเกรงกลัวเล็กน้อย “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าจะไม่ครุ่นคิดเรื่องอะไรที่จะทำให้จิตใจว้าวุ่นอีกแล้ว” 

 

 

“คิดเช่นนี้ก็เป็นอันถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าวก่อนจะฉีกยิ้มขึ้น ความจริงแล้วการจะประเลาะเฉียวอวิ๋นซีนั้นถือเป็นเรื่องง่ายดายมาก ด้วยความที่เฉียวอวิ๋นซีให้ความสำคัญต่อลูกของนางมากกว่าชีวิตของตนเอง ขอเพียงแค่เป็นคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อเด็กในครรภ์ ไม่เคยเลยที่นางจะไม่รับฟังและไม่ปฏิบัติตาม 

 

 

ส่วนทางด้านฟางฮุ่ยนั้นกำลังกวาดสายตามองดูสูตรตำหรับอาหารที่หลินหลันเพิ่งเขียนขึ้นมาใหม่ และสุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามาเอ่ยถาม “หลี่ฟูเหรินเจ้าคะ บนใบรายการนี้ ทั้งผักและผลไม้มีมากมายพอตัว ทว่าพวกเนื้อสัตว์กลับน้อยไปหน่อย แล้วเช่นนี้จะไม่……” 

 

 

หลินหลันเผยรอยยิ้มหวานออกมา “เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลย ของบำรุงที่ควรมีก็ล้วนมีครบถ้วนแล้ว การกินผลไม้ให้มากหน่อยจะช่วยให้ผิวพรรณของทารกชุ่มชื้น ส่วนผักสดมีคุณค่าทางสารอาหารมากที่สุด ดังนั้นพวกเนื้อสัตว์กินในปริมาณที่เหมาะสมก็เพียงพอแล้ว และเพื่อหลีกเลี่ยงทารกขนาดตัวโตเกินไปในภายภาคหน้า ซึ่งนั่นจะส่งผลให้ต้องทนทุกข์ทรมานระหว่างการคลอดบุตรเอาได้” 

 

 

ด้วยคนสมัยก่อนไม่มีตัวเลือกที่จะต้องผ่าตัดเพื่อทำคลอด การมีลูกจึงถือเป็นเรื่องอันตรายอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่มีฐานะร่ำรวยประเภทนี้ ส่วนใหญ่จะได้รับการปรนเปรออย่างหนัก ทันทีที่เกิดการตั้งครรภ์ ก็จะได้รับการปฏิบัติจากคนในครอบครัวราวกับเป็นพระพุทธเจ้า โดยเน้นให้เคลื่อนไหวน้อยๆ เข้าไว้ และให้บำรุงร่างกายด้วยการรับประทานอาหารให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นล้วนเป็นความเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง หากโชคดี โดยทารกในครรภ์อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและทารกในครรภ์ยังไม่ตัวโตมาก ก็จะสามารถคลอดออกมาได้อย่างราบรื่น หากทว่าตกอยู่ในกรณีการคลอดลำบาก นั่นคงไม่ต่างจากการเดินเข้าสู่ประตูผี และไม่แน่ว่าอาจจะไม่ได้กลับมาอีกแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นนางจึงเขียนสูตรอาหารขึ้นมาใหม่โดยอิงจากสภาพร่างกายของเฉียวอวิ๋นซี หลังจากนั้นจะเป็นการสอนเฉียวอวิ๋นซีออกกำลังกายสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เพื่อเป็นการปรับตำแหน่งทารกในครรภ์ของนาง 

 

 

ตอนนี้เองฟางฮุ่ยถึงได้กล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “หลี่ฟูเหรินพูดได้ถูกต้องมากเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะนำสูตรอาหารไปส่งให้ทางห้องครัวเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีเมื่อได้ยินคำพูดที่กล่าวถึงการคลอดบุตรอันแสนทุกข์ทรมาน นางจึงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเสียแล้ว ภรรยาคนก่อนของท่านพระยาก็ด้วยเพราะประสบการคลอดบุตรที่ยากลำบาก ไม่เป็นไปอย่างราบรื่น สุดท้ายแล้วนางจึงตายจากไป 

 

 

หลินหลันซึ่งเพิ่งหันกลับมา และมองเห็นเฉียวอวิ๋นซีกำลังอยู่ภายใต้สีหน้าตื่นตระหนก นางก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเพราะได้ยินประโยคที่ตนพูดถึงความทุกข์ทรมานจากการคลอดบุตร เช่นนั้นจึงเกิดเกรงกลัวขึ้นมา และเรื่องของภรรยาคนก่อนของท่านพระยา นางเองก็ได้ยินมาบ้างแล้วเช่นกัน มิน่าล่ะเฉียวอวิ๋นซีจึงได้ดูหวาดกลัวเสียขนาดนี้ นางจึงเอ่ยปากขึ้นเพื่อปลอบประโลม “ฟูเหรินไม่จำเป็นต้องกังวลไปหรอก ข้าจะช่วยท่านอย่างสุดความสามารถในการปรับลักษณะตำแหน่งของทาราในครรภ์ เมื่อถึงเวลานั้นท่านจะต้องคลอดออกมาได้อย่างราบรื่นแน่นอนเจ้าค่ะ” 

 

 

“แล้วหากเกิดปรับตำแหน่งได้ไม่ดีล่ะ แล้วหากเกิดคลอดยากขึ้นมาจะทำอย่างไรดีหรือ” เฉียวอวิ๋นซีรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก 

 

 

หยินหลิ่วซึ่งอยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นมา “โหวเย่ฟูเหรินเจ้าคะ มีฟูเหรินของข้าน้อยอยู่ด้วยทั้งคน ท่านไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวเลยเจ้าค่ะ ครั้งก่อนที่พี่สาวของข้าน้อยคลอดยาก ก็เป็นฟูเหรินของตระกูลเราที่ให้การช่วยชีวิตเอาไว้ จึงปลอดภัยทั้งแม่และลูกเลยเจ้าค่ะ” 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีเมื่อได้ยินดังกล่าว จึงดึงมือของหลินหลันเข้ามากอบกุมเอาไว้ “หลินหลัน เจ้าจะสามารถอยู่ที่นี่กระทั่งข้าคลอดเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นค่อยจากไปได้หรือไม่” 

 

 

หลินหลันแสร้งทำเป็นลำบากใจพลางกล่าวออกไป “แน่นอนว่าข้าต้องการช่วยเหลือฟูเหริน แต่ทว่า…ทางด้านตระกูลหลี่นั่น พวกเขามุ่งหวังเพียงให้ข้ารีบจากไปยิ่งเร็วมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมากเท่านั้นน่ะสิ!” 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีเผยสีหน้าที่ดูตกใจอยู่เล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้นมาด้วยความไม่พึงพอใจ “จะว่าไปหลี่เหล่าเหยียผู้นั้นก็ทำเกินไปแล้ว ทั้งๆ ที่มีคำกล่าวไว้ว่า การทำลายวิหารวัดสิบแห่งยังไม่เลวร้ายเท่ากับการทำลายการแต่งงานเพียงหนึ่งครั้ง [1] ยิ่งไปกว่านั้นหลี่กงจื่อเองก็มีใจให้แก่เจ้าถึงปานนั้น แล้วใยเขายังต้องทำตามอำเภออยู่ได้” 

 

 

“ฟูเหริน ระมัดระวังอารมณ์ของท่านด้วยเจ้าค่ะ อย่าทำให้เด็กตกใจเช่นนั้นสิเจ้าคะ” ด้วยหลินหลันเห็นว่านางกำลังเกิดอารมณ์โมโห จึงรีบกล่าวเตือน 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีรีบสูดลมหายใจเข้าลึกถึงสองครั้งและสลัดความขุ่นหมองในใจให้หลุดพ้นออกไป 

 

 

ในค่ำคืนเดียวกัน จิ้งปั๋วโหวโจวซิ่นซึ่งเพิ่งกลับเข้ามาในห้อง มองเห็นฟางฮุ่ยกำลังประครองภรรยาของเขาเดินไปมาอยู่ภายในห้องอย่างเชื่องช้า ขณะนั้นเองเขาจึงรู้สึกตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก “ฟูเหริน เหตุใดเจ้าจึงลุกขึ้นมาเยี่ยงนี้กันเล่า” 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีใช้หนึ่งมือลูบคลำหน้าท้อง ขณะที่อีกหนึ่งมือจับเอวคอดของนางเอาไว้พลางกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “หลินหลันบอกว่าร่างกายของเฉี้ยเซิน [2] แข็งแรงดีแล้วเจ้าค่ะ ดังนั้นจะลุกขึ้นมาเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็มิใช่ปัญหาแต่อย่างใด ขอเพียงแค่ไม่ให้ถึงขั้นเหนื่อยหอบก็เป็นพอเจ้าค่ะ” 

 

 

ท่านเจ้าพระยายกมือขึ้นโบกปัดเป็นสัญญาณให้ฟางฮุ่ยออกไปก่อน แล้วประครองภรรยาของตนเองกลับมานั่งบนเตียง และกล่าวขึ้นขณะที่คิ้วของเขากำลังขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “ให้ข้าเรียนเชิญหมอหลวงมาตรวจดูอาการอีกครั้งดีหรือไม่” 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “เฉี้ยเซินรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าร่างกายของเฉี้ยเซินแข็งแรงดีแล้วเจ้าค่ะ และนับวันก็ดียิ่งๆ ขึ้นด้วย โหวเหย่ ท่านดูสิ รอบท้องของเฉี้ยเซินใหญ่ขึ้นมาแล้วนะเจ้าคะ อีกทั้งหลินหลันยังบอกว่า ตอนนี้ลูกของพวกเราปลอดภัยดีแล้วเจ้าค่ะ!” 

 

 

ฝามือใหญ่ของโหวเหย่ลูบลงบนหน้าท้องของนางอย่างอ่อนโยน พลางเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ “ใหญ่ขึ้นมากจริงๆ ด้วย” 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีเผยสีหน้าอมยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงบางเบา “หลินหลันบอกว่า เจ้าตัวน้อยในนี้เป็นเด็กผู้ชายเจ้าค่ะ!” 

 

 

ดวงตาของท่านเจ้าพระยาเปล่งประกายระยิบระยับซึ่งฉายความปลื้มปิติยินดีออกมาอย่างเด่นชัดและกล่าวขึ้นด้วยความตื่นตันใจ “จริงหรือ” 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีพยักหน้าอย่างเขินอาย “หลินหลันบอกไว้เยี่ยงนี้เจ้าค่ะ” 

 

 

ฝ่ามือของโหวเหย่ที่วางอยู่บนหน้าท้องของอวิ๋นซีกำลังสั่นเล็กน้อย ราวกับว่าเกรงกลัวฝ่ามือซากของเขาอาจจะรบกวนเด็กน้อยที่อยู่ข้างใน “ยอดเยี่ยมไปเลย ขอบรรพบุรุษจงคุ้มครอง ตระกูลโจวของพวกเรามีผู้สืบทอดเสียที” 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีเห็นท่านเจ้าพระยาดีอกดีใจเสียปานนั้น จึงกล่าวขึ้นอย่างติดตลก “ควรที่จะขอบคุณหลินหลันถึงจะถูกเจ้าค่ะ ระยะนี้เป็นนางที่ลำบากมากที่สุดแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

ท่านเจ้าพระยาส่งเสียงหัวเราะขณะจับจ้องไปบนท้องกลมๆ ขนาดใหญ่ไม่วางตา “จริงด้วย จริงด้วย” 

 

 

“จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ง่ายสำหรับหลินหลันเลยนะเจ้าคะ เรื่องชวนให้ปวดหัวของตนเองก็กองเบ้อเร่อเสียขนาดนั้น แล้วยังต้องทุ่มเทกายใจดูแลรักษาเฉี้ยเซินอีก โหวเหย่ พวกเราควรคิดหาวิธีช่วยเหลือนางบ้างถึงจะถูกนะเจ้าคะ” เฉียวอวิ๋นซีใช้โอกาสนี้กล่าวย้ำเตือน 

 

 

รอยยิ้มของท่านเจ้าพระยาหุบลงในทันทีก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างสุขุม “พูดตามหลัก นี่เป็นเรื่องของตระกูลหลี่เขา พวกเราจะเข้าไปก้าวก่ายก็คงไม่ดีนักและยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเกี่ยวโยงกับความสัมพันธ์ซึ่งมีอำนาจอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้องไว้ด้วย……” 

 

 

“เฉี้ยเซินไม่สนใจเรื่องเหล่านี้หรอกเจ้าค่ะ หลินหลันเป็นผู้รักษาชีวิตลูกของพวกเราเอาไว้ได้ เฉี้ยเซินต้องตอบแทนนางให้ได้” เฉียวอวิ๋นซีกล่าวด้วยความน้อยใจ 

 

 

ท่านเจ้าพระยาเผยรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้งและกล่าวปลอบประโลมนาง “ข้าก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ช่วยเสียหน่อย ดูเจ้าตีโพยตีพายเข้าสิ” 

 

 

เมื่อเฉียวอวิ๋นซีได้ยินท่านเจ้าพระยากล่าวเช่นนี้ จึงเผยทีท่าดีอกดีใจขึ้นมา นางลูบคล่ำอ้อมแขนของท่านเจ้าพระยาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันแสนนุ่มนวล “เช่นนั้นควรทำอย่างไรดีล่ะเจ้าคะ” 

 

 

ท่านเจ้าพระยากล่าวอย่างครุ่นคิด “เจ้าเข้ากันได้ดีกับพระสนมขององค์ชายสามมิใช่หรือ ในอีกไม่กี่วันนี้จะเป็นงานฉลองวันคล้ายวันเกิดครั้งใหญ่ของท่านแม่ ถึงตอนนั้นนางจะต้องมาร่วมด้วยอย่างแน่นอน เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องบอกอะไรกับนางมากมาย ทำเพียงแค่เอ่ยเน้นย้ำต่อหน้านาง โดยพูดไปว่า ได้ยินมาว่าเพลานี้หลี่กงจื่อกำลังเนื้อหอมไม่เบา จนใครต่อใครจำนวนมากมายต่างก็อยากเชื่อมไมตรีมิตรกับเขา” 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีไม่เข้าใจในความหมายที่แฝงเอาไว้ จึงกล่าวด้วยความผิดหวังเล็กน้อย “เช่นนี้จะได้ผลหรือเจ้าคะ” 

 

 

ท่านเจ้าพระยาลูบเส้นผมสลวยของนางอย่างถะนุถนอม “เจ้ายังไม่เชื่อในตัวสามีของเจ้าอีกหรือ” 

 

 

เดือนแปด วันที่ยี่สิบหก งานฉลองครบรอบหกสิบปีของหญิงชราแห่งจวนจิ้งปั๋วโหว 

 

 

นางจางพระสนมขององค์ชายสามหลังจากไปอวยพรวันเกิดให้แก่หญิงชราเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ตรงไปเยี่ยมเยียนเฉียวอวิ๋นซี 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีพูดตามคำกล่าวที่ท่านเจ้าพระยาได้แนะนำไว้ให้นางจางรับฟัง อีกทั้งยังกล่าวชื่นชมยกย่องหลินหลันไปชั่วขณะหนึ่ง และนางจางก็ดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เมื่อได้ฟังเรื่องราวเหล่านั้น 

 

 

ในค่ำคืนนั้น นางจางก็หอบคำบอกเล่าดังกล่าวถ่ายทอดไปยังองค์ชายสามอย่างรวดเร็วฉับไวปานสายลม “ฝ่าบาท พระองค์ว่าทั้งที่ในเพลานี้คำติฉินนินทากำลังล่องลอยไปทั่วทั้งเมืองหลวง แต่เหตุใดใต้เท้าเหว่ยจึงได้มีท่าทีสงบนิ่งเสียปานนั้น หากเป็นผู้อื่นล่ะก็ เห็นทีว่าคงจัดการให้จบสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นการมีเหตุจูงใจอันใดแอบแฝงอยู่ด้วยเจ้าค่ะ” 

 

 

องค์ชายสามเอาแต่นิ่งเงียบสดับรับฟังคำบอกเล่า และในรุ่งเช้าวันถัดมาก็ไปยังตำหนักบูรพา 

 

 

“องค์ชายพะย่ะค่ะ เฉินตี้ [3] คิดว่าพวกเราต่างเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้วพะย่ะค่ะ” 

 

 

องค์รัชทายาทกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เจ้ากล่าวเยี่ยงนี้หมายความว่าอันใดหรือ” 

 

 

“ความตั้งใจเดิมขององค์ชายคือใช้การแต่งงานครั้งนี้เป็นเครื่องมือในการชักจูงใต้เท้าเหว่ยเข้ามา ทว่าพอเฉินตี้ได้ลองมาไตร่ตรองดู เรื่องนี้มันชักไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่เสียแล้ว หากว่าความจริงจุดประสงค์ที่องค์ชายสี่มุ่งหวังนั้นมิใช่ใต้เท้าหลี่ทว่าเป็นหลี่กงจื่อล่ะพะย่ะค่ะ พรสวรรค์ของหลี่กงจื่อเป็นที่เลื่องลือยิ่งนัก และ การสอบจักรวรรดิก็กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้ หากว่าหลี่กงจื่อติดหนึ่งในนั้น…… ยิ่งไปกว่านั้น หลี่กงจื่อกับบุตรชายของใต้เท้าเฉินและบุตรชายแห่งตระกูลหนิงก็ยังมีความสัมพันธ์ที่สนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างมาก…… เฉินตี้จึงคิดว่า ลำพังใต้เท้าเหว่ยเพียงผู้เดียวคงจะมิสู้หลี่กงจื่อนะพะย่ะค่ะ อีกอย่าง ที่ใต้เท้าหลี่ทะเลาะเบาะแว้งกับหลี่กงจื่ออยู่ในเพลานี้ ต่อให้หลี่กงจื่อยอมแต่งงานกับบุตรสาวของใต้เท้าเหว่ยขึ้นมาจริงๆ หากแต่เกรงว่าในใจของเขาไม่อาจมีความสุขได้ และไม่แน่ว่าด้วยความไม่พอใจของเขานี้จึงจงใจเผชิญหน้ากับใต้เท้าหลี่เพื่อโค่นเขาลง ซึ่งนี่เป็นความปรารถนาขององค์ชายสี่มิใช่หรอกหรือ” เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาองค์ชายสามไม่เป็นอันข่มตาหลับได้ตลอดทั้งคืน เขามั่นใจว่าภรรยาของจิ้งปั๋วโหวจะไม่พูดเรื่องเช่นนี้กับนางสนมจางโดยไม่มีเหตุผลแอบแฝง เขาจึงเกรงว่าจิ้งปั๋วโหวจะได้ยินอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้เข้าให้ หรืออาจจะเดาความตั้งใจของใครบางคนออก ด้วยความที่จิ้งปั๋วโหวเป็นผู้ซึ่งรู้มีความระมัดระวังรอบคอบและฉลาดหลักแหลมมาโดยตลอด 

 

 

องค์รัชทายาทตกอยู่ในอาการนิ่งเงียบ เดิมทีคิดว่าชัยชนะอยู่ในมือแล้วแท้ๆ แต่ทว่าหลังจากได้ยินสิ่งที่องค์ชายสามกล่าวออกมา เขาจึงต้องพิจารณาใหม่อีกครั้ง ยิ่งเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าที่องค์ชายสามกล่าวมานั้นมีเหตุมีผลอย่างมาก ปัจจุบันนี้เหล่าขุนนางจีนส่วนใหญ่มักอยู่ใต้อาณัติของเขา ทว่าทางด้านฝ่ายทหารให้การสนับสนุนองค์ชายสี่ ดังนั้นเขาอยากที่จะใช้โอกาสนี้ในการหลอกล่อดึงเอาใต้เท้าเหว่ยเขามาเป็นพรรคพวก ตำแหน่งเจ้ากระทรวงกลาโหมระดับสูง ตำแหน่งนี้เป็นหนึ่งตำแหน่งที่ใต้เท้าเหว่ยเฝ้าใฝ่ฝันปราถนาที่จะได้ขึ้นนั่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ทว่าดูเหมือนจะเป็นการได้ไม่คุ้มเสีย และไม่ใช่ว่าจะกลายเป็นผู้อื่นที่ได้รับประโยชน์แทนหรอกหรือ ไม่ได้การ ไม่ได้การ…… องค์รัชทายาทส่ายพระพักตร์ไปมา 

 

 

องค์ชายสามลุกขึ้นยืนอย่างสุขุม เขารู้ดีว่าเพลานี้องค์รัชทายาทต้องการไตร่ตรองชั่งน้ำหนักดู 

 

 

“ตามความคิดเห็นของเจ้า ควรจักทำอย่างไรหรือ” เวลาล่วงเลยไปเนิ่นนานพอตัว องค์รัชทายาทจึงได้ตรัสถามขึ้นมา 

 

 

“เฉินตี้คิดว่า สถานการณ์ได้เลยเถิดไปกว่าที่พวกเราคาดคิดเอาไว้ มันคงจะดีกว่าหากเราจะไม่ลงมือทำในสิ่งที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่สู้องค์ชายจงใจให้ความช่วยเหลือแก่หลี่หมิงอวิน ให้เขาได้สมปรารถนา ทำให้เขาซาบซึ้งในพระกรุณาต่อองค์ชาย ถึงตอนนั้นก็ค่อยเพิ่มกลหลอกล่อเข้าไปอีก หลี่หมิงอวินผู้นี้ให้ความสำคัญกับความผูกพันทางจิตใจระหว่างเพื่อนพ้องญาติมิตรเป็นที่สุด แล้วใยเล่าจะไม่ยอมรับใช้องค์รัชทายาท อีกทั้งเฉินตี้ยังได้ยินมาว่าแม่นางชาวบ้านผู้นั้นมีทักษะทางการแพทย์ที่เก่งกาจ ขนาดที่ว่าหมอหลวงกล่าวไว้ว่าไม่อาจรักษาชีวิตทารกในครรภ์ไว้ได้ ทว่านางกลับทำได้ คนประเภทนี้ ไม่แน่ว่าก็อาจเป็นประโยชน์นะพะย่ะค่ะ” 

 

 

องค์รัชทายาทพยักหน้าด้วยรู้สึกเห็นดีเห็นงามอย่างยิ่ง “น้องสามพูดได้ถูกต้องยิ่งนัก” 

 

 

ในเช้าวันเดียวกัน องค์รัชทายาทจงใจเรียกหลี่จิ้งเสียนเป็นพิเศษและเขาก็หยุดชะงักในทันที “ใต้เท้าหลี่ มีคำพูดหนึ่งที่ข้าไม่อาจไม่เตือนเจ้าได้ เพลานี้ปัญหาในบ้านของท่านแพร่กระจายไปทั่วเมือง และมันก็ลอยไปถึงหูของเสด็จพ่อแล้วด้วย ซึ่งดูเหมือนว่าเสด็จพ่อจะไม่ค่อยพึงพอใจเท่าไหร่นัก” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนรู้สึกหวาดหวั่นอย่างมาก เป็นเพราะชื่อเสียงที่ดีงามของเขาจึงทำให้เขาได้รับการชื่นชมจากเซิ่งซ่าง [4] หากด้วยสิ่งนี้ทำให้เซิ่งซ่างไม่พึงพอใจ นั่นมันคงเป็นอะไรที่ได้ไม่คุ้มเสีย 

 

 

“เรื่องของตระกูลเหว่ยก็ลืมๆ มันไปเถอะ!” องค์รัชทายาทพูดเบาๆ ก่อนจะเอามือไพล่หลังแล้วเดินจากไป 

 

 

ทั่วทั้งใบหน้าของหลี่จิ้งเสียนกำลังเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและยังคงอยู่ในอาการวิตกกังวล ตอนนี้เขาทำให้องค์รัชทายาทขุ่นเคือง อีกทั้งยังสร้างความรำคาญใจให้แก่เซิ่งซ่างเข้าเสียแล้ว ปัญหานี้นี่มัน…… 

 

 

หลินหลันและเฉียวอวิ๋นซีต่างคาดไม่ถึงว่าท่านเจ้าพระยาสามารถแก้ปัญหาสำคัญเยี่ยงนี้ได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำเท่านั้นเอง 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] การทำลายวิหารวัดสิบแห่งก็ยังไม่เลวร้ายเท่ากับการทำลายการแต่งงานเพียงหนึ่งครั้ง (宁拆十座庙,不毁一门亲) เป็นสำนวนที่ให้ความหมายถึง คนภายนอกไม่ควรแทรกแซงความสัมพันธ์ ความรัก การแต่งงาน ของคู่รัก ที่จะเป็นชนวดแห่งการทำลายความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ 

 

 

[2] เฉี้ยเซิน (妾身) คำที่ภรรยา (หรือสนม) ใช้เรียกแทนตัวเองต่อสามี 

 

 

[3] เฉินตี้ (臣弟) คำเรียกแทนตนเองสำหรับองค์ชายผู้มีศักดิ์เป็นน้องชาย 

 

 

[4] เซิ่งซ่าง (圣上) พระองค์ท่าน [ใช้เรียกองค์จักรพรรดิของจีน]