ภายใต้ระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดหลี่หมิงอวินก็หลุดพ้นจากการถูกกักขังในเรือนจุ้ยอวิ๋นเซวียนเสียที
และในขณะนี้เอง ผู้เป็นบิดาซึ่งมาเยือนถึงเรือนจุ้ยอวิ๋นเซวียนภายใต้สีหน้าอ่อนล้าราวกับว่าคนทั้งคนแก่ตัวลงไปมาก กล่าวขึ้นอย่างจนปัญญา “ช่างเถอะ ช่างเถอะ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นลูกชายของพ่อ พ่อเองก็ทนมิได้ที่จะต้องเห็นเจ้าทนทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้ เรื่องการแต่งงานของตระกูลเหว่ยพ่อยอมเสียหน้าและบอกปฏิเสธไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเจ้า…ไปพาหลินหลันกลับมาบ้านเถอะ!”
และในตอนท้ายเขายังกล่าวเสริมขึ้นอีก “ที่พ่อทำถึงขั้นนี้ ล้วนเป็นเพราะความหวังดีที่มีต่อเจ้าทั้งนั้น”
แม้ว่าหลี่หมิงอวินยังคงไม่เข้าใจแน่ชัดว่าเหตุใดผู้เป็นพ่อของเขาจู่ๆ จึงยอมประนีประนอมขึ้นมาเยี่ยงนี่ ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจได้อย่างชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือ มันไม่ได้ออกมาจากความสงสารเอ็นดูบุตรชายอย่างเขาเป็นแน่แท้ การที่ผู้เป็นพ่อพูดออกมาเช่นนี้ก็เพียงเพื่อยกความดีความชอบเข้าใส่ตนเองเท่านั้น และหลี่หมิงอวินก็ไม่ขอฉีกหน้าเขา ในเมื่อท่านพ่อต้องการเสแสร้ง เช่นนั้นก็ปล่อยให้เขาทำต่อไปเถิด การจะก่อความขุ่นหมองให้มากไปกว่านี้มันคงไม่เป็นผลดีต่อหลินหลันเท่าไหร่นัก
หลี่หมิงอวินออกท่าทางยืดเส้นยืดสายบิดขี้เกียจ ขณะเดียวกันก็เงยหน้าขึ้นพลางหรี่สายตามองไปยังท้องฟ้าสีสดใส เกือบจะเป็นเดือนเก้าแล้วและฤดูใบไม้ร่วงก็กำลังมาเยือนด้วยเช่นกัน วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
“เส้าเหยีย เส้าเหยีย…” ติงจึวิ่งเขามาด้วยความเร็วสูงพลางส่งเสียงกล่าวขึ้นอย่างดีใจ “เส้าเหยีย ข้ายังคิดอยู่เลยว่าพวกเขาแค่หลอกข้าเล่นเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเส้าเหยียจะออกมาแล้วจริงๆ ด้วย”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “ช่วงนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็ดีขอรับ! ก็แค่จับข้าน้อยมัดไว้สามวัน หลังจากนั้นก็จับข้าน้อยโยนเข้าไปในห้องเท่ารูหนูที่มืดมิดแถมยังค่อนข้างหนาวเย็นอีกด้วยขอรับ” ตงจึกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
หลี่หมิงอวินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ไปกันเถอะ! กลับเรือนหลั้วเซี๋ยจายของพวกเรากัน”
“ขอรับ!” ตงจึส่งเสียงตอบรับอย่างมีความสุข
ในเรือนหลั้วเซี๋ยจาย ป๋ายฮุ่ยหัวหน้าข้ารับใช้กำลังชี้มือชี้ไม้ไปยังชั้นวางหนังสือ “จิ่นซิ่ว มาช่วยเช็ดตรงนี้หน่อย หากให้เส้าเหยียมาเห็นสภาพฝุ่นเกาะจับเยี่ยงนี้จะไม่พอใจเอาได้”
จิ่นซิ่วกล่าวพร้อมเผยรอยยิ้มทะเล้น “พี่ป๋ายฮุ่ย ห้องตำรานี่พวกเราต่างก็ทำความสะอาดอยู่ทุกวัน ฝุ่นที่ไหนจะมาเกาะล่ะ!” แม้ปากจะพร่ำพูดเช่นนี้ ทว่าในมือของจิ่นซิ่วก็ยังถือผ้าและปีนป่ายขึ้นไปบริเวณชั้นวางหนังสือโดยไล่เช็ดตั้งแต่บนจรดล่างใหม่อีกครั้ง
ป๋ายฮุ่ยกล่าวขึ้นอีกครั้ง “หรูอี้ ผ้าปูเตียงนอนเปลี่ยนเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
หรูอี้ซึ่งอยู่ทางด้านนั้นส่งเสียงตะโกนตอบกลับมา “เปลี่ยนแล้วเจ้าค่ะ ผ้าปูเตียงผืนใหม่ ข้าวของเครื่องใช้ตัวใหม่ รวมถึงผ้าห่มก็ด้วย เปลี่ยนใหม่ทั้งหมดแล้วเจ้าค่ะ”
ป๋ายฮุ่ยขมวดคิ้วขณะที่นางกำลังคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดว่ายังหลงเหลืออะไรที่ยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อยอยู่อีกหรือไม่
จิ่นซิ่วมองเห็นท่าทางที่เป็นกังวลของนาง จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มออกไป “พี่ป๋ายฮุ่ย หากพี่ใจร้อนนักก็ไปรอต้อนรับเส้าเหยียที่หน้าประตูเลยสิเจ้าคะ!”
ป๋ายฮุ่ยจ้องถลึงตาใส่นางไปหนึ่งที “ลำพังเชี่ยวโหรวคอยดูอยู่ก็พอแล้ว!”
หรูอี้ส่งเสียง ‘ไอ้หย่า’ ขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ส่งผลให้ทั้งสองตื่นตกใจจนจิ่นซิ่วอดที่จะโอดครวญขึ้นมาไม่ได้ “หรูอี้ เจ้าทำเป็นตื่นตกใจอะไรของเจ้า”
หรูอี้กล่าวด้วยความตื่นตระหนก “ใบชาน่ะสิ เส้าเหยียรักการดื่มชาเป็นที่สุด ทว่าพวกเรากลับลืมนำใบชาใหม่จากแม่เติ้งมาเสียได้”
ป๋ายฮุ่ยขมวดคิ้วขึ้นทันที “หรูอี้ ไม่ใช่ว่าเดือนก่อนไปเอาใบชามาแล้วหรอกหรือ” หนึ่งเดือนก่อนได้ยินว่าเส้าเหยียกำลังจะกลับมาแล้ว นางก็เลยไปตระเตรียมไว้แต่เนิ่นๆ เรียบร้อยแล้ว แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเส้าเหยียกลับมาถึงจวนยังไม่ทันได้ย่างเท้ามาเยือนเรือนหลั้วเซี๋ยจายก็ถูกเหล่าเหยียจับขังไว้ที่เรือนจุ้ยอวิ๋นเซวียนเสียก่อนแล้ว
หรูอี้ตบลงไปที่หน้าผากของตนเอง “ดูความจำของข้านี่สิ มัวดีอกดีใจจนเลอะเลือนไปหมดแล้ว”
“เอ้อ! พอเจ้าพูดมาเช่นนี้กลับช่วยเตือนข้าขึ้นมาบ้างแล้ว งั้นข้ารีบไปต้มน้ำก่อนล่ะ” จิ่นซิ่ววิ่งออกไปอย่างรีบร้อน
ทันทีที่วิ่งไปถึงหน้าประตูทางเข้าก็เห็นเชี่ยวโหรวรีบร้อนเดินสวนเข้ามา พร้อมกับพูดพึมพำ “เส้าเหยียมาแล้ว เส้าเหยียมาแล้ว…..”
ทั้งสามคนรีบออกไปให้การต้อนรับที่บริเวณลานประตูทางเข้าในทันที เมื่อเห็นนายน้อยและตงจึเดินเข้ามาจากระยะไกล หยาดน้ำตาของป๋ายฮุ่ยก็ไหลรินลงมา หลังจากเฝ้ารอมานานเกือบสี่ปี ในที่สุดนายน้อยก็กลับมา และได้พบหน้ากันอีกครั้ง ต่อให้ที่ผ่านมาได้รับความทุกข์ใจมากเพียงใด มันก็ล้วนเป็นสิ่งที่คุ้มค่าทั้งสิ้น
หมิงอวินมองเห็นเหล่าสาวใช้ที่คอยให้การปรนนิบัติเขามานานหลายปี ความรู้สึกสนิทชิดเชื้อก็หวนกลับฟื้นคืนมาโดยธรรมชาติและฝีก้าวเท้าก็เร็วยิ่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เส้าเหยีย……” ทั้งจิ่นซิ่วและหรูอี้ที่เพิ่งหัวเราะเริงร่าเมื่อครู่ พอได้เห็นป๋ายฮุ่ยร้องไห้ออกมาพวกนางเองก็อดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว จึงได้แต่กล่าวออกไปทั้งคราบน้ำตา “เส้าเหยีย ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที”
หมิงอวินกล่าวติดตลก “ต้องพากันร้องห่มร้องไห้ถ้วนหน้าเชียวหรือ”
ป๋ายฮุ่ยปาดน้ำตา “พวกเราดีใจเจ้าค่ะ”
ตงจึเอ่ยขึ้น “ทุกคนมัวยืนตรงนี้ทำไมกัน ยังไม่รีบเชิญเส้าเหยียเข้าบ้านอีก?”
ทุกคนตื่นตัวและรีบรายล้อมพานายน้อยเข้าไปด้านใน
หลี่หมิงอวินอาบน้ำอาบท่าตลอดจนเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นที่เรียบร้อย หรูอี้จึงยกชาปี้หลัวชุนที่เขาชื่นชอบมากที่สุดเข้ามาให้ ขณะที่ป๋ายฮุ่ยและคนอื่นๆ เมื่อเห็นนายน้อยนั่งอยู่เบื้องหน้าเสมือนครั้งก่อน ก็รู้สึกสุขใจจนไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง
หลี่หมิงอวินมองดูพวกนางแต่ละคนที่กำลังเผยรอยยิ้มใสซื่อ เพลานี้เองจึงนึกขึ้นมาได้ว่า ดูเหมือนหลังจากเข้ามาแล้วก็ยังไม่เห็นจื่อโม่เลย จึงกล่าวถาม “แล้วจื่อโม่ล่ะ?”
ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ ทุกคนต่างก็มีสีหน้าสลดลงไปในทันที
หลี่หมิงอวินเริ่มรู้สึกใจเสีย จึงกล่าวถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นหรือ”
จื่อโม่เป็นเด็กผู้หญิงที่ฉลาดและมีความสามารถมากที่สุดก็ว่าได้ พูดตามหลักด้วยวัยของนางไม่ถึงวัยที่จะด่วนจากไปเช่นนี้
ขอบดวงตาของป๋ายฮุ่ยเริ่มแดงกล่ำขึ้นมาพลางกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง “จื่อโม่ไม่อยู่แล้วเจ้าค่ะ”
หมายความว่าอย่างไรหรือที่ว่าไม่อยู่แล้ว ไม่อยู่ที่เรือนหลั้วเซี๋ยจายแล้ว ไม่อยู่ในจวนแล้ว? หรือว่า……
ป๋ายฮุ่ยร้องไห้ออกมาอีกครั้ง จิ่นซิ่วจึงรับหน้าที่บอกเล่าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฤดูหนาวในปีที่สองที่เส้าเหยียจากไป ฮูหยินต้องการบีบบังคับให้พี่ป๋ายฮุ่ยและพี่จื่อโม่ออกไป จึงมอบหมายให้พวกเราไปยังนอกสถานที่เพื่อรับจ้างทำงานบ้านต่างๆ พี่จื่อโม่จึงไปนั่งคุกเข่าที่ลานของเรือนฮูหยินเพื่อขอร้องตลอดทั้งคืน และเมื่อนางกลับมาก็มีอาการไข้สูง พวกเราจึงไปขอร้องให้ฮูหยินช่วยเชิญหมอมาให้สักหนึ่งท่าน แต่นางดันตอกกลับมาว่าพวกเรากำลังทำเป็นเอะอะใหญ่โต หลังจากนั้นพี่ป๋ายฮุ่ยจึงวิ่งไปขอร้องเหล่าเหยีย ถึงได้เชิญหมอมาได้ แต่ทว่า……เพราะไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที พี่จื่อโม่จึงฟื้นร่างกายอยู่ได้เพียงสองสามวันก็……จากไปแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ทั่วทั้งห้องก็ระงมไปด้วยเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
หลี่หมิงอวินปัดมือไปโดนถ้วยน้ำชาจนร่วงหล่นแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ บนพื้น
ตงจึจึงรีบร้อนเข้าไปเก็บกวาด
มือทั้งสองข้างของหลี่หมิงอวินกำหมัดจนแน่น แน่นเสียจนฝ่ามือเปลี่ยนเป็นสีเหลืองฝาดและเสียงไขข้อนิ้วมือก็ดังกรอบแกรบขึ้น ขณะเดียวกันร่องรอยแห่งความเย็นชาจับขั้วหัวใจก็แผ่ซ่านเข้ามายังนัยน์ตาคู่คม เพลานี้เขาทั้งเสียใจและเคียดแค้นเป็นอย่างมาก ฮานชิวเยว่ นังแม่มดชรา ชีวิตของจื่อโม่นี้ จักต้องมีสักวันที่ข้าจะทวงคืนกลับมาจากเจ้า
“หลุมศพของนางอยู่แห่งหนใดหรือ” เนิ่นนานพอตัวกว่าที่หลี่หมิงอวินจะเอ่ยปากขึ้นมา ภายใต้น้ำเสียงเยือกเย็น
ป๋ายฮุ่ยพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ฮูหยินไม่ยอมแม้แต่จะให้โลงศพดีๆ สักโลง พวกเราพี่น้องจึงรวมเงินกันทั้งตัวที่พอมีอยู่เพื่อซื้อโลงศพบางๆ ให้แก่จื่อโม่และฝังนางไว้ที่ชิงซงหลิงแถวชานเมืองปักกิ่งเจ้าค่ะ”
สีหน้าของหลี่หมิงอวินเย็นชาราวกับน้ำแข็ง เช่นเดียวกันนัยน์ตาของเขาที่แสนเยือกเย็น เห็นได้ชัดว่าวันคืนที่เขาไม่อยู่ที่นี่ หลั้วเซี๋ยจายแห่งนี้ช่างน่าอนาจเพียงใด และเด็กผู้หญิงเหล่านี้ต้องทนทุกข์ทรมานมากเพียงใดในการอดทนอยู่ที่นี่เพื่อรักษาบ้านหลังนี้ไว้ให้แก่เขา จนพวกนางต้องแบกรับความเจ็บช้ำน้ำใจไว้มากมาย หลี่หมิงอวินพยายามระงับความโกรธแค้นในใจและพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม “ตอนนี้ข้ากลับมาแล้ว ความแค้นของจื่อโม่ ข้าจดจำเอาไว้ในใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหลังจากนี้……จะไม่มีใครหน้าไหนมารังแกพวกเจ้าได้อีกแล้ว”
หลี่หมิงอวินถามไถ่เกี่ยวกับบางสิ่งในจวนขึ้นอีกครั้ง จึงได้รับรู้ว่าผู้ดูแลบ้านคนเก่าถูกขับไล่ออกไปและคนรอบข้างของท่านแม่ของเขาก็ถูกขับไล่ออกไปด้วยเช่นกัน ตอนนี้ผู้ดูแลจ้าวจึงดูแลกิจการเรื่องภายนอกและแม่เจียงคนข้างกายฮานชิวเยว่ทำหน้าที่ดูแลกิจการภายใน ฮานชิวเยว่ไม่แม้แต่จะปล่อยให้เสาหลักทั้งสองคนที่ท่านแม่ของเขาทิ้งเอาไว้ให้คงอยู่ต่อในที่แห่งนี้ โดยจัดการไล่ผู้ดูแลเดิมออกและส่งคนของนางเข้าไปแทนอย่างใสสะอาดหมดจด
ทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องราวแย่ๆ คิ้วเข้มของหลี่หมิงอวินก็ขมวดเข้าหากันแน่นมากยิ่งขึ้น
เจ้านายและคนรับใช้ต่างพูดคุยกันนานกว่าสองชั่วยาม ถึงได้เรียบเรียงได้อย่างคร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นในจวนบ้างในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้
หลินหลันซึ่งอยู่ที่จวนจิ้งปั๋วโหวยังคงไม่รับรู้ว่าหลี่หมิงอวินหลุดพ้นจากสถานการณ์อันยากลำบากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้ว่านางจะเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อการต่อสู้มาเป็นระยะเวลานานพอตัว แต่ทว่านี่มันก็ปาเข้าไปหนึ่งเดือนแล้ว และนั่นก็ไม่ได้ช่วยให้จิตใจของนางสงบลงได้เท่าไหร่นัก
“แม่โจว ทางด้านจวนหลี่นั่นมีข่าวคราวอะไรบ้างไหม” หลินหลันเอ่ยถาม ด้วยหลังจากนางเข้ามาถึงเมืองหลวง นางก็ยังไม่เคยได้เข้าไปเยี่ยมเยียนต้าเหล่าเหย่เยี่ย ล้วนเป็นแม่โจวที่เทียวไปเทียวมาเพื่อนำข่าวสารมาส่งมอบให้แก่หลินหลันเป็นครั้งคราว ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยซินเอ๋อร์ถูกกักบริเวณเอย แม่ติงถูกขับออกจากจวนเอย! แต่ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับหลินหลันแต่อย่างใด
แม่โจวเองก็ร้อนใจอยู่ไม่น้อย ด้วยสายสอดแนมที่ตระกูลเยี่ยส่งไปยังตระกูลหลี่เพื่อรับหน้าที่ส่งข่าวมาให้เป็นระยะๆ ต่างยังคงให้การรายงานเฉกเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลงว่า…นายน้อยยังคงถูกกักบริเวณอยู่เช่นเดิม
“เส้าฟูเหริน ขณะนี้ยังคงไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทว่าก็คงจะในเร็วๆ นี้แหละเจ้าค่ะ เพราะการสอบจักรวรรดิใกล้เข้ามาแล้ว ด้วยเหตุนี้หลี่เหล่าเหยียคงไม่กังขังเส้าเหยียเอาไว้เยี่ยงนี้ตลอดไปหรอกเจ้าค่ะ!”
“โหวเหย่ฟูเหรินก็ได้กล่าวไว้ว่าจะมีข่าวดีในเร็วๆ นี้ด้วยเช่นกัน” หลินหลันถอดถอนหายใจออกมา
อวี้หลงเอ่ยขึ้น “เส้าฟูเหรินเจ้าคะ ในเมื่อโหวเหย่ฟูเหรินพูดไว้เช่นนี้แล้ว ก็คงต้องมีข่าวดีเป็นแน่เจ้าค่ะ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มขื่นขม หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!
หยินหลิ่วเข้ามาพร้อมกับการรายงาย “เหวินซานบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องการพบเส้าฟูเหรินเจ้าค่ะ”
“ให้เขาเข้ามา”
สีหน้าของเหวินซานดูเป็นกังวลอย่างมากและเมื่อเขาเห็นนายหญิงของตนจึงยกมือขึ้นให้การคาราวะพร้อมกล่าวขึ้น “เส้าฟูเหริน คนของตระกูลหลี่มาขอพบเส้าฟูเหรินขอรับ”
หลินหลันและแม่โจวหันหน้ามองกันโดยมิได้นัดหมายและต่างตกอยู่ในอาการประหลาดใจ
“คนของตระกูลหลี่ที่ต้องการพบข้านั้นเป็นผู้ใดหรือ” หลินหลันเอ่ยถาม
เหวินซานกล่าวตอบ “ไม่ทราบขอรับ ตอนนี้รถม้าของตระกูลหลี่กำลังอยู่ด้านนอกและขอเรียนเชิญฟูเหรินออกไปพบขอรับ”
ภายในใจของหลินหลันกำลังเต็มไปความสงสัย จะเป็นผู้ใดกันนะ? ท่านพ่อหลี่ไร้ยางอายผู้นั้นหรือนางแม่มดชราตัวร้าย? คิดไม่ตกเลยจริงๆ ว่าหากผู้มาเยือนคือท่านพ่อหลี่ไร้ยางอาย นางควรจะรับมืออย่างไรดี และหากเป็นนางแม่มดชราล่ะ! นางควรจะตอบโต้อย่างไรดี?
ทว่า คนทั้งคนได้มาเยือนถึงด้านนอกแล้วใยนางจะต้องมาครุ่นคิดอะไรให้มากมายอยู่อีก ทันใดนั้นหลินหลันจึงกล่าวสั่งการอย่างสุขุมใจเย็น “หยินหลิ่ว เหวินซาน พวกเจ้าออกไปพบเขาผู้นั้นพร้อมกับข้า และหากเห็นท่าไม่ดี พวกเจ้าก็กลับเข้ามารายงานเฉียวฮูหยินเสีย”
ที่หลินหลันเกรงกลัวที่สุดก็คือพวกเขาจะใช้ไม้แข็งโดยการลักพาตัวนางไปและหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง ไม่ว่าจะเป็นการแสร้งโง่เขลาหรือต้องสู้ตาต่อตาฟันต่อฟัน นางก็ไม่เกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งสิ้น
ทั้งสองขานรับและเดินตามหลินหลันไปยังด้านนอก ในขณะเดียวกันนั้นเองรอยยิ้มมุมปากซึ่งแฝงความเจ้าเล่ห์เอาไว้ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหวินซาน พลางหันไปขยิบตาใส่หยินหลิ่ว
หยินหลิ่วซึ่งกำลังรู้สึกเป็นห่วงเส้าฟูเหรินอยู่ในขณะนี้ จึงไม่มีกะจิตกะใจไปเข้าใจถึงความหมายที่เหวินซานต้องการสื่อ นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยความงุนงง “เหวินซาน ตาของเจ้าเป็นอะไรงั้นหรือ”
เหวินซานเผยสีหน้าเซงเล็กน้อย และเมื่อนึกถึงคำสั่งของเส้าเหยียที่ได้สั่งการไว้ก็รีบยกมือขึ้นขยี้ตาพลางเอ่ยออกไป “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แค่ลมพัดเข้าตาน่ะ”
หยินหลิ่วยิ่งงุนงงไปกันใหญ่ ตอนนี้ไม่เห็นจะมีลมพัดเสียหน่อย!
เมื่อหลินหลันออกพ้นประตูหลักบานใหญ่ของจวนโหวก็มองเห็นรถม้าหนึ่งคันซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลออกไปเท่าไหร่นัก ผู้คุมรถม้าดูคุ้นตาอยู่ไม่น้อย หลินหลันครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่และก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นผู้ที่มาส่งนางในตอนแรกนั่นเอง
ผู้คุมรถม้าเมื่อเห็นว่าหลินหลันออกมาแล้ว จึงให้การคาราวะแด่หลินหลันภายใต้สีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “แม่นาง เชิญขึ้นรถขอรับ”
ท่าทีของคนคุมรถม้ายิ่งช่วยยืนยันการคาดเดาของหลินหลันได้อย่างชัดเจนแล้วว่า นางแม่มดชราน่าจะอยู่ในรถม้าเป็นแน่ และต่อให้ไม่ใช่แม่มดตัวชราผู้นั้นก็คงเป็นผู้ที่ถูกแม่มดชราส่งมา
หลินหลันสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อทำให้ตนเองดูนิ่งสงบ แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “พวกเจ้าสองคนรออยู่ตรงนี่แหละ” จากนั้นนางก็ส่งรอยยิ้มเล็กน้อยให้แก่คนคุมรถม้าและก้าวเดินไปเบื้องหน้า
ผู้คุมรถวางเก้าอี้ตัวเล็กเพื่อให้ง่ายต่อหลินหลันในการปีนขึ้นไปยังบนรถม้า
หลินหลันแหวกผ้าม่านออกและยังไม่ทันได้ภายในอย่างละเอียด ก็ได้ยินน้ำเสียงที่แสนคุ้นเคยมาเนิ่นนานดังขึ้น “จวนจิ้งปั๋วโหวกว้างใหญ่นักหรือ ถึงได้ให้คนเขารอนานเสียขนาดนี้”
เอ่อ! เป็นหลี่หมิงอวิน……
หลินหลันรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากในชั่วขณะแรก และจากนั้นนางก็รู้สึกว่ากำลังถูกใครบางคนแกล้ง ทันใดนั้นความรู้สึกโกรธเคืองจึงแทรกเข้ามาแทน นางจึงเอ่ยตำหนิออกไป “แกล้งผู้อื่นสนุกมากงั้นหรือ นี่มันปาเข้าไปวันเดือนปีอะไรแล้ว ไม่รู้จักนึกถึงจิตใจผู้อื่นว่าจะเขาเป็นกังวลมากมายเพียงใด แล้วเจ้ายังมีกะจิตกะใจแกล้งผู้อื่นอีก?”
หลินหลันหันหน้าหนีและต้องการลงจากรถม้า ทว่ากลับถูกคนในรถม้านั่นคว้าตัวเอาไว้ได้เสียก่อน