บทที่ 89 ชมโคมไฟ + บทที่ 90 ไปด้วยกันเถอะ Ink Stone_Romance
บทที่ 89 ชมโคมไฟ
หนิงเมิ่งเหยาพาหยางเล่อเล่อ และคนอื่นๆ ไปชมโคมไฟ ขณะนั้นเอง เฉียวเทียนช่างก็กำลังจ้องมองหญิงสาวด้วยแววตาหลงใหลจากบนหอกลั่นเหล้าองุ่นซึ่งอยู่ถัดออกไป
เหลยอันมองดูเจ้านายของเขาอย่างรู้สึกแปลกใจ ‘ชายหนุ่มผู้มีสายตาหยาดเยิ้มอยู่นี้ ใช่เจ้านายของตนจริงๆ ใช่หรือไม่’
“นายท่านขอรับ ท่านมองอะไรอยู่หรือขอรับ” เหลยอันมองดูผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ไปมาอยู่ด้านล่าง จนไม่อาจรู้ได้ชัดเจนว่าเฉียวเทียนช่างกำลังมองอะไรอยู่กันแน่
ชายหนุ่มหันมามองคนข้างๆ ก่อนเอ่ยถาม “เจ้ามีปัญหาอะไรงั้นรึ”
คอของเหลยอันแข็งเกร็งทันใด และส่ายศีรษะในทันที “ไม่มีขอรับ แต่พี่ใหญ่…”
“ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความหรอก” เฉียวเทียนช่างตัดบทอีกฝ่าย โดยไม่รอให้เขาพูดจบ “เจตนาของข้าต่อคนๆ นั้นมันชัดเจนแล้ว เหลยอัน เจ้าและคนอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องตามหาข้าอีกต่อไป ที่จริงแล้ว การใช้ชีวิตเช่นนี้ก็ไม่แย่นัก”
เหลยอันจ้องมองพี่ใหญ่ของตนอย่างไม่อยากเชื่อ “พี่ใหญ่ ท่านอยากใช้ชีวิตเป็นนายพรานธรรมดาๆ ตลอดไปเช่นนั้นหรือขอรับ”
ทันใดนั้น เฉียวเทียนช่างก็หันไปมองร่างของหญิงสาวเบื้องล่าง แล้วชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาบางๆ “เป็นนายพรานเช่นนี้ก็ไม่เลวนี่” อย่างน้อยเขาก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข ไม่ต้องพบเจอกับกลอุบายหรือแผนการล่อลวงใดๆ อีก
เหลยอันเม้มปากขณะจ้องมองเฉียวเทียนช่าง เขารู้ดีว่าตนเองไม่อาจโน้มน้าวใจของชายหนุ่มให้กลับไปได้
หนิงเมิ่งเหยาผู้กำลังชื่นชมบรรดาโคมไฟตรงด้านล่างอยู่นั้น ก็สัมผัสได้ถึงสายตาอันอบอุ่นที่จ้องมองมาจากที่ใดสักแห่ง นางจึงเงยหน้ามองตามสัญชาตญาณ แต่กลับไม่พบอะไร
หญิงสาวกะพริบตาอย่างคลางแคลงใจ แล้วหยางเล่อเล่อก็ดึงตัวนางก่อนจะพาวิ่งไปด้านหน้าเพื่อชมการแสดง
ขณะนั้นเอง เฉียวเทียนช่างกำลังแอบอยู่หลังหน้าต่าง เมื่อพวกนางจากไปแล้ว ดวงตาของชายหนุ่มฉายประกายแห่งความสุขใจออกมา ‘สัญชาตญาณของนางช่างแม่นยำเสียจริง’
เหลยอันมองพี่ใหญ่อย่างแปลกใจ จากท่าทางเมื่อครู่นี้ของเฉียวเทียนช่าง เขาจึงกล้าฟันธงเลยว่าอีกฝ่ายกำลังหลบซ่อนตัวจากใครบางคนอยู่
“พี่ใหญ่ มีอะไรเช่นนั้นหรือขอรับ”
“ไม่มีอะไรหรอก เจ้าควรกลับไปเสีย และอย่ามาคุยเรื่องนี้กับข้าอีก อีกอย่าง ข้าบอกเขาไปแล้วว่าหากที่นั่นไม่มีสงคราม ข้าก็จะไม่กลับไป”
ร่างกายของเหลยอันโอนเอนไปด้านหลัง พร้อมกับเบิกตากว้างขณะมองเฉียวเทียนช่าง
‘ถ้าไม่มีสงคราม เขาจะไม่กลับไปเช่นนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้น หากต่อจากนี้ไป ไม่เกิดสงครามขึ้นเลยสักครั้ง เขาก็จะไม่กลับไปตลอดชีวิตเลยหรือ’
“พี่ใหญ่ขอรับ ท่าน…”
“เหลยอัน อย่าพูดเรื่องนี้ให้มากความเลย” เฉียวเทียนช่างหมุนตัวเพื่อจากไป
เหลยอันมองตามหลังชายหนุ่มแต่ไม่ได้เดินตามไป เขาเคยคิดมาตลอดว่าพี่ใหญ่ผู้นี้เพียงแค่ต้องการจะพักผ่อนเพื่อทำใจสักพัก แล้วจะกลับไปเอง
แต่ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ว่าความคิดของตนช่างไร้เดียงสานัก ดูเหมือนว่าตระกูลนั้นได้ทำร้ายจิตใจพี่ใหญ่อย่างสาหัส จนเขาไม่อยากจะกลับไปอีก
หลังจากเฉียวเทียนช่างลงมาจากหอกลั่นเหล้าองุ่นแห่งนี้ ชายหนุ่มก็ไปยังที่ที่หนิงเมิ่งเหยาไป ก่อนจะทอดสายตามองหญิงสาวจากระยะไกล เมื่อเห็นว่านางกำลังพูดคุยบางอย่างกับหยางเล่อเล่ออยู่นั้น เขาก็ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม
หยางเล่อเล่อและชิงเสวี่ย รวมถึงคนอื่นๆ วิ่งไปด้านหน้า ก่อนจะทิ้งหนิงเมิ่งเหยาไว้ตามลำพัง
จังหวะนั้นเอง ผู้คนเริ่มหนาแน่นขึ้น และผลักนางจนเกือบหกล้มไป
ท่ามกลางฝูงชนจำนวนมากเหล่านี้ หนิงเมิ่งเหยาพยายามอย่างมากที่จะทรงตัวไม่ให้สะดุดล้ม
“ระวังตัวหน่อยสิ”
หนิงเมิ่งเหยางุนงงเมื่อได้ยินเสียงนั้นดังขึ้นข้างๆ หู ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพบกับเจ้าของเสียง
“มีผู้คนหลั่งไหลกันมามากมายนัก เจ้าควรระวังตัวให้มากกว่านี้นะ” เฉียวเทียนช่างรู้สึกว่าผู้คนพากันเดินเบียดเสียดมาทางจุดที่พวกเขายืนอยู่ จึงเลี่ยงฝูงชนเหล่านั้นและเดินไปข้างๆ แทน
ใบหน้าของหนิงเมิ่งเหยามีสีชมพูระเรื่อ “เอ่อ…พี่ใหญ่เฉียว ขอบคุณมาก”
ชายหนุ่มมองหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเบี่ยงหน้าออก และเห็นร้านค้าเล็กๆ ร้านหนึ่ง “ไปนั่งตรงนั้นก่อนเถอะ ตรงนี้มีคนเยอะเกินไป”
“ตกลง” หนิงเมิ่งเหยาดึงมือกลับอย่างเขินอาย ก่อนจะเดินตามไป
“พี่ใหญ่เฉียว ท่านมางานวันนี้ด้วยรึ” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างฉงนใจ ปกติแล้วเทศกาลโคมไฟดอกไม้เช่นนี้ มักจะมีแต่เหล่าหญิงสาวมาเดินเล่น ส่วนบรรดาชายหนุ่มนั้นมีจำนวนน้อยมาก
หลังจากถามเสร็จ หนิงเมิ่งเหยาก็เพิ่งรู้ตัวว่า…ตนไม่ควรเอ่ยไปเช่นนั้น
“ข้าจะไปหาสหายคนหนึ่งน่ะ เขามาวันนี้พอดี” เฉียวเทียนช่างอธิบายอย่างแผ่วเบา พลางมองหญิงสาวซึ่งกำลังมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ
หนิงเมิ่งเหยาร้อง ‘อ้อ’ และไม่พูดอะไรต่อ ก่อนจะสั่งของว่างมาทานแทน
เมื่อหญิงสาวมองหน้าเฉียวเทียนช่างผู้ส่งสายตาแปลกๆ มาให้ จู่ๆ นางก็รู้สึกแปลกไป แม้ว่าแท้จริงแล้วนั้น นางไม่ควรรู้สึกเช่นนั้นเลยก็ตาม
…………………………………..
บทที่ 90 ไปด้วยกันเถอะ
เฉียวเทียนช่างจ้องมองหญิงสาวขณะหยิบตะเกียบมาคู่หนึ่ง ทำให้หนิงเมิ่งเหยาซึ่งกำลังลังเลว่าจะกินหรือไม่กินดีอยู่นั้น ถึงกับต้องหลุดขำออกมา
“เราสองคนอยู่ด้วยกันบ่อยครั้งนัก แล้วทำไมคราวนี้เจ้าถึงต้องเขินอายขนาดนั้นด้วยเล่า ดูหน้าเจ้าสิ แดงราวกับผลแอปเปิ้ลเชียว!” เฉียวเทียนช่างหัวเราะ
หนิงเมิ่งเหยามองชายหนุ่มอย่างอึดอัดใจ นางสนิทสนมกับเขาก็จริง แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดคราวนี้เมื่อตอนอยู่กับเขาแล้ว นางถึงรู้สึกประหม่าได้
“เปล่านี่ ข้าอยากไปตามหาเล่อเล่อกับคนอื่นๆ แล้ว” หนิงเมิ่งเหยาไม่ได้ทานของว่างตรงหน้า ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวจากไป
หญิงสาวย่างเท้าเดินยังไม่ถึงสองก้าว ชายหนุ่มก็คว้าตัวนางไว้
“ถ้าเช่นนั้น เราไปด้วยกันเถิด”
หนิงเมิ่งเหยาเงยหน้ามองชายหนุ่มตรงหน้าพลางกะพริบตาปริบๆ อย่างตกตะลึง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “หมายความเช่นไรกัน”
เฉียวเทียนช่างก้มหน้า ก่อนจะจ้องเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว “ข้าคิดว่า ท่าทีของข้านั้นแสดงออกมาชัดเจนแล้ว”
หนิงเมิ่งเหยามองชายหนุ่มอย่างงุนงง ดวงตาของนางบ่งบอกถึงความตกใจ ‘นี่…นี่มันมีความหมายอย่างไรกัน’
“ข้า…เจ้า…”
“ชู่ อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย เราไปเดินเล่นกันดีกว่า” เฉียวเทียนช่างดึงมือของหญิงสาวไปด้านหน้า
หนิงเมิ่งเหยายังคงมึนงง ไม่ใช่ว่าหญิงสาวจะไม่เข้าใจนัยยะที่เฉียวเทียนช่างเอ่ยออกมา แต่เพราะนางไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์มันกลับตาลปัตรเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน
“รอเดี๋ยวก่อน พี่เฉียว” หญิงสาวชะงักฝีเท้าและจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้
ชายหนุ่มหันหน้ามามอง “อะไรรึ”
“คำพูดก่อนหน้านี้ของท่าน หมายความว่าอะไรกันแน่”
“ปกติแล้วเจ้าเป็นคนเฉลียวฉลาด ทำไมตอนนี้ข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าช่างซื่อบื้อยิ่งนัก หากพูดง่ายๆ เลยก็คือข้าชอบเจ้า ทีนี้เข้าใจหรือยัง” เฉียวเทียนช่างก้มศีรษะ จนหน้าผากของตนเองสัมผัสกับหน้าผากของหญิงสาว ก่อนจะกระซิบกระซาบด้วยเสียงทุ้มต่ำ
หนิงเมิ่งเหยาจ้องมองชายหนุ่มที่เข้ามาใกล้เธอ และเห็นแววตาจริงจังของเขา
“ข้า…ไม่เข้าใจ”
เฉียวเทียนช่างตะลึงงัน ก่อนจะมองหญิงสาวอย่างไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะดี “ไม่เป็นไรหรอก ข้าจะรอวันที่เจ้าเข้าใจแล้วกัน”
ความรู้สึก ณ ตอนนี้ของหนิงเมิ่งเหยาซับซ้อนเกินจะอธิบาย หลังจากที่หญิงสาวตัดสายใยกับหลิงหลัว และออกมาจากเมืองหลวงนั้น นางก็คิดว่าตนเองจะเข็ดหลาบกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง แต่ทว่านางกลับรู้สึกมีความสุขเมื่อได้ยินว่าเฉียวเทียนช่างบอกชอบนาง
หนำซ้ำ หัวใจของนางยังเรียกร้อง…ว่าอยากจะอยู่ร่วมกันกับเขาอีกด้วย
แม้ว่าหนิงเมิ่งเหยาจะรู้จักกับชายหนุ่มไม่นานนัก แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่คนประเภทที่จะกดขี่ข่มเหงผู้หญิง เพราะจากการที่ได้พูดคุยสนทนากันหลายต่อหลายครั้ง เขามักให้เกียรตินางเสมอ
หนิงเมิ่งเหยาอยากทำอะไร เฉียวเทียนช่างก็จะคอยช่วยเหลือตลอด อย่างตอนที่จะหมักเหล้าองุ่นนั้น ชายหนุ่มก็หาองุ่นมาให้ ไม่ว่าเขาจะหาองุ่นจากบนภูเขามาได้มากแค่ไหน เขาก็จะเอากลับไปให้หญิงสาวมากเท่านั้น แม้ว่านางจะบอกว่ามีองุ่นเพียงพอแล้ว แต่ทุกครั้งที่กลับลงมาจากบนภูเขา เฉียวเทียนช่างก็ยังคงนำองุ่นมาให้นางจนเต็มกระเป๋าอยู่ดี
นอกจากนี้ เวลาหนิงเมิ่งเหยาทำกับข้าว ชายหนุ่มก็จะช่วยนางเก็บผักมาล้างทำความสะอาด และยังช่วยจุดไฟเตาถ่านอีกด้วย
คนยุคสมัยโบราณมักจะพูดกันว่าชายหนุ่มควรอยู่ให้ห่างจากห้องครัวเข้าไว้ แต่สำหรับเฉียวเทียนช่างนั้นกลับไม่ยอมทำเช่นนั้น และยังรู้สึกมีความสุขที่ได้เรียนรู้วิธีการทำอาหารจากหญิงสาวผู้นี้อีกต่างหาก
ตอนที่หนิงเมิ่งเหยาอยู่กับหลิงหลัวนั้น ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นเลยสักครั้ง เขาไม่เคยแม้แต่จะช่วยนางจุดไฟเตาถ่านด้วยซ้ำ
เมื่อเปรียบเทียบชายหนุ่มทั้งสองคนแล้ว จิตใจของหญิงสาวก็เอนเอียงไปทางเฉียวเทียนช่างมากกว่าอีกฝ่าย นอกจากนี้ ชายหนุ่มยังเป็นเพียงบุคคลธรรมดาสามัญ และไม่ได้มาจากตระกูลสูงส่งที่ชอบบงการและวางแผนอีกด้วย
“อุ๊ย!” หนิงเมิ่งเหยามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเองจนไม่เห็นว่าเฉียวเทียนช่างนั้นหยุดเดิน นางจึงกระแทกเข้ากับหน้าอกกว้างของเขาทันที
หญิงสาวจับศีรษะของตนด้วยดวงตาขุ่นเคืองเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองชายหนุ่ม “ท่านหยุดเดินทำไมเนี่ย”
เฉียวเทียนช่างรู้สึกปวดใจเมื่อเห็นว่าหนิงเมิ่งเหยาฉุน จึงเอื้อมมือไปลูบศีรษะของนาง “ที่นี่ขายถั่ว ข้าเลยจะถามเจ้าว่าอยากกินหรือไม่” ใครจะไปรู้ว่านางกำลังเหม่อลอยอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองจนทำให้เดินชนเขาได้
หนิงเมิ่งเหยาหันหน้าไปมอง ก่อนจะเห็นเหอเถา[1]ในนั้น
หญิงสาวเดินไปยังแผงร้านค้าอย่างสนใจ และหยิบเมล็ดถั่วตะปุ่มตะป่ำนั้นขึ้นมา “เจ้าขายมันอย่างไรหรือ”
หนิงเมิ่งเหยามิได้หยิบสิ่งอื่นใด นอกจากเหอเถา ก่อนจะยื่นให้พ่อค้าและถามอย่างใคร่รู้
พ่อค้าเกาศีรษะของตนอย่างอึกอัก “ถั่วนั่นรสชาติอร่อยนะ แต่แกะเปลือกยากหน่อย หากแม่นางชอบ ก็เชิญเลือกหยิบได้เลย”
[1] วอลนัท