บทที่ 91 ข้ายอมทำทุกสิ่งตามที่เจ้าปรารถนา + บทที่ 92 เจ็บปวดใจอย่างยิ่ง

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 91 ข้ายอมทำทุกสิ่งตามที่เจ้าปรารถนา + บทที่ 92 เจ็บปวดใจอย่างยิ่ง Ink Stone_Romance

ดวงตาของหนิงเมิ่งเหยาเปล่งประกายขณะมองเหอเถาน้ำหนักประมาณ 3-4 จินนั้น (1 จิน = ครึ่งกิโลกรัม) “ข้าขอเหมาทั้งหมดเลย รับเงินนี่ด้วยเถิด” หญิงสาวยื่นเงินจำนวนสามสิบอีแปะ แต่พ่อค้ากลับมองว่ามันมากเกินไป

“แม่นาง ถั่วชนิดนี้ราคาไม่ได้สูงขนาดนั้นหรอก”

หนิงเมิ่งเหยาโบกมือก่อนตอบ “หากข้าบอกว่ามันราคาเท่านี้ มันก็ต้องราคาเท่านี้สิน่า”

เฉียวเทียนช่างรับถุงเหอเถานั้นมาถือไว้โดยไม่ต้องบอก ก่อนจะกุมมือของหญิงสาว จากนั้นชายหนุ่มก็อมยิ้ม

เมื่อเดินออกจากร้านขายถั่วมา หนิงเมิ่งเหยามองดูมือของชายหนุ่มที่ถือถุงถั่วไว้ หญิงสาวชอบกินเหอเถา อย่างมาก นางอยู่ที่นี่มานานจนลืมคิดที่จะขอให้ใครสักคนช่วยหาซื้อมาให้ ดังนั้นเมื่อนางพบมันเข้า จึงอยากซื้อในทันที

เฉียวเทียนช่างปล่อยมือของหนิงเมิ่งเหยาอย่างไม่มีทางเลือก และหยิบเหอเถาออกมาสองเม็ดจากในถุง ก่อนจะบีบมันด้วยฝ่ามือของตนเอง

โดยปกติแล้ว ผู้คนมักจะใช้ก้อนหินกะเทาะเปลือกของเหอเถาออก แต่แรงบีบของชายหนุ่มก็ทำให้เกิดเสียงแตกของถั่วดังออกมา และเมื่อมองดูบนฝ่ามือก็พบว่าเปลือกของถั่วทั้งสองนั้นแยกออกจากกันเป็นที่เรียบร้อย จนเผยให้เห็นเนื้อถั่วภายใน

เฉียวเทียนช่างหยิบเมล็ดถั่วไปวางในมือของหนิงเมิ่งเหยา เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังคงอยากกินอีก ชายหนุ่มจึงคว้ามือของนางมาจับไว้อีกครั้ง แล้วเดินไปยังร้านน้ำชาใกล้ๆ ก่อนจะสั่งน้ำชาพร้อมกับของว่าง จากนั้นจึงแกะเปลือกเหอเถาให้นางกินต่อ

หนิงเมิ่งเหยาหรี่ตาลงมองเฉียวเทียนช่าง ทันใดนั้นหญิงสาวก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วการอยู่กับชายหนุ่มผู้นี้ก็ไม่แย่นัก

อย่างน้อย เวลากินเหอเถา นางก็ไม่จำเป็นต้องกะเทาะเปลือกออกเอง

“เจ้าอยากกินอีกหรือไม่”

“พอแล้ว เก็บไว้กินขากลับดีกว่า”

“ตกลง”

“พี่เฉียว ท่านบอกว่าท่านชอบข้าใช่หรือไม่” ขณะนั้นเอง หนิงเมิ่งเหยาก็กำลังไตร่ตรองเรื่องนี้ และคิดว่าควรจะพูดกับชายหนุ่มให้ชัดเจน

เฉียวเทียนช่างผงะไป ก่อนจะพยักหน้าพลางตอบกลับ “ใช่แล้ว”

“ข้าไม่ขออะไรมาก แค่อย่าหักหลังกันก็พอ” หญิงสาวมองตาชายหนุ่มขณะพูดขึ้น

“หืม”

“ในการใช้ชีวิตร่วมกันนี้ จะมีเพียงเราสองคนเท่านั้น จะต้องไม่มีอนุภรรยาหรือชู้รักคนอื่นๆ”

เฉียวเทียนช่างมองหน้าหญิงสาว และก่อนที่นางกำลังจะยอมแพ้อย่างสิ้นหวังนั้น เขาก็หัวเราะขึ้น “ไม่ว่าเจ้าจะต้องการอะไร ข้าจะทำตามทุกอย่าง อีกอย่าง ข้าเองก็ไม่ชอบการมีภรรยาหลายคนเช่นกัน”

เขาเคยเห็นผู้ชายจำนวนนับไม่ถ้วนมีภรรยา และอนุภรรยามากมาย ทั้งยังเอือมระอากับการต้องทนเห็นการทะเลาะเบาะแว้ง และความขัดแย้งต่างๆ ชายหนุ่มจึงไม่ฝักใฝ่ที่จะมีภรรยาและอนุภรรยาหลายคนเลย ยิ่งไปกว่านั้น พวกผู้ชายที่ต้องการมีภรรยาและอนุภรรยาหลายคน ต่างเพียงต้องการจะสนองตัณหาของตนเองก็เท่านั้น

หากคนๆ หนึ่งรักใครสักคนอย่างแท้จริง แล้วเขาคนนั้นจะอยากแต่งงานกับคนอื่นๆ อีกมากมาย จนทำให้คนที่ตนเองรักต้องรู้สึกเสียใจได้เช่นไรกัน

“ข้าไม่อาจเอ่ยคำสวยหรูใดๆ แต่ข้าบอกได้เพียงว่า ผู้ชายคนอื่นๆ อาจจะอยากมีภรรยาและอนุภรรยาหลายคน แต่ไม่ใช่สำหรับข้า หนำซ้ำข้ายังรังเกียจพฤติกรรมเหล่านั้นอีกด้วย ทั้งนี้ เพราะข้าเติบโตมาในบรรยากาศรอบข้างเช่นนั้นนั่นเอง” เฉียวเทียนช่างไม่อาจพูดอะไรต่อหน้าหนิงเมิ่งเหยาได้มากนัก

ในตอนนี้ ชายหนุ่มอยากปักหลักอยู่ที่นี่จริงๆ และพร้อมจะยอมแลกทุกสิ่งที่ตนเองเคยมีมา เพื่อจะได้มีชีวิตที่เรียบง่ายในหมู่บ้านอันห่างไกลแห่งนี้

หนิงเมิ่งเหยามองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ ‘เขาเป็นนายน้อยตระกูลใดรึ หรือว่าเขาเป็นบุตรชายของอนุภรรยากัน’

“ก่อนที่ท่านแม่ของข้าจะพบกับท่านพ่อ นางหมั้นหมายกับคนรักในวัยเด็กของนางอยู่ก่อนแล้ว แต่เพราะความเห็นแก่ตัวของท่านพ่อ ตระกูลทั้งสองจึงถูกทำลายจนป่นปี้ รวมถึงตระกูลของท่านแม่ด้วย นางจากไปตอนข้าอายุห้าขวบ จากนั้นคนในตระกูลต่างมองข้าอย่างรังเกียจ และเห็นข้าเป็นเหมือนหนามยอกอกพวกเขา” หากเฉียวเทียนช่างไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับเซียวฉีเทียนและคนอื่นๆ ตั้งแต่ยังเยาว์วัย สมาชิกในตระกูลคนอื่นๆ ก็คงจะต่อต้านชายหนุ่มอย่างเปิดเผยไปแล้ว และเขาอาจจะไม่ได้มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ก็ได้

หนิงเมิ่งเหยาได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกเศร้าใจอย่างยิ่ง ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเฉียวเทียนช่างจึงเป็นคนเย็นชา และแปลกแยกจากคนอื่น รวมทั้งไม่สนใจสิ่งต่างๆ รอบตัวเลย

“ข้าเข้าใจแล้ว”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไรหรือ จึงเอ่ยออกมาว่า ‘เข้าใจแล้ว’ เช่นนั้นได้” ชายหนุ่มหยอกล้อหญิงสาวเล็กน้อย เมื่อเห็นว่านางพยายามแสดงออกว่าเข้าใจถึงความรู้สึกนั้น

หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่างอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะก้มหน้าลงโดยไม่ตอบคำถามใดๆ

“หลังจากวันปีใหม่สิ้นสุดลง เรามาหมั้นหมายกันเถอะ” ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมา นั่นทำให้หญิงสาวตกใจ

“ท่านพูดว่าอะไรนะ”

“เราหมั้นหมายกันเถอะ”

“ทำไมต้องรีบร้อนด้วยเล่า” หนิงเมิ่งเหยาอ้าปากค้าง มิใช่ว่าพวกเขาเพิ่งจะรู้ใจกันหรอกหรือ แล้วทำไมจู่ๆ ถึงกระโดดไปคุยถึงเรื่องการหมั้นหมายเสียได้ ช่างรีบเร่งอะไรปานนี้

เฉียวเทียนช่างเงียบขณะมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยรอยยิ้มอย่างคนมีความรัก หญิงสาวช่างโดดเด่นไม่เหมือนใคร จนเขาอยากจะทำทุกวิถีทางให้นางมาอยู่เคียงข้าง มิเช่นนั้นหากในอนาคตมีใครคนอื่นคว้าตัวนางไปแทน เขาคงร่ำร้องกับสิ่งที่ตนเองไม่อาจทำอะไรได้เลย

ขณะที่หนิงเมิ่งเหยากำลังจ้องมองมานั้น ในที่สุด เฉียวเทียนช่างก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “มันเป็นเพียงการหมั้นหมายไว้ก่อนเท่านั้นเอง”

บทที่ 92 เจ็บปวดใจอย่างยิ่ง

หนิงเมิ่งเหยาเอียงศีรษะขณะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าหากตอบตกลงในเรื่องนี้นั้น ก็มิได้ทำให้เกิดปัญหาหรือเรื่องแย่ๆ ขึ้น อีกทั้งชายหนุ่มก็ไม่ได้บอกว่าอยากจะแต่งงานในทันทีเสียเมื่อไหร่ จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

“ตกลง”

เฉียวเทียนช่างพอใจกับคำตอบของนางและไม่เซ้าซี้ถามต่อ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง รวมทั้งแผนในอนาคตที่อยากจะใช้ร่วมกันกับหญิงสาวอีกด้วย

อย่างเช่น ชายหนุ่มตัดสินใจว่าจะไม่กลับไปยังที่ที่เขาจากมา และจะตั้งหลักปักฐานในหมู่บ้านไป๋ซานแห่งนี้อย่างถาวร นอกจากนั้นเขายังตั้งใจจะสร้างบ้านติดกับบ้านของหนิงเมิ่งเหยาภายในปีหน้าอีกด้วย เผื่อว่าในอนาคต บ้านทั้งสองหลังนี้จะสามารถเชื่อมรวมกันเป็นหลังเดียวได้นั่นเอง

หนุ่มสาวทั้งสองออกจากร้านน้ำชาในช่วงดึก หลังจากที่ผู้คนด้านล่างเริ่มแยกย้ายกันกลับไปแล้ว

เฉียวเทียนช่างมิได้เดินตามหนิงเมิ่งเหยาไป เขาบอกหญิงสาวเพียงว่าตนเองจะเดินทางกลับพร้อมกับกลุ่มของนางในวันรุ่งขึ้น แล้วจึงเข้าไปพักผ่อนในโรงแรมแห่งหนึ่งแทน

เมื่อหนิงเมิ่งเหยากลับมา หยางเล่อเล่อนั้นมาถึงอยู่ก่อนแล้ว นางส่งยิ้มให้ โดยมิได้กังวลว่าทำไมหญิงสาวจึงกลับมาถึงดึกเช่นนี้

“เจ้ากลับมาช้าเชียวนะ” หยางเล่อเล่อยิ้มกว้างขณะมองดูหนิงเมิ่งเหยา ถึงเวลาจะต้องเอาคืนบ้างแล้ว

“เจ้าก็พูดได้สิ พวกเจ้าทิ้งข้าเอาไว้นี่” หญิงสาวตอบพลางแสร้งทำท่าโกรธเคือง และหรี่ตามองอีกฝ่าย

หยางเล่อเล่อยิ้มพร้อมกับถูจมูกของตนเองอย่างเก้อเขิน “ข้าผิดเองแหละ อย่าโมโหไปเลย”

หนิงเมิ่งเหยามองดูเด็กสาว “ข้าไม่มีเวลามาโกรธเจ้าหรอก ข้าเหนื่อยแล้ว และจะขอตัวไปอาบน้ำเข้านอนก่อน”

“ข้าเองก็เช่นกัน” หยางเล่อเล่อเดินตามไป และกลับเข้าห้องของตนเองไป

รุ่งเช้า เฉียวเทียนช่างมาหาตามที่บอกไว้ ชิงเซวียนเปิดประตูให้ชายหนุ่มเข้ามา ก่อนจะมองดูเขา

หนิงเมิ่งเหยาเขินอายเล็กน้อยเมื่อเห็นเฉียวเทียนช่างมา “พี่ใหญ่เฉียว มาแล้วหรือ”

“ใช่แล้ว อีกประเดี๋ยว เรากลับด้วยกันเถิด”

“ได้”

หยางเล่อเล่อมองหนิงเมิ่งเหยา ก่อนจะหันมองเฉียวเทียนช่าง จากแววตาอันลึกซึ้งที่ทั้งสองคนมีต่อกันนั้น ทำให้เด็กสาวรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างหนุ่มสาวคู่นี้

หยางเล่อเล่อมองดูหญิงสาวด้วยนัยน์ตาราวกับกำลังพูดว่า ‘บอกข้ามาเสียดีๆ’

หนิงเมิ่งเหยาก้มหน้าลง และแกล้งทำเป็นไม่เห็นแววตาใคร่รู้ของอีกฝ่าย ก่อนจะเริ่มพูดคุยกับเฉียวเทียนช่างเรื่องโรงงานแทน

หลังจากโดนเมินเฉยอยู่พักหนึ่ง หยางเล่อเล่อก็เริ่มทนไม่ไหว จึงพูดขึ้นต่อหน้าทั้งคู่ว่า “นี่ พวกเจ้าทั้งสองคน อย่าทำเหมือนกับลืมว่าข้ายังหายใจและมีชีวิตอยู่ตรงนี้สิ”

หนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างยิ้มให้กัน ก่อนที่หญิงสาวจะเป็นฝ่ายละสายตา จากนั้นจึงเอ่ยตอบหยางเล่อเล่อ “เอาเถอะ กินข้าวกันดีกว่า หลังจากกินเสร็จแล้ว พวกเราจะเดินทางกลับกันเลย”

“เข้าใจแล้ว” หยางเล่อเล่อหยุดเซ้าซี้ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างตั้งใจ

หลังจากทานอาหารกันเสร็จ ทุกคนจึงเก็บสัมภาระและเตรียมตัวจะเดินทางกลับ และขณะที่พวกเขากำลังจะออกเดินทาง ก็พบกับหยางชุ่ย

เห็นได้ชัดว่าหลายวันที่ผ่านมานั้น นางดูไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากใบหน้านั้นซีดเซียวเหลือเกิน

เมื่อหยางชุ่ยเห็นพวกเขา ดวงตาของนางก็จับจ้องเฉียวเทียนช่างทันที แต่แล้วคำเตือนจากพี่ชายและพี่สะใภ้ของนางก็ดังก้องอยู่ในใจ

นางเข้าใจคำพูดที่พวกเขาบอกเป็นอย่างดี แต่ไม่อยากจะเก็บเอามาใส่ใจ

หยางชุ่ยรู้จักเฉียวเทียนช่างมาสักพักหนึ่ง และระยะเวลานั้นก็ไม่ได้น้อยกว่าหนิงเมิ่งเหยาเลย แล้วเหตุใดชายหนุ่มจึงไม่เหลียวมองนางสักนิด แต่กลับไปสนใจนังแพศยานั่นแทน

นางรับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดๆ ก็ตาม

แต่ตอนนี้หยางชุ่ยไม่อาจทำอะไรได้ เพราะหากนางสร้างปัญหาในเมืองนี้อีก นอกจากพี่ชายคนโตกับภรรยาของเขาจะไม่ยอมปล่อยนางไปแล้ว พี่ชายคนรองก็คงไม่เว้นชีวิตนางด้วยเช่นกัน

ในครั้งนี้ หยางชุ่ยไม่อยากมีปัญหากับตระกูลของตัวเอง นางจึงคอยมองดูชายหญิงทั้งสองคนเดินเคียงคู่กัน แล้วจะไม่ให้นางรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวได้เช่นไรเล่า

หยางชุ่ยมองเฉียวเทียนช่างเดินทางกลับพร้อมหนิงเมิ่งเหยาจนภาพนั้นพร่าเบลอไป ในที่สุดนางก็หมุนตัวกลับเช่นกัน

ในช่วงเวลานี้หยางชุ่ยจำต้องอดทนไปก่อน แต่สักวันหนึ่ง นางจะต้องทำให้หนิงเมิ่งเหยาคุกเข่าลงต่อหน้า พร้อมกับร้องขอความเมตตาจากนางอย่างแน่นอน

หยางชุ่ยกลับไปยังร้านของพี่ชายอย่างไม่มีความสุขนัก หยางชู่เห็นสีหน้าของน้องสาวจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นรึ เจ้าบอกว่าจะไปข้างนอกสักครู่นี่”

“ไม่มีอะไรหรอก”

หยางชู่คิดในใจ ‘แม้ว่าภายนอกเจ้าจะดูไม่เป็นไร แต่ข้าบอกได้ว่าเจ้ากำลังรู้สึกทุกข์ใจเพราะอะไรบางอย่าง เจ้าบอกว่าเจ้าสบายดีเช่นนั้นหรือ แล้วทำไมต้องร้องไห้คร่ำครวญตลอดช่วงเช้าวันนี้ด้วย เรายังมีงานให้ต้องจัดการดูแล หากลูกค้าหวาดกลัว และหนีหายไปกันหมดจะทำเช่นไรเล่า’

“พี่ใหญ่ ข้าจะไปพักก่อนนะ” หยางชุ่ยไม่สนใจท่าทีของผู้เป็นพี่ชาย และรู้ดีว่าเขากำลังคิดอะไร ดังนั้นนางจึงก้มศีรษะลงต่ำและเดินอ้อมไปด้านหลัง

หลังหยางชุ่ยจากไป ฮูหยินซุนก็ออกมาจากด้านหลังพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ไม่ดีเลยที่น้องสะใภ้เป็นเช่นนี้”