ตอนที่ 59 จิตไร้มลทิน
ขณะที่การประลองของศิษย์ทั้งสองสำนักเป็นไปด้วยความดุเดือด
แต่ดินแดนจิตแห่งหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอย่างเมืองเสี่ยวฉือ กลับมิมีสิ่งใดแปลกไปแม้แต่น้อย ชาวบ้านสองร้อยกว่าคนในเมืองยังคงใช้ชีวิตกันตามปกติ
แต่หลายวันมานี้บางคนเริ่มสังเกตเห็นว่าที่เรือนเล็ก ๆ ที่ท่านเย่อาศัยอยู่นั้น มักจะมีเสียงพิณอันไพเราะดังออกมาอยู่บ่อยครั้ง
ตามปกติแล้ว ท่านเย่จะดีดพิณในยามพลบค่ำของทุกวันเท่านั้น แต่หลายวันมานี้ตั้งแต่ฟ้าสางก็มักจะมีเสียงพิณดังแว่วออกมา และดังขึ้นอีกครั้งช่วงหลังเที่ยงวันจวบจนพลบค่ำ
แต่เนื่องด้วยท่านเย่อาศัยอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือมานานหลายปี ชาวบ้านในเมืองเสี่ยวฉือต่างก็ได้ยินเสียงพิณของท่านเย่จนจำได้ เช่นนั้นเพียงแค่ได้ฟังพวกเขาก็รับรู้ได้ทันทีว่า เสียงพิณนี้มิใช่ท่านเย่เป็นคนบรรเลงอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้เหล่าชาวเมืองต่างก็เดาได้ว่า ต้องมีแขกมาที่บ้านของท่านเย่เป็นแน่
ยามพลบค่ำเมื่อตะวันลับฟ้า หมอกหนาลอยมาปกคลุมเมืองเก่าแก่แห่งนี้อีกครั้ง
แสงอาทิตย์ที่อาบไล้ลงมา สะท้อนให้เมืองเสี่ยวฉือแห่งนี้ดูราวกับเป็นสรวงสวรรค์ที่เงียบสงบ
และแล้วเสียงพิณอันไพเราะนุ่มนวลก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เหล่าชาวบ้านที่ทำงานหนักมาทั้งวัน ต่างกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ที่ลานกลางเมืองเสี่ยวฉือ
ภายในเรือนที่เย่ฉางชิงอาศัยอยู่ในเวลานี้
เย่ฉางชิงกำลังนั่งรินชาอยู่ มิไกลกันนักถานไถชิง เสวี่ยในชุดสีขาวบริสุทธิ์กำลังนั่งดีดพิณอยู่ที่ใต้ต้นหลิว
นิ้วเรียวยาวของนางขยับเป็นจังหวะบ้างก็ช้าบ้างก็เร็ว ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นหลับพริ้ม ใบหน้าต้องสายลมที่โชยมา ผมยาวสลวยพัดพลิ้วปลิวไหว ช่างงดงามจนเกินบรรยาย
เย่ฉางชิงถือถ้วยชาในมือพลางนั่งฟังอย่างสงบ พร้อมกับพยักหน้าและลืมตามองดูถานไถชิง เสวี่ยที่กำลังดีดพิณอยู่เป็นระยะ ๆ
เวลาผ่านไปราว 1 ก้านธูป นิ้วเรียวยาวของถานไถชิง เสวี่ยที่อยู่บนสายพิณก็ค่อย ๆ หยุดลง ในที่สุดเพลงที่บรรเลงอยู่ก็จบลง
“ท่านเย่ เพลงนี้ยังมีจุดบกพร่องอีกหรือไม่เจ้าคะ”
ถานไถชิง เสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองเย่ฉางชิง ใบหน้ากระจ่างใสไร้ริ้วรอยเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบประดับด้วยรอยยิ้มสงบนิ่ง
รอยยิ้มที่งามล่มเมืองได้ ราวกับน้ำแข็งที่หลอมละลาย งดงามจนทำให้ใจสั่นสะท้าน
หารู้ไม่ว่าเทพธิดาอันดับหนึ่งแห่งโลกผู้บำเพ็ญเพียรเช่นถานไถชิง เสวี่ยผู้นี้ จะเผยท่าทางเช่นนี้ออกมาเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่ฉางชิงเท่านั้น
เย่ฉางชิงจิบชาอย่างมิเร่งรีบ ก่อนจะครุ่นคิดและเอ่ยอออกมาว่า “โดยรวมแล้วจังหวะการบรรเลงนับได้ว่ามิเลว แต่ยังขาดความรู้สึกบางอย่างอยู่”
“ขาดความรู้สึกบางอย่างหรือเจ้าคะ ? ”
คิ้วได้รูปของถานไถชิง เสวี่ยขมวดขึ้นเล็กน้อย ก่อนถามด้วยเสียงอันนุ่มนวล “มิทราบว่าขาดความรู้สึกเช่นไรไปหรือเจ้าคะ ? ”
ถานไถชิง เสวี่ยคิดว่าตอนที่ตนบรรเลงเพลงนี้ ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนที่นางจะมาที่นี่หลายเท่านัก เกรงว่าแม้แต่ผู้ที่แตกฉานในวิถีหมากล้อมเช่นอาจารย์ ก็มิอาจจะติติงการบรรเลงของนางได้
แต่ท่านเย่กลับยังพบจุดบกพร่องได้
แน่นอนว่านางมิได้สงสัยในตัวของปรมาจารย์ที่สุภาพและสง่างามตรงหน้า แต่เพราะความแตกฉานในด้านดนตรีของปรมาจารย์ท่านนี้สูงส่งเกินไป
สูงส่งจนทำให้นางเกิดความสงสัย ว่าชั่วชีวิตนี้นางจะมีโอกาสสำเร็จได้หนึ่งในสิบของท่านเย่หรือไม่
อีกทั้งด้วยการชี้แนะอย่างจริงใจของท่านเย่ ทำให้ภายในเวลาเพียงมิกี่วัน ฝีมือของนางนั้นก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ความแตกฉานในด้านดนตรีของนางเรียกได้ว่าพัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่งแล้วก็ว่าได้
“ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามอารมณ์ของผู้บรรเลง”
เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของถานไถชิง เสวี่ย เย่ฉางชิงจึงได้อธิบายให้ฟังอย่างใจเย็นว่า “ข้าอธิบายเช่นนี้ก็แล้วกัน เหมือนกับเวลาที่เจ้าบรรเลงเพลงนี้ เจ้าสนใจจังหวะของมันมากเกินไป ทำให้เพลงที่บรรเลงออกมาแข็งทื่อจนเกินไป”
“เช่นนั้นข้าควรทำเช่นไรหรือเจ้าคะ ? ”
เมื่อได้ยินเย่ฉางชิงเอ่ยเช่นนี้ ถานไถชิง เสวี่ยก็อดที่จะเกิดความฉงนมิได้ สีหน้าของนางตอนนี้เต็มไปด้วยความสงสัย
เย่ฉางชิงจึงเอ่ยว่า “ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามอารมณ์ของผู้บรรเลงที่ข้าพูดถึง ความจริงมิได้ยากอะไร หากต้องการที่จะทำได้จริง ๆ ก็ง่ายนิดเดียว เวลาที่เจ้าบรรเลงเพลงใดก็ตาม เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยไปตามอารมณ์”
‘ปล่อยไปตามอารมณ์ ? ’
‘เป็นการฝึกจิตใจแบบหนึ่งอย่างนั้นหรือ ? ’
‘หรือว่านี่จะเป็นการฝึกจิตใจขั้นสูงสุดของวิถีดนตรีที่อาจารย์เคยกล่าวเอาไว้ จิตไร้มลทิน ? ’
เมื่อได้ยินเย่ฉางชิงเอ่ยเช่นนี้ แม้ถานไถชิง เสวี่ยฟังแล้วจะยังงุนงงอยู่บ้าง แต่สายตาที่มองเย่ฉางชิงนั้นแสดงให้เห็นถึงความเลื่อมใสอย่างจริงใจ
เย่ฉางชิงปรายตามองถานไถชิง เสวี่ยที่ยังคงมีท่าทีงุนงง แล้วจึงลุกขึ้นยืน “เช่นนี้ก็แล้วกัน ข้าจะบรรเลงเพลงนี้ของเจ้าอีกครั้ง เจ้าลองซึมซับความรู้สึกดูก็แล้วกัน”
ถานไถชิง เสวี่ยพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน เพื่อให้เย่ฉางชิงได้มานั่งแทนที่ตน
ส่วนตนก็ไปยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยท่าทีที่เรียบร้อย ราวกับเด็กนักเรียนคนหนึ่ง
ทันทีที่นั่งลงตรงหน้าพิณ เย่ฉางชิงก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สงบจิตใจตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือทั้งสองข้างออกไป เริ่มบรรเลงเพลงที่ถานไถชิง เสวี่ยบรรเลงไปก่อนหน้านี้
มินานเสียงเพลงอันนุ่มนวลก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ณ ลานกลางเมืองเสี่ยวฉือ ชาวบ้านที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ ต่างเงียบไปเล็กน้อยหลังจากได้ยินเสียงพิณ ก่อนจะเริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง
“เสียงพิณเปลี่ยนไปแล้ว ครานี้คงเป็นท่านเย่ที่เป็นคนบรรเลงเป็นแน่”
“ตาซุน คนหยาบกระด้างที่วัน ๆ เอาแต่ฆ่าสัตว์เช่นเจ้า ฟังออกด้วยหรือว่าเพลงไหนที่ท่านเย่เป็นคนบรรเลง ? ”
“ตาจาง เจ้าพูดเช่นนี้อยากมีเรื่องกับข้าหรือไร ข้าเป็นคนหยาบกระด้าง แล้วเจ้ามิใช่หรือเยี่ยงไร ? ”
“อีกอย่าง แม้แต่ข้ายังฟังออก หรือว่าเจ้าฟังมิออกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ฮ่า ๆๆ ตาซุน ดูเจ้าพูดเข้า เดี๋ยวนี้เจ้ามีความอดกลั้นขึ้นนะ ? ”
“แต่จะว่าไปแล้วพวกเราก็ฟังท่านเย่ดีดพิณมาหลายปีแล้ว ต้องพูดว่าท่านเย่เป็นคนเก่งคนหนึ่งจริง ๆ มีความชำนาญทั้งพิณ หมากล้อม อักษรพู่กัน และภาพวาด แต่เหตุใดคนเช่นเขาถึงได้เลือกมาอาศัยอยู่ในที่กันดารและห่างไกลความเจริญเช่นที่นี่กันเล่า ? ”
“เจ้าช่างพูดได้ตรงประเด็นจริง ๆ ข้าว่าคนที่ฉลาดเยี่ยงท่านเย่ หากเข้าสู่วิถีเซียนย่อมเป็นอัจฉริยะในการบำเพ็ญเพียรเป็นแน่ เหตุใดจึงเลือกที่จะอยู่ในเมืองของเรากัน ? ”
“……”
ขณะที่ชาวเมืองกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ที่ลานกว้าง เสียงพิณก็ค่อย ๆ เงียบลงโดยมิทันรู้ตัว
มือทั้งสองข้างของเย่ฉางชิงกดลงที่สายพิณ ก่อนจะเงยหน้ามองถานไถชิง เสวี่ยและเอ่ยถามออกมาว่า “รู้สึกเช่นไรบ้าง ? ”
ถานไถชิง เสวี่ยชะงักงัน ก่อนจะได้สติอีกครั้งและยิ้มออกมาอย่างฝืดเฝื่อน “ท่านเย่ เมื่อครู่ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ”
เย่ฉางชิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นยืนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดเวลา “ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก็แล้วกัน”
ขณะนั้นเองถานไถชิง เสวี่ยก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเย่ ชิง เสวี่ยมาอยู่ที่นี่ได้สักพักหนึ่งแล้ว ข้าวางแผนว่าจะไปจากที่นี่พรุ่งนี้แล้วเจ้าค่ะ”
“จะไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ” เย่ฉางชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
ถานไถชิง เสวี่ยพยักหน้าเบา ๆ หลังจากนั้นจึงหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องที่เย่ฉางชิงจัดให้นางโดยเฉพาะ
มินานนางก็ถือคัมภีร์โบราณเล่มหนึ่งและส่งมันให้กับเย่ฉางชิง
“ท่านเย่ ขอบคุณที่หลายวันมานี้ท่านคอยชี้แนะเจ้าค่ะ”
ถานไถชิง เสวี่ยโค้งคารวะเย่ฉางชิงก่อน หลังจากนั้นก็ได้มอบคัมภีร์โบราณให้แก่เย่ฉางชิง และเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “อักษรในคัมภีร์โบราณเล่มนี้ค่อนข้างเข้าใจยาก แต่ท่านเย่ดูจะมีความรู้ในเรื่องอักษรโบราณมิน้อย เช่นนั้นก่อนจากไป ชิง เสวี่ยอยากมอบคัมภีร์เล่มนี้ให้ท่านเจ้าค่ะ”
เย่ฉางชิงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะรับมาเปิดดูหน้าหนึ่ง
และก็พบว่าตัวหนังสือนั้นเป็นตัวหนังสือโบราณจริง ๆ
แต่มิรู้ว่าเพราะเหตุใดราวกับตัวอักษรโบราณเหล่านี้ จะมีรูปแบบเฉพาะในการอ่าน…