เด็กหนุ่มผู้สง่างามเย็นชาอยู่เสมอแทบจะสบถออกมา

เยี่ยนเฉินก็ยังติดใจอยู่เช่นกัน มองดูกู้ซีจิ่ว “เอาอีกตาหรือไม่?”

กู้ซีจิ่วลุกขึ้นมา เอ่ยหยามว่า “ทำไมข้าเป็นคู่ซ้อมเจ้าด้วย?”

เยี่ยนเฉินพูดไม่ออก ใครเป็นคู่ซ้อมใครกันแน่? เป็นใครกันที่ลากเขามาเป็นเป้าซ้อม?

“กู้ซีจิ่ว เจ้ายังไร้ยางอายได้มากกว่านี้หรือไม่”

“ได้!” กู้ซีจิ่วตอบอย่างซื่อตรงยิ่งนัก จากนั้นก็ยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง “อยากให้ข้าเป็นคู่ซ้อมให้ก็จ่ายมาหนึ่งร้อยหินวิญญาณ!”

เยี่ยนเฉิงตะลึงงัน

สามมุมมองของเขาพังทลายแล้ว!

สุดท้ายแล้ว เยี่ยนเฉินก็ต้านทานลูกอ้อนของหลานไว่หูไม่ไหว ควักหินวิญญาณหนึ่งร้อยก้อนออกมาแลกกับอีกหนึ่งตา อยากหลั่งน้ำตานัก!

ยามต้องจากไปเยี่ยนเฉินก็ละล้าละลัง เมื่อตกอยู่ภายใต้สายตาที่สื่อว่า ‘มีอะไรก็รีบพูด อย่าพิรี้พิไร’ ของกู้ซีจิ่ว ในที่สุดเขาก็ถามออกมาประโยคหนึ่ง “ถังซัมจั๋งคือผู้ใด? เฉิงเหย่าจินคือผู้ใด?”

กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก…

….

นับแต่นั้นเยี่ยนเฉินก็มาซ้อมมือกับสามคนนี้เกือบทุกวัน

เนื่องจากสถานที่ฝึกซ้อมที่กู้ซีจิ่วเลือกแห่งนี้ลึกลับยิ่งนัก คนทั่วไปจะหาที่นี่ไม่เจอ ดังนั้นคนอื่นๆ จึงไม่ทราบ และไม่มีใครมามุงดู

ผ่านไปเช่นนี้อยู่หลายวัน ในที่สุดก็ถึงการจับกลุ่มสู้ครั้งที่สองของชั้นเรียนเมฆาคล้อย

ผลคือ…ผลคือสามคนที่เดิมทีไม่น่าคาดหวังที่สุดกลับพลิกสถานการณ์ไปอย่างสิ้นเชิง กวาดล้างกลุ่มอื่นๆ โดดเด่นทิ่มแทงสายตาฝูงชน

ใครก็นึกไม่ถึงว่าหลานไว่หูของ ‘กลุ่มขี้แพ้’ จะแสดงความสามารถได้ถึงระดับนี้ ตัวไร้ค่ากลายเป็นมือสังหารผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อประสานกระบวนท่ากับกู้ซีจิ่วและเชียนหลิงอวี่ ผู้ใดก็หยุดยั้งไว้ไม่ได้…

ทั้งสามคนชนะการต่อสู้ครั้งนี้อย่างงดงาม เชียนหลิงอวี่เชิดหน้าภาคภูมิ หลานไว่หูยิ่งไปกันใหญ่กระโดดโลดเต้นวนรอบกายกู้ซีจิ่วอยู่หลายรอบ ดึงแขนกู้ซีจิ่วไว้กล่าวว่าต้องจัดงานฉลองใหญ่

งานฉลองย่อมเป็นงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จ หลานไว่หูอยู่ที่นี่เนื่องจากตอนแรกทักษะการเอาตัวรอดไม่สูงนัก ส่วนใหญ่จึงไม่มีรายได้เสริม ได้รับเพียงหินวิญญาณสิบก้อนต่อเดือน และส่วนมากก็ใช้จ่ายไปเกือบหมดแล้ว ดังนั้นนางจึงยากจนข้นแค้น ปกติเป็นเยี่ยนเฉินที่จุนเจือนางอยู่เสมอ

คราวนี้ที่นางกล่าวว่าจะเชื้อเชิญแขกย่อมรับรองไม่ไหวเป็นแน่ โชคดีที่ยังมีเยี่ยนเฉินอยู่ เยี่ยนเฉินก็อารมณ์ดีมากเช่นกัน จึงตกปากรับคำ

ดังนั้น เย็นวันนี้ ณ ชั้นหนึ่งของโรงอาหารสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ซึ่งแต่เดิมเป็นที่กินข้าวของศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาม่วง ได้มีศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยสามคนก้าวเข้ามาอย่างห้าวหาญ มาร่วมโต๊ะที่อยู่ตรงใจกลางและเห็นชัดเจนที่สุด เยี่ยนเฉินเป็นผู้เชิญมา เชิญมาเพื่อเลี้ยงฉลองให้พวกกู้ซีจิ่วทั้งสามคน

เยี่ยนเฉินใจป้ำนัก กล่าวออกมาว่า “วันนี้พวกเจ้าสั่งได้ตามสบายเลย ขอเพียงกินเข้าไปไหว ข้าจะจ่ายทั้งหมดให้เอง”

เขาเพิ่งพูดจบ ก็มีเสียงโห่ร้องยินดีแว่วออกมาจากแขนเสื้อของกู้ซีจิ่ว “ดีเหลือเกิน! คราวนี้ในที่สุดก็ได้กินอิ่มแล้ว! ข้าจะกินเนื้อกวางวิญญาณน้ำแดง เอ็นเสือดาววิญญาณผักกระเทียม…”

หอยตัวหนึ่งกลิ้งออกมา หนูน้อยคนหนึ่งมุดออกมาชี้นิ้วสั่งอย่างยิ่งใหญ่ แทบจะสั่งอาหารขึ้นชื่อทั้งหมดของชั้นมาอย่างละจาน…

เยี่ยนเฉินสีหน้าอึมครึม

อาหารมื้อใหญ่นี้จ่ายไปถึงสองพันแปดร้อยหินวิญญาณ ทำให้เยี่ยนเฉินแทบหมดตัว ทรัพย์สินทั้งหมดที่เขาเก็บหอมรอบริบมาสามปีถูกนำออกมาจ่าย ผลคือยังไม่พอ…

แถมพ่อครัวใหญ่ของที่นี่ก็เคร่งครัดมาก ไม่อนุญาตให้แปะไว้

สุดท้ายเป็นกู้ซีจิ่วที่ทนดูไม่ได้ ออกให้ก่อนหนึ่งพันหินวิญญาณ คนทั้งสี่ถึงปลีกตัวออกมาได้

เยี่ยนเฉินเอ่ยขอบคุณกู้ซีจิ่วเสียงแผ่ว กู้ซีจิ่วโบกมือพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องขอบคุณ” จากนั้นก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้ “นี่เป็นสัญญากู้ยืม เจ้าลงนามก็พอแล้ว”

เยี่ยนเฉินตะลึง เด็กหนุ่มผู้สง่างามเย็นชาอยู่เสมอแทบจะสบถออกมา

แต่โมโหก็ส่วนโมโห เขาไม่มีนิสัยเบี้ยวหนี้ สุดท้ายจึงลงนามตนบนสัญญากู้ยืมแผ่นนั้น ซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่าจะชดใช้หินวิญญาณหนึ่งพันก้อนนี้ภายในสองปี