บทที่ 648 เล็กพริกขี้หนู

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 648 เล็กพริกขี้หนู โดย Ink Stone_Fantasy

นอกจากพลังงานทางจิตของหมายเลข 0 หลิงม่อก็ได้จัดการกลืนกินพลังจิตอันน้อยนิดของอ้ายเฟิงไปด้วย

ในสถานการณ์ที่หมายเลข 0 ยังเอาตัวเองไม่รอด แน่นอนว่าย่อมไม่อาจปกป้องภาชนะอย่างอ้ายเฟิงได้ กระทั่งระหว่างที่มันขัดขืนถึงขั้นสร้างความเสียหายให้ดวงแสงแห่งจิตของเขาด้วยซ้ำ

นั่นกลับทำให้หลิงม่อประหยัดแรงไปหนึ่งเปราะ เขาสามารถทำลายสัญชาตญาณต่อต้านของอ้ายเฟิงได้อย่างง่ายดาย

พลังงานเหล่านี้ล้วนผ่านการถูกทำร้ายมาก่อน หลังจากสูญเสียความสามารถในการขัดขืน กลับดูดกลืนได้ง่ายกว่า และไหลหายไปน้อยกว่า

ทว่าพอพลังงานไหลเข้าสู่ดวงแสงแห่งจิตของหลิงม่อ มันกลับทำให้ดวงแสงแห่งจิตของเขาบีบรัดและหดตัวทันใด

ท่ามกลางอาการปวดหัวอย่างรุนแรง หลิงม่อรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกบีบอัดสมองทั้งเป็นอย่างไรอย่างนั้น

ความทรงจำมากมายผุดขึ้นมาไม่หยุด แม้กระทั่งสิ่งที่เขาแทบจะจำไม่ได้แล้ว ก็ยังถูกขุดออกมาให้เขาเห็นในระหว่างนี้ด้วย

บางทีเวลาอาจผ่านไปแค่สิบวินาทีเท่านั้น แต่ในความรู้สึกของหลิงม่อ เขากลับรู้สึกว่าเวลาได้ผ่านไปหลายเดือนแล้ว

เมื่อเขาได้สติกลับคืนมาพร้อมกับเหงื่อที่ท่วมเต็มหัว สภาพของเขาก็เหมือนกับคนที่เพิ่งจะตะเกียกตะกายออกมาจากในน้ำ

ดวงแสงแห่งจิตที่ผ่านการหดตัว ดูเหมือนจะเล็กกว่าแต่ก่อนถึงหนึ่งรอบ กระทั่งเล็กกว่าดวงแสงแห่งจิตของคนทั่วไปด้วยซ้ำ

แต่พลังงานทางจิตที่อยู่ในนั้น กลับมากกว่าตอนก่อนกลืนกินถึง 1 ใน 5 ส่วน!

แสงสีแดงระยิบแยงตา ซึ่งดูเหมือนเม็ดเพชรพลอยที่ถูกเช็ดคราบฝุ่นออกนั่น ทำให้หลิงม่ออึ้งไปชั่วขณะ

กระแสลมเบาๆ พัดผ่านนอกหน้าต่าง ถึงแม้หลิงม่อจะได้ยินเพียงเสียงที่เบามาก แต่ทันใดนั้นภาพที่เศษกระจกเล็กๆ ลอยมาตามสายลมซึ่งพัดผ่านเข้ามาในบานกระจกแตกๆ ก็ผุดขึ้นมาในสมองหลิงม่อ…

เขาไม่ได้ตั้งใจใช้พลังสัมผัสรู้ แต่ก็รู้ได้เองว่าพวกเย่เลี่ยนอยู่ที่ไหน

ความรู้สึกแบบนี้ ทำเอาหลิงม่อถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ

ทุกอย่างดูสมจริงกว่าเมื่อก่อนมาก เหมือนเมื่อก่อนตัวเขาสำรวจสถานการณ์รอบข้างโดยมีกระจกฝ้ามากั้นขวางไว้หนึ่งชั้น…

ผ่านไปครู่ใหญ่ หลิงม่อค่อยๆ คุ้นเคยกับความรู้สึกอย่างนี้ เขาเริ่มได้สติกลับคืนมาจากความสับสนงุนงง

เขาสะบัดหัวไปมาไล่อาการปวดหนึบที่ศีรษะ และเตรียมจะลุกขึ้นยืน แต่ทันใดนั้นเขาก็ค้นพบสิ่งผิดปกติในสมองของอ้ายเฟิงที่เดิมควรจะว่างเปล่าไร้สิ่งใด

เมื่อกี้ตอนที่ตรวจสอบดูไม่พบอะไร ตอนนี้พอพลังจิตแกร่งขึ้นแล้ว จุดผิดปกตินี้ก็ถูกเขาพบเข้า

หลิงม่อขมวดคิ้วแล้วเพ่งจิตสังเกตดูดีๆ ทันใดนั้นเขาก็แสยะยิ้มออกมา “ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง…กลับเป็นเราที่เมื่อก่อนคิดมากไปเอง”

………..

“ฉึก!”

มู่เฉินกัดฟันดึงมีดออกมา เลือดสดๆ กระฉูดใส่เต็มหน้าเขา

เขายกมือปาดคราบเลือดออก แล้วใช้มือยันผนังดันตัวเองขึ้น พลางก้มหน้าสังเกตอาการบาดเจ็บของตัวเอง

อาศัยความได้เปรียบที่ลงมือก่อน สุดท้ายเขาก็ฆ่าสมาชิกทีมสองคนนั้นสำเร็จ แม้จะไม่ง่ายดายนักก็ตาม และด้วยเหตุนี้ร่างกายของเขาก็มีบาดแผลเพิ่มขึ้นไม่น้อย

ทว่าหลังจากลูบขึ้นลูบลง แล้วพบว่าอวัยวะทุกส่วนของตัวเองยังอยู่ครบ และไม่มีรูโหว่อะไรบนร่างกายเพิ่มขึ้นมา มู่เฉินก็รีบยกมือยันผนังแล้วเดินมุ่งหน้าไปทางห้องบันไดทันที

“อย่าตายนะ ถ้านายตาย ฉันก็จบเห่เหมือนกัน”

มู่เฉินพูดพึมพำ พลางพยายามพากายสังขารอันเหนื่อยล้าของตัวเองเคลื่อนไปข้างหน้า

แต่เดินไปได้ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งกระโจนเข้ามาจากด้านข้าง

เหตุการณ์กะทันหันนี้ทำเอามู่เฉินยืนเกร็งไปทั้งตัว มีดในมือถูกยกขึ้นสูงทันที “ใครวะ?!”

ท่ามกลางความมืด เงาร่างตะคุ่มนั้นดูเลือนรางไม่ชัดเจน มู่เฉินจึงตื่นตระหนกตามไปด้วย

ถ้าหากคนที่ปรากฏตัวนี้เป็นอ้ายเฟิง นั่นก็แสดงว่าหลิงม่อตายไปแล้ว และตัวเขาเองก็อยู่ห่างจากความตายไม่ไกล…

“ฉันเอง”

เมื่อเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น มู่เฉินก็ถอนหายใจโล่งอกออกมาทันที เขาเอนกายเอาหลังพิงผนังอย่างอ่อนแรง ขณะเดียวกับที่ทิ้งแขนลงข้างลำตัว ร่างกายก็ไถลตามลงไปอย่างห้ามไม่ได้ “นายเองหรอ…”

หลิงม่อก้าวเท้าออกมาจากเงามืด แล้วมองมู่เฉินขึ้นลงอย่างตกตะลึง “ว๊าว…”

“หุบปาก” มู่เฉินกลอกตามองบน ยกมือโบกไปมา “หุบปากไปเลยนะ ไม่ต้องมาวิจารณ์ภาพลักษณ์ของฉันเลย”

“โอเค ได้เลย นักฆ่าเลื่อยไฟฟ้า” หลิงม่อพยักหน้าอย่างให้ความร่วมมือ

“…ทำตัวน่ารำคาญน่า” มู่เฉินด่าอย่างอ่อนแรง

“ใช่สิ ฉันมาช่วยนายกำจัดภัยแฝงอย่างหนึ่ง” หลิงม่อนั่งยองๆ ลงต่อหน้ามู่เฉิน แล้วจู่ๆ ก็พูดจริงจังขึ้นมา

มู่เฉินนิ่งไปก่อน จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างนึกขึ้นได้ “เมล็ดพันธุ์พลังจิตนั่น?”

เดิมเขาไม่เคยสนใจสิ่งนั้นที่อยู่ในสมองของตัวเอง แต่ตอนนี้พอนึกถึงภาพอันน่าสยองที่อ้ายเฟิงและหมายเลข 0 รวมร่างกันแล้ว มู่เฉินก็รู้สึกขนลุกซู่ตรงท้ายทอยขึ้นมาทันที

“มันจะเป็นภัยแฝงอย่างไร? แล้วอีกอย่าง…นายจะช่วยฉันจัดการมันยังไง?” มู่เฉินถามอย่างกังวล

“ในสมองของอ้ายเฟิงก็มีเหมือนกัน…”

“ห๊ะ?!”

“อย่าเพิ่งตกใจไปสิ” หลิงม่อตบไหล่มู่เฉิน “ของเขาใหญ่กว่าของนายมาก ต้องมีเมล็ดพันธุ์นี้อยู่ หมายเลข 0 ถึงจะใช้อีกฝ่ายเป็นภาชนะได้ แต่ของนายยังอยู่ในระหว่างแตกหน่อเติบโต ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างสมบูรณ์ ความจริงฉันเดาว่าในสมองของทุกคนในนิพพานสาขาย่อย ได้มีเมล็ดพันธุ์นี้กันคนละหนึ่งเมล็ดแล้วล่ะ แต่เพื่อไม่ให้ถูกพบ ในสมองของคนส่วนใหญ่ จึงเป็นเมล็ดพันธุ์ขนาดเล็ก แต่สำหรับคนที่จำเป็นต้องใช้อย่างนาย มันจึงได้ปลูกฝังเมล็ดพันธุ์ที่เห็นได้ชัดให้นาย”

พอหลิงม่อพูดจบ มู่เฉินก็ตะลึงไปแล้ว

ถึงแม้จะมีความจริงอยู่แค่ส่วนเดียว แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้รู้สึกขนลุกได้แล้ว

ระบบส่วนกลางอะไรกัน ศูนย์กลางสำคัญอะไรกัน นี่มันเนื้อร้ายที่ซ่อนอยู่ชัดๆ!

หากปล่อยให้มันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่แน่ซักวัน มันอาจกลับกลายเป็นศูนย์ควบคุมที่แท้จริงก็ได้

“นี่มันการเอาคืนของหุ่นยนต์ชัดๆ!” มู่เฉินพูดพร้อมเบิกตากว้าง

พอได้สติ เขาก็รีบตะครุบแขนหลิงม่อ “หลิงม่อ…ไม่ไม่ พี่หลิง…พี่ใหญ่!”

“ใจเย็น หมายเลข 0 หายไปแล้ว เพียงแต่ถ้าเมล็ดพันธุ์นี้ยังอยู่ในสมองของนาย มันอาจฟื้นจากความตายได้ ด้วยการค่อยๆ ดูดกลืนพลังจิตของนาย จากนั้นก็เริ่มส่งผลกระทบกับนาย สุดท้ายนายก็จะกลายเป็นหมายเลข 0 ตัวใหม่เท่านั้นเอง แต่วางใจ ดูจากความจุของสมองนาย แค่แกร่งได้หนึ่งในร้อยส่วนของมันก็ถือว่าไม่เลวแล้ว” หลิงม่อบอก

“…” มู่เฉินจ้องหลิงม่อสองวินาที แล้วสติแตกอีกครั้ง “นายจะให้ฉันใจเย็นยังไงไหววะ!”

“ถึงจะไม่สามารถกำจัดเมล็ดพันธุ์นั่นได้ด้วยการไม่แตะต้องดวงแสงแห่งจิตของนาย แต่ฉันยังมีอีกหนึ่งวิธี” หลิงม่อพูดไป ก็ล้วงเอา “แมงกะพรุน” ตัวนั้นออกมาจากกระเป๋าเป้ ของสิ่งนี้เป็นวัตถุเรืองแสงในสายตาของเขา แต่ในสายตาของมู่เฉิน มันกลับเป็นแค่ลูกบอลพลาสติกสีมัว อย่างมากมันก็แค่ดูงานละเอียดมากกว่าลูกบอลพลาสติกทั่วไป

“นี่คือเครื่องแปลงพลังงานทางจิตที่ฉันคิดค้นขึ้นมา ถึงจะดูเรียบง่าย แต่มันมีนวัตกรรมล้ำหน้าอันยอดเยี่ยมที่นายไม่อาจเข้าใจได้…” หลิงม่อบอก จากนั้นก็ยก “แมงกะพรุน” ขึ้นไปจ่อไว้กลางหัวมู่เฉิน

“นายแค่จงใจพูดให้ฉันไม่เข้าใจเฉยๆ เถอะ! เดี๋ยวก่อน…แล้วนายจะรู้ได้ไงว่ามันจะเล่นงานแค่เมล็ดพันธุ์นั่นน่ะ?!

หลิงม่อชะงักมือเล็กน้อย “โลกแห่งดวงจิตดวงหนึ่งเป็นของชายผู้ที่โสดมากว่าสามสิบปี ซึ่งเต็มไปด้วยความคิดสีพีช (สีพีช หรือสีชมพู สื่อถึง เรื่องความรักชายหญิง) และความคิดอันยุ่งเหยิง ส่วนอีกดวงนั้นเป็นเมล็ดพันธุ์ที่บริสุทธิ์ และไม่เคยแปดเปื้อนสิ่งใด…นายคิดว่าคนอื่นเขากินไม่เลือกกันทุกคนรึไง? ยิ่งไปกว่านั้นมันได้ผ่านการแก้ไขจุดบกพร่องและการทดลองของฉันมาหลายครั้งแล้ว รับรองเรื่องรสนิยมการกินได้ มันเลือกกินแต่ของดีแน่นอน…”

“ใครสีพีช…โอ๊ย โอ๊ยย!”

มือของมู่เฉินค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ “แมงกะพรุน” ที่รูปร่างไม่สะดุดตานี่ พอสวมไว้บนหัว เขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างในสมองของเขากำลังถูกดูดออกไป

ความรู้สึกนี้ค่อนข้างน่ากลัว โชคดีที่ผ่านไปเพียงเสี้ยววินาที หลิงม่อก็รีบจับ “แมงกะพรุน” และพยายามดึงมันออกมาเต็มแรงทันที

“กะ…เกิดอะไรขึ้น…” มู่เฉินไม่กล้าขยับเขยื้อนส่งเดช เขาเบิกตากว้าง แล้วถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“อ้อ เมล็ดพันธุ์ถูกกำจัดแล้ว แต่มันตะกละไปหน่อย…อ๊ะ ได้แล้ว มันลงมาแล้ว” หลิงม่อดึง “แมงกะพรุน” ออกมาอย่างลำบากเล็กน้อย หลังจากดูดกลืนพลังงานทางจิตไปบางส่วน เจ้าของสิ่งนี้กลับไม่ได้ดูต่างไปจากตอนแรกเลยซักนิด แต่คิดดูอีกที ถ้าจะให้มันวิวัฒนาการด้วยรูปร่างอย่างนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องยากไปหน่อย…

แม้กระทั่งถ้าหากอยากให้มีลูกตางอกขึ้นมา ก็ต้องเริ่มพยายามจากจุดที่พื้นฐานที่สุดก่อน

“ฉัน…” มู่เฉินตัวอ่อนยวบทันที เขาหอบหายใจแรง เบิกตากว้างจนแทบถลนออกจากเบ้าแล้วถาม “ร่างกายฉันไม่ได้ขาดอะไรไปใช่ไหม? แม้แต่ความคิดสีพีชของฉันก็จะแย่งไปไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ! นั่นมันยาคลายเครียดของฉัน มันคืออาหารทางใจของฉัน เป็นความทรงจำอันมีค่าของฉันเชียวนะ!”

“ขอโทษอาหารทางใจเดี๋ยวนี้…” หลิงม่อยัด “แมงกะพรุน” ใส่กระเป๋าเป้ แล้วยื่นมือไปดึงมู่เฉินให้ลุกขึ้นยืน “วางใจน่า ของแบบนั้นไม่มีใครแย่งไปหรอก…น่าจะนะ”

“เฮ้ยย!”

“เอ้าา เดี๋ยวนายก็ลองรำลึกดูก็รู้เองแหละน่า” หลิงม่อบอก “ตอนนี้รีบฉวยโอกาสพาสวี่ซูหานไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า”

“พูดง่ายเนอะ! เดี๋ยวนะ…นี่นายจะให้ฉันเดินไปเองหรอ?! พี่หลิง…พี่ใหญ่! อย่าทำอย่างนี้ ช่วยประคองกันหน่อยเซ่!” เสียงตะโกนลั่นของมู่เฉินดังสะท้อนอยู่ในมุมมืดแห่งนี้

ตอนนี้ในห้องเก็บของเล็กๆ ห้องหนึ่ง ซย่าน่ากำลังยืนพิงอยู่หลังประตู ดวงตาสีแดงอ่อนๆ จับจ้องไปที่สวี่ซูหาน

สวี่ซูหานนั้นนั่งนิ่งไม่ไหวติงอย่างนั้นมาโดยตลอด เธอจะพูดพึมพำขึ้นมาเป็นครั้งเป็นคราว แต่ก็ฟังไม่ออกว่าเธอกำลังพูดอะไร

ซย่าน่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอมองออกไปข้างนอก แล้วจึงค่อยเดินเข้าไปหาสวี่ซูหานช้าๆ

“ตื่นสิ” ซย่าน่ายื่นมือออกไปจับไหล่สวี่ซูหาน แล้วเขย่าสองสามที

“อ๊ะ!” สวี่ซูหานร้องเสียงเบา สายตาที่เลื่อนลอยของเธอหันมองมาทางซย่าน่า เธอแยกเขี้ยว เหมือนคิดจะพุ่งเข้ามา แต่แล้วก็ต้องทำหน้าสงสัยออกมาทันที

ไม่นาน เธอก็หดตัวถอยกลับไป แล้วส่งเสียงครางออกมาอย่างหวาดกลัว

“ไม่ต้องกลัว” ซย่าน่าจ้องมองสวี่ซูหานอย่างสงสัยใคร่รู้ จึงกระเถิบเข้าไปใกล้อีกนิด “เธอยังมีสติอยู่ใช่ไหม?”

สวี่ซูหานขดตัวกอดเข่าอย่างหวาดๆ เหมือนไม่กล้ามองหน้าซย่าน่า

ซย่าน่ายิ้มบาง เธอหลับตาเบาๆ แล้วพอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ม่านตาจะไม่เปลี่ยนสี แต่บุคลิกของเธอกลับเปลี่ยนแปลงไปทันที

ภายใต้แสงจันทร์ สายตาของเธอดูมั่นคงไม่ไหวหวั่น เส้นผมยาวสยายแผ่อยู่ตรงหน้าอกอย่างเป็นธรรมชาติ เธอดูเหมือนเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

“นี่?” พอเธอเปิดปากพูดอีกครั้ง อวี๋ซือหรานก็อึ้งไปทันที

จากนั้นเธอก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แล้วมองไปที่ซย่าน่า ครั้งนี้เธอดูสงสัยหนักกว่าเดิม ด้านหนึ่งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น อีกด้านหนึ่งก็สงสัยมากจนไม่อาจละสายตาออกไปได้

“เธออยากกลายเป็นซอมบี้ไหม?” ซย่าน่าครุ่นคิด แล้วถามขึ้น

—————————————————————————–