บทที่ 649 เสาสัญญาณในสมอง? เขาเรียกกระแสจิตต่างหาก! โดย Ink Stone_Fantasy
พอได้ยินคำว่า “ซอมบี้” สวี่ซูหานที่ตอนแรกยังดูสับสนงุนงงพลันสั่นสะท้านไปทั้งตัว เธอพุ่งเข้ามาตรงหน้าซน่าทันที
เธอจ้องซย่าน่าอย่างกระวนกระวาย ริมฝีปากกระตุกสั่นแรง แต่กลับทำได้เพียงฝืนพูดออกมาว่า “ช่วยด้วย…”
“เป็นอย่างที่คิดสินะ…” ซย่าน่าจ้องสวี่ซูหานอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “แต่ฉันก็พอเข้าใจล่ะนะ เพราะอีกครึ่งหนึ่งของฉัน ก็เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน”
เธอยังคงพูดพึมพำกับตัวเองต่อไป โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจคำว่า “อีกครึ่งหนึ่งของฉัน” หรือไม่ “รู้สึกเกลียดชัง เต็มไปด้วยความคิดต่อต้าน ถึงมันจะกลายเป็นเรื่องจริงแล้ว แต่ในใจก็ยังยากจะรับได้ ฉันไม่อาจหลุดพ้นจากวังวนความทรงจำนั้นได้ เอาแต่คิดว่าถ้าตอนนั้นไม่เป็นแบบนั้น จะดีแค่ไหนกันนะ…”
ซย่าน่าพูดไป ก็ยกยิ้มมุมปากคล้ายกำลังหัวเราะหยันตัวเอง
ทว่าพอเธอเห็นสายตาที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ของสวี่ซูหาน ก็อดส่ายหน้าไปมาไม่ได้ “ถึงตอนนี้เธอจะได้ยินสิ่งที่ฉันพูด แต่ความคิดของเธอกลับไม่สามารถตอบสนองได้ แต่ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรจิตใต้สำนึกของเธอก็ยังเข้าใจ เหมือนกับฉันไง เรื่องที่ฉันคิดว่าลืมไปแล้ว ความจริงมันกลับถูกสลักไว้ในสมองตั้งนานแล้ว ต้องมีซักวัน ที่เธอจะจำเรื่องราวในวันนี้ขึ้นมาได้”
พูดไป เธอก็ขยับเข้าไปใกล้สวี่ซูหานอีกนิด แล้วพูดเสียงเบาว่า “ฉันรู้สึกว่าพวกเรามีอะไรคล้ายๆ กัน พี่หลิงเองก็คงจะคิดอย่างนี้เหมือนกัน เขาก็เลยอยากช่วยเธออย่างเห็นได้ชัดขนาดนั้น ฉันก็อยากช่วยเธอเหมือนกัน ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความรู้สึกของมนุษย์มากนัก หรือถึงจะรู้ ก็ไม่อาจสัมผัสความรู้สึกนั้นได้เหมือนมนุษย์ แต่ว่านะ อย่างน้อยฉันก็รู้ว่ามีเรื่องบางเรื่องที่สำคัญกว่าการกินเนื้อ…”
ซย่าน่าชะงักไปชั่วขณะ แล้วจู่ๆ ก็โน้มตัวไปใกล้หูสวี่ซูหาน พูดว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พยายามมีสติเข้าไว้เถอะนะ ขอเพียงดวงจิตไม่ติดเชื้อหรือถูกปรับโครงสร้าง เธอก็จะไม่กลายร่างเป็นซอมบี้ทั้งหมด ถ้าเธอทำสำเร็จ…บางทีมันอาจเป็นการแสดงให้เห็นว่าการติดเชื้อส่วนสมอง ไม่ได้หมดหนทางรักษาซะทีเดียว…”
พูดไป ซย่าน่าก็ยืดตัวตรง มือข้างหนึ่งยังคงวางอยู่บนไหล่ของสวี่ซูหาน แต่สายตากลับมองเลยไปในเงามืดด้านหน้า
ถูกต้องแล้ว มีเรื่องบางเรื่องที่ถึงแม้สัญชาตญาณของเธอจะไม่ให้ความสำคัญ แต่ซย่าน่ารู้ดีว่าเธอควรทำมัน
บนเส้นทางนี้ หลิงม่อเป็นผู้เดินนำอยู่ด้านหน้าสุด เขาต้องคลำทางเพื่อเดินหน้าต่อไปอย่างยากลำบาก แล้วยังต้องคอยชี้นำทางเดินให้พวกเธอด้วย
ซย่าน่ามองเห็นมาโดยตลอด และเธอก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจนานแล้ว : เธอก็อยากช่วยเขาเหมือนกัน
ในความทรงจำของเธอมีหนังสือบางเล่มที่มักกล่าวประโยคที่ว่า “ผู้หญิงผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้ชาย” และซย่าน่าก็ได้ตัดสินใจแล้ว “ฉันจะไม่เป็นผู้หญิงที่อยู่แค่ข้างล่างพี่หลิงเท่านั้น แต่จะเป็นผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าด้วย! หรือเป็นผู้หญิงที่อยู่ข้างบนบ้างเป็นครั้งคราว…”
“เอ๋ ไม่สิ…” ซย่าน่ายกนิ้วมือขึ้นนับด้วยสีหน้าจริงจัง เหมือนสมองของเธอจะเข้าสู่สภาวะมึนตึ๊บชั่วขณะ
“แต่ไอ้ทิศทางข้างบนข้างล่างนี่มันคิดยังไงกันแน่ล่ะ? จำไม่ได้ว่าเคยอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องซะด้วยสิ…” ซย่าน่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจยอมแพ้ “ช่างเถอะ ถึงยังไงความหมายคร่าวๆ ก็ประมาณนี้แหละ อย่างไรจินตนาการก็สำคัญกว่าความรู้นี่นา…ประโยคนี้มาจากหนังสือเล่มไหนอีกแล้วนะ?”
ซย่าน่าส่ายหัวไปมา แล้วก้มหน้ามองสวี่ซูหานอีกครั้ง สายตาเธอฉายแววแปลกไปเล็กน้อย
เรื่องของมนุษย์ผู้หญิงคนนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นโอกาสดีก็ได้นะ…
หลังจากฟังสิ่งที่ซย่าน่าพูด แม้ว่าสวี่ซูหานจะยังคงดูสะลึมสะลือ แต่ในดวงตาของเธอกลับปรากฏสัญญาณแห่งความดิ้นรนขึ้นเป็นระยะๆ…
ในตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้ากลุ่มหนึ่งก็ดังมาจากด้านนอกห้องเก็บของ ซย่าน่าหันขวับกลับไปมองอย่างระแวดระวัง
ไม่นาน เงาร่างของคนสองคนก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าประตู
กลิ่นคาวเลือดโชยเข้ามาในห้องทันที ซย่าน่าย่นจมูกเล็กน้อย แล้วหันไปใช้มือกดร่างสวี่ซูหานที่กำลังกระหายอย่างหนักให้กลับไปนั่งเหมือนเดิม
“น่าน่า เธอเป็นไงบ้างแล้ว?” หลิงม่อเดินประคองมู่เฉินมาหยุดอยู่หน้าประตู แล้วยื่นหน้ามาถาม
“อาการทรงตัว ไม่ดีหรือร้าย แต่ดูเหมือนอารมณ์จะคงที่ขึ้นมากแล้ว” ซย่าน่าตอบ
“อย่างนั้นก็ดี แสดงว่าเธอจะอดทนไปได้อีกระยะหนึ่ง ประคองเธอลุกขึ้น พวกเราจะไปแล้ว” หลิงม่อพยักหน้ารับ แล้วพูดต่อ
ซย่าน่าหันไปดึงกระเป๋าเป้บนพื้นขึ้นมาสะพาย จากนั้นก็ประคองร่างสวี่ซูหาน
มู่เฉินถามด้วยสภาพร่างกายที่ร่อแร่เต็มที “แฟนนายสองคนนั้นล่ะ? ไม่ไปตามหาหรอ?”
“พวกเย่เลี่ยนอยู่ข้างล่างแล้ว ตอนนี้กำลังสำรวจสถานการณ์ข้างล่างล่วงหน้าอยู่” หลิงม่อเห็นซย่าน่าและสวี่ซูหานเดินเข้ามาใกล้ จึงรีบดึงตัวมู่เฉินให้ถอยหลังหลบ ตอนนี้ร่างกายเขาเต็มไปด้วยบาดแผล ถือเป็นการกระตุ้นที่เสี่ยงเกินไปสำหรับสวี่ซูหาน ขนาดซย่าน่าก็ยังอดเหลือบมองเขาแวบหนึ่งไม่ได้ สีหน้าเธอเหมือนกำลังบอกว่าอยากจะพลิกเคียวดาบฟันร่างเขาให้ขาดซะเดี๋ยวนั้น
ทว่ามู่เฉินกลับไม่รับรู้ถึงอันตรายที่ตัวเองกำลังเผชิญเลยแม้แต่น้อย เขายังคงพูดจ้อต่อไปไม่หยุด “นายวางแผนไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ก่อนหน้านี้” หลิงม่อเริ่มตอบแบบส่งๆ
“ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยซักนิด…บอกตามตรงนะ บางครั้งฉันก็สงสัยจริงๆ ว่าพวกนายมีเสาสัญญาณ ที่สามารถส่งคลื่นสมองหากันติดอยู่ในหัวหรือเปล่า…” มู่เฉินพูดพร่ำทำเพลงต่อ
“มันเรียกว่าความสามัคคี นายเข้าใจไหม? หรือจะเรียกว่ากระแสจิตก็ได้” หลิงม่อตอบกลับหนึ่งประโยค จากนั้นก็รีบตัดบทมู่เฉิน “หุบปากได้แล้ว ไม่เห็นหรอว่าสวี่ซูหานจ้องนายตาเป็นมันขนาดนั้น ถ้านายพูดมากอีกเธอจะเข้ามาฉีกปากนายแล้วนะ”
“เธอจะทำอย่างนั้นได้ยังไง…”
“ซย่าน่า ปล่อยเธอให้มาฉีกปากเขาซะ” หลิงม่อพูด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ได้” ซย่าน่ารีบพยักหน้า แถมทำท่าเหมือนจะปล่อยมือจริงๆ
มู่เฉินเห็นสวี่ซูหานที่กำลังแยกเขี้ยวแยกเล็บใส่ตัวเอง ก็รู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว “เดี๋ยวก่อน!”
“ถ้างั้นก็หุบปาก” หลิงม่อเหลือบมองเขาด้วยหางตา
แต่สายตาที่มู่เฉินมองหลิงม่อกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว คนอะไร ใช้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเหมือนสัตว์เลี้ยงดุร้ายได้อย่างหน้าตาเฉย?!
ทว่าพอคิดดูอีกที คนที่กำลังยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเขาอยู่ก็คือหลิงม่อไม่ใช่หรือ?
ถึงแม้ดูจากเปลือกนอก อาจเหมือนว่าเขามองเรื่องนี้เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน แต่ถ้าพูดกันตามจริงแล้ว ตอนนี้พวกเขาไม่มีอะไรที่จะให้หลิงม่อได้เลยนี่…
ตอนนี้ ส่วนลึกในใจของมู่เฉินเองก็กำลังสับสน หลังออกจากนิพพาน เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไรต่อไปดี
หาทางรอด?
เรื่องนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว แต่เขาต้องการทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจนกว่านี้
แม้แต่เหล่าดอกไม้ใบหญ้าก็ยังรู้จักโปรยเกสรเพื่อแพร่พันธ์ เขาเป็นมนุษย์ ก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ไปวันๆ ได้เหมือนกัน
“เอ่อ หลิงม่อ” มู่เฉินเรียกเสียงเบา
“นายนี่มันเงียบได้ไม่เกินห้าวินาทีจริงๆ…” น้ำเสียงของหลิงม่อแฝงความหน่ายใจ
“ทีมปาฏิหาริย์ของนายน่ะ ฉันไปช่วยนำฝึกให้นายต่อดีไหม?” มู่เฉินหันหน้าไปมองหลิงม่อ แล้วบอกว่า “ตอนที่นายหลอกใช้ฉันให้ช่วยนายทำนี่ทำนั่น ก็ดูเหมือนนายจะพอใจในผลงานของฉันไม่น้อยเลยนี่”
พอเห็นหลิงม่อไม่พูดอะไร มู่เฉินก็หันไปมองสวี่ซูหาน แล้วหันกลับมาพูดต่อว่า “นอกจากร่างกาย ฉันก็ไม่รู้จะตอบแทนอะไรนายได้แล้ว…”
“ฉันมอบหมายทีมให้นาย นายต้องทำให้พวกเขากลายเป็นยอดฝีมือให้ได้” หลิงม่อนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นมา
“โอ้โห นี่นายคิดจะร้องขอปาฏิหาริย์จริงๆ น่ะหรอ!” มู่เฉินโอดโอย
“ไม่ทำ?” หลิงม่อหรี่ตาเล็กลง
มู่เฉินที่ถูกจ้องจนรู้สึกหนังศีรษะชากัดฟันกรอด ทำท่าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้ารับ “ก็ได้…!”
“อืม ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาคุยเรื่องดอกเบี้ยกันต่อ”
พอหลิงม่อพูดประโยคถัดมา ทำเอามู่เฉินเกือบสติแตกซะเดี๋ยวนั้น
นี่คิดดอกเบี้ยกันด้วยหรอเนี่ย?!
จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าความคิดเมื่อกี้ของตัวเองเป็นแค่ความเข้าใจผิดชั่ววูบ หมอนี่มองเรื่องนี้เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์แค่เปลือกนอกที่ไหนกัน นี่มันการแลกเปลี่ยนจริงๆ ชัดๆ!
“เดี๋ยวนะ…นี่นายคิดมาก่อนแล้วใช่ไหม! นายวางแผนมาตั้งแต่แรกแล้ว!” มู่เฉินเริ่มรู้ตัวทีละนิดๆ
“ก็ใช่น่ะสิ”
“…ยอมรับหน้าตาเฉยอย่างนี้เลยหรอ…” มู่เฉินหน้าบึ้งตึง ตั้งแต่รู้จักกับหลิงม่อมา ทำไมเขาถึงถูกรังแกอยู่ตลอดเวลานะ?
แถมพอลองนึกดูดีๆ แล้ว เป็นเขาที่เดินเข้าไปกระแทกปากปืนด้วยตัวเองทุกครั้ง…
ดอกเบี้ยที่หลิงม่อเสนอมาฟังดูง่ายดาย “ฉันต้องการข้อมูลการทดลองของนิพพานสำนักงานใหญ่”
“เหอะเหอะ…บ้าแล้ว!” มู่เฉินยกนิ้วขึ้นจิ้มที่จมูกตัวเอง พูดด้วยสีหน้าเหวี่ยงเล็กน้อย “ฉันดูเหมือนคนที่จะช่วยนายเอาข้อมูลนั่นมาได้หรอ?”
“เหมือนสิ” นึกไม่ถึงว่าหลิงม่อกลับพยักหน้า
“ฉัน…”
“นอกเหนือจากอ้ายเฟิงแล้ว นายคือสมาชิกที่ระดับสูงที่สุดในสาขาย่อยแห่งนี้แล้วใช่ไหมล่ะ?” หลิงม่อหัวเราะแปลกๆ
มู่เฉินกลับขมวดคิ้ว หลังจากใช้ความคิดอยู่สองวินาที จู่ๆ เขาก็เบิกตากว้าง “นาย…นายมันบ้าไปแล้วจริงๆ”
หลิงม่อยิ้มโดยไม่พูดอะไร มู่เฉินสองจิตสองใจอยู่หลายวินาที สุดท้ายก็กัดฟันกรอดพูดว่า “ที่นายอยากได้ข้อมูล ไม่ใช่เพราะเรื่องสวี่ซูหานอย่างเดียวใช่ไหม?”
“ใช่ นายเคยบอกว่าหลังจากที่หมายเลข 0 ถือกำเนิดขึ้นมา คนที่เก่งจริงพวกนั้นก็ย้ายจากเมืองตงหมิง ไปยังสำนักงานใหญ่หมดใช่ไหม?” หลิงม่อถาม
มู่เฉินพยักหน้าอย่างไม่เข้าใจ “ใช่ พวกเขาคือคนกลุ่มที่ทำให้เมืองตงหมิงกลายเป็นสนามทดลองที่แท้จริง แต่อ้ายเฟิงกับหมายเลข 0 ก็น่าจะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในพวกเขาเหมือนกัน เพียงแต่หมายเลข 0 ต้องอยู่ที่นี่ ส่วนอ้ายเฟิงก็อาจคิดว่ายอมเป็นหัวไก่ดีกว่าเป็นหางนกไฟล่ะมั้ง…แต่ว่าเรื่องราวที่แท้จริงเป็นยังไง ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกนะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ใช่แล้วล่ะ ตอนนี้ คนที่สำนักงานใหญ่พวกนั้น พวกเขาสร้างหมายเลข 0 ขึ้นมา แล้วยังสร้างหมายเลข 1 ขึ้นมาอีก กระทั่งถึงขั้นสร้างร่างแม่ขึ้นมา…ฉันสงสัยมาก” ดวงตาของหลิงม่อเปล่งประกาย พอพูดถึงเรื่องร่างแม่ เขาก็นึกถึงราชินีแมงมุม รวมถึงแหล่งแพร่เชื้อตัวแรกที่สร้างศพน้ำมากมายเหล่านั้นขึ้นมา ร่างแม่ทุกตัว ล้วนสามารถนำการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มาสู่เผ่าพันธุ์ซอมบี้ได้ ถึงขั้นสร้างซอมบี้เผ่าพันธุ์ใหม่ขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ
พวกเขาสามารถล่อร่างแม่ออกมาได้ แสดงว่าข้อมูลที่มีอยู่ก็ย่อมต้องไม่ธรรมดา
และสำหรับหลิงม่อที่ขาดความรู้ด้านทฤษฎี สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อเขามาก…
“สงสัยกับผีอะไรวะ…” มู่เฉินน้ำตานองหน้า คนพวกนี้เป็นมันยังไงกันแน่! อย่าบอกนะว่าคนพวกนี้จะกลายเป็นแรงผลักดันในการใช้ชีวิตของเขา?
“นายไม่กอดซอมบี้นอนซะเลยล่ะ!” มู่เฉินอดพูดแซะรอดไรฟันไม่ได้
แต่พอเขาพูดคำนี้ออกไป เขากลับพบว่าสายตาที่หลิงม่อมองเขาแปลกออกไป…
ไม่เพียงไม่โกรธ แต่กลับดูเหมือนกำลัง…นึกสนุก?
“แต่ก่อนจะไปนิพพานสำนักงานใหญ่ พวกเราต้องไปที่ที่หนึ่งก่อน” หลิงม่อปรับสีหน้าเข้าสู่โหมดปกติอย่างรวดเร็ว แล้วพูดขึ้น
“ไปไหน?” มู่เฉินเริ่มมีภูมิคุ้มกันต่อนิสัยและความคิดอย่างนี้ของหลิงม่อแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ชีวิตเขายังตกอยู่ในกำมือของหลิงม่ออีก แทนที่จะต่อต้าน สู้ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมเสียโดยดีดีกว่า…
หลิงม่อยิ้ม แล้วบอกว่า “เมืองชุ่ยหู”
“ชุ่ยหู…”
—————————————————————————–