บทที่ 46 เงาอรชร (4)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

“คุณชาย…” เสี่ยวเฉี่ยวตาปรือผลักประตูเข้ามา ขยี้ตาพลางวางขนมเปี๊ยะนมเหลืองถาดหนึ่งลงบนโต๊ะ “อาหารเช้าของท่านมาแล้ว โจ๊กข้าวฟ่างยังต้มอยู่ วันนี้ไม่ได้ทำซาลาเปาหมั่นโถว มีแค่ขนมเปี๊ยะนมเหลืองที่กินได้”

“ขนมเปี๊ยะนมเหลืองเป็นขนมวันเทศกาลของที่นี้นี่” ลู่เซิ่งปิดหน้าต่างโดยแรง หมุนตัวหันมามองเสี่ยวเฉี่ยว

เด็กสาวผู้นี้ไม่เจอกันสองสามเดือน มีน้ำมีนวลขึ้น โดยเฉพาะหน้าอกขยายขึ้นมาก ชุดกระโปรงสีขาวที่ใส่เห็นชัดว่าไม่ใช่ชุดคอต่ำ ก็ถูกเด็กสาวผู้นี้ดันจนนูนขึ้น เหลือบมองลงไป เห็นได้อย่างชัดเจนถึงโครงสร้างสองกลุ่มกับร่องลึกหนึ่งสายที่ขาวผ่อง…

“อืม คุณชายมองอะไร” เสี่ยวเฉี่ยวห่อปากปิดหน้าอกของตัวเอง ‘”เสื้อผ้าที่นำมาด้วย เฉี่ยวเอ๋อร์พึ่งพบว่าเล็กไปแล้ว ไม่นานมานี้โตเร็วยิ่ง…”

ลู่เซิ่งยิ้มๆ “วันหลังข้าจะพาเจ้าไปซื้อเสื้อผ้า”

เสี่ยวเฉี่ยวใบหน้าน้อยพลันบึ้งตึง

“ยังคงไม่ต้องแล้ว ตอนนี้ในบ้านไม่เหมือนก่อน ค่าใช้จ่ายกินยาของคุณชายใกล้จะไม่พอแล้ว สถานที่ที่ใช้เงินมีเยอะยิ่ง…”

ลู่เซิ่งงงวย พลันรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง ในบ้านไม่มีเงินจนแม้แต่เฉี่ยวเอ๋อร์ก็เข้าใจ รู้จักประหยัด ตัวเขากลับไม่ทราบโดยสิ้นเชิง

หลังจากเฉี่ยวเอ๋อร์มาถึง ก็อยู่ในห้องๆ หนึ่งของอาคารหลังนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กสาวที่อยู่ข้างตัว เช้าเย็นต้องอยู่ร่วมห้องกัน ภายหลังถ้าลู่เซิ่งต้องการ ก็มอบสถานะอนุให้แก่นางได้ นี่นับว่าเกินฝันแล้ว

เสี่ยวเฉี่ยวชาติกำเนิดไม่ดี บิดาเป็นผีพนัน พอแพ้ก็คลุ้มคลั่ง พนันภรรยาและบุตรี ผลคือแพ้หมดตัว เสี่ยวเฉี่ยวกับมารดานางเกือบถูกขายไปยังหอคณิกา แต่มารดารองหลิวชุ่ยอวี้ที่จิตใจดีงามกลับจ่ายเงินซื้อมาและชดใช้หนี้สินให้นาง

แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ มารดาของเสี่ยวเฉี่ยวก็นอนซมลุกไม่ขึ้นเพราะความลำบากก่อนหน้า ไม่นานเท่าไรก็สิ้นชีวิต เหลือเสี่ยวเฉี่ยวคนเดียวไว้ในคฤหาสน์ลู่ ยึดถือคฤหาสน์ลู่เป็นบ้านของตัวเอง

‘ต้องคิดวิธีหาเงินแล้ว…’ ลู่เซิ่งเริ่มยึดถือเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่อย่างแท้จริง

เขาหันกลับมา เห็นเฉี่ยวเอ๋อร์หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ

“เมื่อครู่มีผู้ส่งจดหมายมา” เฉี่ยวเอ๋อร์วางจดหมายไว้บนโต๊ะ

ลู่เซิ่งเดินไป ใช้ตะเกียบคีบขนมเปี๊ยะนมเหลืองสองชิ้นขึ้นกิน ก่อนหยิบจดหมายนั้นขึ้นมา ที่มาของสัญลักษณ์บนจดหมายคือตระกูลลู่

‘เป็นจดหมายจากที่บ้าน’ เขาฉีกผนึกออกแล้วเปิดจดหมายอ่านดู

ใจความหลักด้านในคือ ที่บ้านตัดสินใจย้ายมาเมืองเลียบคีรี บอกให้ลู่เซิ่งไม่ต้องกังวล ทางนั้นทุกอย่างราบรื่น ให้เขาตั้งสมาธิเตรียมการทดสอบประจำปีดีๆ

ลู่เซิ่งส่ายหน้า อ่านจดหมายจบก็เก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะหนังสือ

“ยาของวันนี้เตรียมแล้วหรือยัง” เขาถามเสี่ยวเฉี่ยว ขณะเดียวกันก็กินขนมเปี๊ยะนมเหลืองที่กองอยู่ในถาดอย่างรวดเร็ว ขนมเปี๊ยะนมเหลืองขนาดเท่าฝ่ามือยี่สิบกว่าชิ้นประเดี๋ยวเดียวก็ถูกเขากินไปมากกว่าครึ่ง

“เรียบร้อยแล้ว วางไว้ในกล่องยา คุณชายไปฝึกวิชาเถอะ รีบไปรีบมา” เสี่ยวเฉี่ยวรู้ว่าจะถึงเวลาฝึกวิชาประจำวันของลู่เซิ่งแล้ว จึงรีบบอก

“อืม”

ก๊อกก๊อกก๊อก

ทันใดนั้นประตูถูกคนเคาะเบาๆ

“ผู้ใด” เสี่ยวเฉี่ยวรีบลุกขึ้นไปเปิดประตู ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงนางสนทนากับคนนอกประตู จากนั้นเป็นเสียงปิดประตูเบาๆ

“ผู้ใด” ลู่เซิ่งกินอาหารเช้าเสร็จ ก็ลุกขึ้นเตรียมผัดเปลี่ยนเสื้อผ้าไปฝึกฝนวิชา

“เป็นข้ารับใช้ตระกูลซ่งส่งจดหมายมา” เสี่ยวเฉี่ยวส่งจดหมายบนมือให้ลู่เซิ่ง “คุณชายท่านอ่านดู”

ลู่เซิ่งรับไว้ เห็นบนจดหมายเขียนว่าพี่ลู่เปิดด้วยตัวเอง ก็ทราบว่าเป็นของซ่งเจิ้นกั๋ว ในหมู่สหายของเขา คนแซ่ซ่งที่มีความสัมพันธ์ไม่เลว มีแค่ซ่งเจิ้นกั๋วคนเดียว

ฉีกจดหมายออก หลักใหญ่ใจความด้านในคือ พรุ่งนี้เป็นเทศกาลภูษาควัน เขาจะไปไถ่ตัวจวินเอ๋อร์จากเรือสำราญ ขอให้เขาไปเฉลิมฉลองเป็นพยานด้วยกัน ด้านหลังยังเน้นย้ำเป็นพิเศษว่าจะต้องมาให้ได้ เขาเลี้ยงเอง

“ไถ่ตัวหรือ” ลู่เซิ่งพึมพำ เขามองออกแต่แรกว่าจวินเอ๋อร์กับซ่งเจิ้นกั๋วมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา คิดไม่ถึงว่าเขาจะรักจริง ถึงกับคิดไถ่ตัวจวินเอ๋อร์

แต่ว่าซ่งเจิ้นกั๋วกับเขามีความสัมพันธ์ไม่เลว อย่างไรก็อยู่ว่างไร้เรื่องราว ไปก็หาเป็นไรไม่ หนำซ้ำยังมีคนเลี้ยงด้วย

เก็บจดหมาย ยัดใส่ลิ้นชักแล้วลั่นดาล ลู่เซิ่งยกดาบยาวขึ้นคิดออกประตูไป ตอนกลับมาถึงห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาเดินมาถึงหน้าคันฉ่องสำริดมองตัวเองในตอนนี้

ช่วงนี้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าอานุภาพของวิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยกในร่างเขาค่อยๆ ปรากฏขึ้น วิชากำลังภายในหลังจากเปลี่ยนแปลงเชิงคุณสมบัติของวิชานี้ กำลังหล่อเลี้ยงวิญญาณและร่างกายของเขาทีละน้อย จนยิ่งมายิ่งแข็งแกร่ง

ประสานกับการกระตุ้นด้วยความร้อนสูงของวิชาทมิฬพิฆาต ลู่เซิ่งตอนนี้รู้สึกว่าอวัยวะภายในของตัวเองได้รับการฟื้นฟูจากสิ่งแปลกปลอมและสารพิษเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง

การเปลี่ยนแปลงแบบนี้ทำให้บางครั้งเขารู้สึกว่า ต่อให้ตัวเองไม่ได้ฝึกฝนวิชาแข็งกร้าว ร่างกาย พลัง ความอดทน ไม่แน่ว่าจะแย่กว่ายอดฝีมือวิชาแข็งกร้าวเหล่านั้น

ถือดาบฟันออกไปตามใจ ภายใต้การโคจรวิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยกกับวิชาทมิฬพิฆาต ในอากาศพลันเกิดเสียงสั่นสะเทือนเล็กๆ ดังหวึ่งๆ ลู่เซิ่งยกแขนขวาที่กำดาบขึ้น บนแขนไม่ทราบว่าเริ่มกระจายด้วยเส้นเลือดแดงเอ็นเขียวจำนวนมากตั้งแต่เมื่อไหร่ บิดเบี้ยวน่ากลัว

ช่วงนี้เขาแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย ถ้าไม่ใช่ที่ใส่ส่วนใหญ่เป็นเสื้อคลุมยาว หากเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้ารัดตัว คนอื่นจะมองออกว่ากล้ามเนื้ออันแข็งแรงของเขาเมื่อเทียบกับนักศึกษาทั่วไป เรียกได้ว่างดงาม แขนข้างเดียวของเขาหยาบเท่าขาของคนที่ผอมกว่าเล็กน้อย

‘จำเป็นต้องมีดาบดีสักเล่ม’

ลู่เซิ่งยกดาบขึ้น ผิวดาบสะท้อนใบหน้าในตอนนี้ของเขา ทว่าขณะเดียวกันใบดาบก็มีรอยแตกไม่น้อย

‘ดาบเล่มนี้ใกล้จะพังแล้ว’

ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังมาจากประตู คล้ายมีผู้ใดคิดย่องเข้ามาในห้องของเขา มิหนำซ้ำจังหวะและเสียงฝีเท้านี้ยังแตกต่างกับเสี่ยวเฉี่ยวมาก

“เป็นผู้ใด!”

โฮก!

เสียงเสือคำรามดังขึ้น

ลู่เซิ่งหันหน้ามาเบิกสองตา ปราณภายในทะลักบนร่าง ปราณพิฆาตอันเหี้ยมหาญยิ่งใหญ่สายหนึ่งซัดออกมา อากาศถึงกับพลิกตัว เกิดเสียงเสือคำรามดังเกือบหูแตก

สตรีนางหนึ่งที่หน้าประตูถูกขู่ขวัญจนก้นจ้ำเบ้า ถึงกับเป็นเจิ้งอวี่เอ๋อร์

ใบหน้าน้อยๆ ของนางซีดขาว ตกใจไม่น้อย นั่งอยู่บนพื้นสองขาอ่อนยวบ ถึงกับลุกไม่ขึ้นชั่วขณะ

“ฮือๆๆ… พี่ลู่ท่านรังแกข้า…”

เจิ้งอวี่เอ๋อร์คิดทำให้ลู่เซิ่งประหลาดใจ นึกไม่ถึงกลับเป็นตนตกใจขวัญหาย ตอนนี้น้ำตาพรั่งพรูออกมา

“ฮือๆๆ…” เจิ้งอวี่เอ๋อร์ร้องให้ไม่หยุด ด้วยความจนปัญญา ลู่เซิ่งจึงค่อยไปประคองนางขึ้น ปลอบอยู่สองสามประโยค

“เมื่อครู่เหมือนเห็นเสือยักษ์สีดำตัวหนึ่งพุ่งใส่ อวี่เอ๋อร์ ตกใจแทบตายแล้ว!” เจิ้งอวี่เอ๋อร์ภายหลังใบหน้ายังบึ้งตึงซีดขาว

“วันหน้าอย่าได้แอบเข้ามาด้านหลังข้า อันตรายยิ่ง” ลู่เซิ่งยื่นมือลูบศีรษะเจิ้งอวี่เอ๋อร์ “เจ้ามาทำอะไร พี่ชายของเจ้าเล่า”

“เขายังอยู่ที่สถานศึกษา พรุ่งนี้เป็นเทศกาลภูษาควัน พี่ลู่มีแผนอะไรหรือไม่” เจิ้งอวี๋เอ๋อร์ครู่เดียวก็หายตกใจ นวดดวงตา ถามเสียงเบา

“มีสหายนัดดื่มสุรา”

“หา ช้าไปอีกแล้วหรือ!” เจิ้งอวี่เอ๋อร์พลันผิดหวัง ร้องขึ้น “เฮ้อ ก็ได้ๆ ข้าจะไปหาคนต่อไป อย่าได้ถูกจองตัวไว้ก่อนนะ… ข้าไปก่อนนะพี่ลู่!” นางคล้ายมีเป้าหมายอื่น รีบวิ่งเหยาะออกจากห้องไป มาเร็วไปเร็วเช่นกัน

เสี่ยวเฉี่ยวรอบนี้รีบวิ่งเข้ามา น้ำตาคลอหน่วย

“คุณหนูอวี่เอ๋อร์ไม่ให้ข้าบอกว่าเป็นนาง… คุณชาย… ข้า…”

“ภายหลังผู้ใดเข้าบ้าน ล้วนต้องแจ้งข้าก่อน” ลู่เซิ่งกำชับราบเรียบ

“เจ้าค่ะ… เจ้าค่ะ…” เฉี่ยวเอ๋อร์ถูกน้ำเสียงขึงขังของลู่เซิ่งขู่ขวัญ รีบก้มหน้าขานรับ

ลู่เซิ่งมองนางแวบหนึ่ง ถือดาบเดินออกจากห้อง

เขารู้สึกว่าช่วงนี้โหดร้ายขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ สภาพอันสงบนิ่งที่แล้วมาคล้ายไม่ดีต่อการฝึกฝนวิชาทมิฬพิฆาต เขาเกิดความรู้สึกคิดฆ่าคนอย่างทารุณ สังหารตามชอบใจ นี่บางทีคงเป็นผลข้างเคียงของวิชาทมิฬพิฆาต

วันที่สอง บนถนนล้วนเป็นขบวนคนร้องเพลงพื้นบ้านของเทศกาลภูษาควันที่เอะอะหนวกหู ยังมีคนเล่นกายกรรม คนโยนลูกหนังแพร คนสอนวานร คนขายทักษะในยุทธภพ

กิจกรรมแต่ละอย่างออกันอยู่บนถนน ยิ่งเข้าใกล้กลางเมืองก็ยิ่งแออัดคึกคัก

ลู่เซิ่งอ่านเนื้อหาในตำราและคัมภีร์ ฝึกฝนปราณภายใน ฝึกดาบ ฝึกฝ่ามือตามปกติ จนกระทั่งพลบค่ำ ค่อยไปสถานที่ที่ซ่งเจิ้นกั๋วนัดไว้

สถานที่นัดหมายอยู่ใต้ต้นหลิวแถวหนึ่งข้างแม่น้ำไม้สน

ซ่งเจิ้นกั๋วรออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว ที่อยู่กับเขายังมีเฉินเจียวหรง

“พี่ลู่ พี่เยว่เซิง! สายแล้วๆ!” ซ่งเจิ้นกั๋วหัวเราะพร้อมเข้าไปตบบ่าลู่เซิ่ง “ข้ากับเจียวหรงรอท่านมานานแล้ว”

หลังจากเรื่องหวังจื่อเฉวียน เขาประจักษ์ชัดถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของสหายที่เรียกขาน จึงทิ้งสหายสนิททั้งหมดที่รู้จักก่อนหน้าไป ไม่เข้าใกล้อีก ส่วนคนที่นับได้ว่าเป็นสหายสนิทของเขาจริงๆ มีแค่สองคน

คนหนึ่งคือเฉินเจียวหรง หรือก็คือพี่ชายของเฉินอวิ๋นซี

อีกคนก็คือลู่เซิ่ง

วันนี้เขาจะไถ่ตัวจวินเอ๋อร์ จึงเชิญลู่เซิ่งกับเฉินเจียวหรงมาเป็นพยานให้ตัวเอง ขณะเดียวกันก็นับเป็นการฉลองด้วย

เดิมทีเขาคิดไปคนเดียว แต่ว่านึกไปนึกมา เรื่องใหญ่แบบนี้ ถ้าไม่บอกสหายสองคนที่สนิทที่สุดเลย ก็จะรู้สึกผิด

ดังนั้นท้ายสุดเขาจึงเขียนจดหมายเชิญพวกเขามา

“วันนี้เป็นวันที่น่ายินดีของพี่ซ่ง พอตกค่ำก็มีโชคสิเน่หา สุขเกษมเปรมปรีด์ เหอะๆ ยังให้พวกเราสองคนคอยดู ไม่ยุติธรรมเลย” เฉินเจียวหรงชี้หน้าซ่งเจิ้นกั๋วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“พี่ซ่งเพียงสนในความสุขของตัวเองแล้ว ไหนเลยยังจำสหายสนิทเช่นพวกเราได้” ลู่เซิ่งหัวเราะสัพยอกเช่นกัน

“วาจามากมายไม่เอ่ยถึง ไปเถอะๆ อย่าได้เสียเวลาแล้ว ขึ้นเรือก่อน!” ซ่งเจิ้นกั๋วหัวเราะ “คืนนี้ทุกคนต่างมีเรื่องให้กระทำ!”

เฉินเจียวหรงพลันตาเป็นประกาย ลากลู่เซิ่งไปด้วย สองคนไปยังเรือสำราญที่จอดนิ่งอยู่ข้างทะเลสาบไม่ไกล

เรือสำราญลอยลำเงียบๆ อยู่ที่หน้าท่าเรือ บนเรือคนขวักไขว่ แขกเหรื่อไม่น้อย คึกครื้นยิ่ง

หน้าต่างห้องห้องหนึ่งด้านข้างเรือ จวินเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ดวงตาเหมือนผลบ๊วยมองพวกซ่งเจิ้นกั๋วเขม็ง

‘เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร! พี่ใหญ่ซ่ง ทั้งๆ ที่รับปากข้าแล้วว่าวันนี้จะไม่มา!?’ จวินเอ๋อร์ใบหน้าซีดขาว เกาะมุมโต๊ะแน่น กัดริมฝีปากเป็นรอยเลือดสายหนึ่งโดยไม่รู้สึกตัว

‘เป็นแบบนี้ได้อย่างไร’ จวินเอ๋อร์สิ้นหวังอยู่ชั่วขณะหนึ่ง นางทราบว่าเป้าหมายของนายท่านคือพี่ใหญ่ซ่ง ซ่งเจิ้นกั๋ว ดังนั้นจึงเตือนพี่ใหญ่ซ่งอย่างเงียบๆ ก่อนว่าวันนี้อย่าได้มาเรือสำราญ แต่เหตุใดเขายังมา หนำซ้ำยังมาอย่างยินดีลิงโลดขนาดนั้น

จวินเอ๋อร์รู้สึกเพลีย ไม่อาจออกแรง นางต้องการพุ่งออกจากห้องไปหาซ่งเจิ้นกั๋ว ให้เขารีบหนี แต่นางทราบว่าตนเองทำไม่ได้

“คิกๆๆ…”

ทันใดนั้นเสียงหัวเราะแหลมสูงของสตรีก็ดังมาจากอีกด้านของห้อง

จวินเอ๋อร์มองไป

บนเตียงในห้องของตัวเอง ไม่ทราบว่านั่งด้วยสตรีผมยาวสวมกระโปรงขาวตอนไหน

สตรีนางนี้ผมดำยาวสลวยดั่งน้ำตก ปิดบังศีรษะและใบหน้าทั้งหมดไว้ มองไม่เห็นใบหน้านั้นแม้แต่น้อย ร่างกายของนางบอบบางเหมือนแค่ลมหอบหนึ่งก็พัดล้มได้

………………………………………….