บทที่ 47 เงาอรชร (5)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ผมที่ดำขลับดุจหมึกนั้นยาวถึงช่วงเอว ทั้งๆ ที่สตรีนางนั้นนั่งอยู่ตรงข้ามนาง ผมดำขลับยังคงปิดใบหน้าอีกฝ่ายไว้อย่างมิดชิด

“ข้าทำให้เขามาเอง…” สตรีนางนั้นยิ้ม ตอบข้อสงสัยของจวินเอ๋อร์

“ไม่… ท่านไม่อาจทำเช่นนี้…” จวินเอ๋อร์ทั้งตัวอ่อนเปลี้ย ความสิ้นหวังท้อแท้เติมเต็มหัวใจอย่างรวดเร็ว น้ำตาหยดหนึ่งไหลตามหางตานางออกมา

สตรีนางนั้นค่อยๆ ลุกขึ้น เดินมาหานาง

“คนแซ่ซ่งเป็นเหยื่อที่กำหนดไว้แต่แรก เจ้าคิดปล่อยเขาไปหรือ นี่เป็นการทำผิดกฎ

“ดังนั้น ข้าจึงใช้วิธีการของเจ้า ส่งจดหมายให้เขาไปแล้ว… นี่ปะไร เขาไม่เพียงมาแล้ว ยังนำของเซ่นสดใหม่มาส่งอีกสองคนด้วย… ไม่เลวจริงๆ…”

พวกเขาวางแผนกับคนที่เกิดในยามหยินอย่างซ่งเจิ้นกั๋วมานานเพียงนี้ ย่อมไม่ยอมปล่อยไปคนหนึ่ง ถึงอย่างไรคนเช่นนี้ก็เป็นของหายาก

จวินเอ๋อร์น้ำตาไหล ร่างกายสั่นระริก ปล่อยให้สตรีนางนั้นลูบไล้ใบหน้านาง จากนั้นมือข้างนั้นค่อยๆ หายเข้าไปในศีรษะนาง แทงจากขมับเข้าไปเหมือนทะลุผ่าน แล้วเริ่มใช้มือกวนเบาๆ

พร้อมกับการกวนของสตรีนางนั้น ดวงตาของจวินเอ๋อร์ค่อยๆ เปลี่ยนจากปราดเปรียวเป็นงดงามหยดย้อยอย่างช้าๆ จากนั้นผิวค่อยๆ เพิ่มความเปล่งปลั่งน่าลุ่มหลงขึ้นมาชั้นหนึ่ง ในอากาศถึงกับมีควันหอมหลายสายกระจายอยู่ เป็นควันหอมที่เย้ายวนถึงขีดสุด

แต่ว่าสตรีผมยาวกลับสังเกตเห็นว่า ในดวงตาจวินเอ๋อร์ยังคงมีความผิดหวังที่ทำให้คนปวดใจอยู่

“เจ้าไปอยู่คนเดียวตั้งสติก่อน คนแซ่ซ่งนั่นข้าจะให้คนอื่นไปจัดการ” นางพบความผิดปกติ ชักมือกลับอย่างรวดเร็ว แค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง หายไปจากห้อง

เหลือเพียงจวินเอ๋อร์นั่งอยู่คนเดียวในห้อง น้ำตาพร่ามัว

ซ่งเจิ้นกั๋วพาเฉินเจียวหรงกับลู่เซิ่งขึ้นเรือสำราญ

“คุณชายซ่ง คุณชายเฉิน คุณชายลู่ วันนี้เป็นวันดี รายการของพวกท่านจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว รอเพียงทั้งสามท่านมา” พอขึ้นเรือ เถ้าแก่เนี้ยเรือก็ต้อนรับด้วยรอยยิ้ม

“จวินเอ๋อร์เล่า” ซ่งเจิ้นกั๋วยิ้มถาม

“ยังคงแต่งตัวประทินโฉมอยู่ คุณชายซ่งวันนี้ต้องเอ็นดูนางด้วย” เถ้าแก่เนี้ยเรือกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ

“กล่าวได้ดีๆ !” บนใบหน้าซ๋งเจิ้นกั๋วเป็นรอยยิ้มที่อดกลั้นไม่อยู่ นำลู่เซิ่งกับเฉินเจียวหรงเข้าไปในห้องที่เตรียมไว้แล้วห้องหนึ่ง

ทั้งสามคนนั่งลง ราตรีนอกหน้าต่างขมุกขมัว มีแสงจันทร์สาดลงบนขอบหน้าต่างดุจผ้าโปร่ง

เถ้าแก่เนี้ยเรือยังไม่จากไป หลังจากทั้งสามคนเข้าห้อง ก็ปรบมือ สตรีสวมผ้าคลุมหน้ากลุ่มหนึ่งทยอยกันเข้ามา

สตรีเหล่านี้ล้วนสวมเสื้่อตัวในแบบสามจุดที่แท้จริง ท่อนบนเป็นเกาะอกสีขาว ท่อนล่างเพียงใช้ผ้าบางผืนหนึ่งอำพรางระหว่างสองขาไว้ ผ้าบางนั้นยังเป็นลักษณะกึ่งโปร่งแสงสีเขียวจาง

สตรีทั้งหมดต่างมีร่างอ้อนแอ้น กล่าวได้ว่าต่อให้สวมผ้าคลุมหน้า ก็มองเห็นรูปโฉมงดงาม องคาพยพหมดจด

สตรีนางหนึ่งในนี้กอดผีผาค่อยๆ นั่งลงในห้อง มือขาวผ่องเริ่มดีดเบาๆ

เสียงเพลงไพเราะ ทั้งสามคนพลันตัวสั่นสะท้าน ร่างกายที่เดิมร้อนรุ่มเล็กน้อยเพราะการแต่งกายของสตรีเหล่านี้ ประเดี๋ยวเดียวเลือดลมสูบฉีดกว่าเดิม

เสียงผีผาเบายิ่ง เหมือนกับคนรักกระซิบเบาๆ ข้างหู เสียงดนตรีอันเสนาะโสตค่อยๆ ลอยมา ทั้งสามคนมีสีหน้าซึมเซา มัวเมาอยู่บ้าง

ไม่ทันไรสุราอาหารก็ถูกทยอยส่งมา เป็นอาหารหล่อเลี้ยงหยินเสริมหยางทั้งสิ้น

ซ่งเจิ้นกั๋วใบหน้าแดงเรื่อ หัวเราะพลางโน้มน้าวให้ลู่เซิ่งกับเฉินเจียวหรงกิน

ลู่เซิ่งกินเพียงสองคำก็ไม่คีบต่ออีก เพียงนั่งฟังเพลงเฉยๆ

อาหารมื้อหนึ่งกินเกือบหนึ่งชั่วยามกว่าๆ สตรีงามเปลี่ยนไปสามชุด ทั้งสามคนต่างดื่มจนเบื่อหน่ายแล้ว

“ว่าไปแล้ว เดิมทีเรือสำราญลำนี้ไม่ให้มีการใกล้ชิดทางกาย แต่ว่าวันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน หัวหน้าเรือรับปากข้า ขอแค่คืนนี้ข้าไถ่ตัวจวินเอ๋อร์กลับไป ในหญิงงามบนเรือที่ออกมาก่อนหน้า ให้พวกเราสามคนเลือกอยู่ร่วมยามราตรีได้” ซ่งเจิ้นกั๋วกล่าวด้วยรอยยิ้มได้ใจอยู่บ้าง

“เป็นเรื่องจริงหรือ” เฉินเจียวหรงได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก “เรือสำราญลำนี้ไม่เคยแย่งชิงกิจการหอคณิกา” เขาแสดงสีหน้าประหลาดใจขณะกล่าว

“ดังนั้นข้าจึงยินดี หญิงงามของที่นี่ไม่ใช่คนธรรมดาจะแตะต้องได้ พี่น้องสองท่านไม่ต้องเกรงใจ ข้ามีเสี่ยวจวินแล้ว สตรีคนอื่นๆ ต่างไม่ต้องใจ พวกท่านกลับเลือกได้หนึ่งถึงสองคน” ซ่งเจิ้นกั๋วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“นี่น่าแปลกใจยิ่ง” ลู่เซิ่งมองด้านนอก ท้องฟ้าค่อยๆ มืดแล้ว ไม่ทราบว่าบนเรือผ่านไปแล้วกี่ชั่วยาม แขกเหรื่อก่อนหน้านี้ที่เดินขวักไขว่อยู่ด้านนอกค่อยๆ น้อยลงเช่นกัน บนดาดฟ้าเรือก่อนหน้านี้ยังได้ยินเสียงสนทนาเล็กๆ น้อยๆ ตอนนี้แทบไม่มีแล้ว

“ไม่สู้พวกเรามาเล่นโยนลูกศรกัน วันนี้เป็นเทศกาลภูษาควัน ถ้าผลการโยนลูกศรไม่เลว ยังมีบริการเพิ่มเติม” ซ่งเจิ้นกั๋วใช้บริการเรือสำราญลำนี้มาโดยตลอด คุ้นเคยกับกฎส่วนหนึ่งดียิ่ง

ลู่เซิ่งไม่มีข้อโต้แย้ง เฉินเจียวหรงหัวเราะตอบรับ

ทั้งสามคนเริ่มให้สตรีบนเรือสำราญย้ายโถกับลูกศรไม้มา ซ่งเจิ้นกั๋วหยิบลูกศรโยนไปในโถเป็นคนแรก ลู่เซิ่งกับเฉินเจียวหรงชมอยู่ด้านข้าง

เมื่อโยนลูกศรลง หญิงสาวรอบๆ จะปรบมือโห่ร้องยินดี เฉินเจียวหรงดื่มจนเมาอยู่บ้าง โอบเด็กสาวที่ตัวเล็กที่สุดคนหนึ่งมากระซิบหยอกล้อ บรรยากาศคลุมเครือ

วิธีการโยนลูกศรคือใช้ลูกศรโยนไปยังโถที่เหมือนกับไห นับว่าเป็นการละเล่นซึ่งเป็นที่นิยม ไม่ว่าสุภาพชนมีการศึกษาหรือคนธรรมดาสามัญ ต่างก็แพร่หลายกว้างขวาง

ลู่เซิ่งคำนวณเวลา ถามเด็กสาวข้างตัว

“ที่นี่ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่เทียบท่าหรือ”

“ใช่แล้ว ยังไม่เทียบท่า” หญิงสาวยิ้มมองเขา

ลู่เซิ่งมองรอยยิ้มของนาง รู้สึกว่าไม่ถูกต้องอยู่บ้าง แต่บอกไม่ถูกว่าเป็นที่ใดไม่ถูก คิดอยู่ครู่หนึ่งไม่เห็นเลศนัย จึงมองดูซ่งเจิ้นกั๋วต่อ

ทั้งสามคนเล่นกันสักพัก

“ดึกมากแล้ว พวกเราสมควรไปอาบน้ำ อีกเดี๋ยวจะมาอยู่เป็นเพื่อนพวกคุณชายอีก” หญิงงามนางรำที่เป็นหัวหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ไปเถอะๆ” ซ่งเจิ้นกั๋วโบกมือ

พวกหญิงสาวทยอยออกจากห้องไป คนสุดท้ายปิดประตูเบาๆ ในห้องสงบเงียบลง

ทั้งสามคนนั่งบนตั่งเตี้ย ตรงหน้าวางสุราอาหารกระจัดกระจาย ไหสุราวางอยู่ด้านข้างสองใบ

“คืนนี้ดื่มเยอะไปหน่อย” เฉินเจียวหรงส่ายหน้าเอ่ย

“อย่าได้เสียเรื่องหลัก” ซ่งเจิ้นกั๋วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อยากไปห้องน้ำหรือไม่”

“ข้าจะไปล้างหน้า”

ลู่เซิ่งสั่นศีรษะ ลุกออกจากห้อง

ด้านหน้ามืดครึ้ม นอกห้องโถงใหญ่กลางเรือสำราญ ห้องแต่ละห้องต่างปิดประตูแน่น ไม่เห็นแม่นางเข้าออก ลู่เซิ่งดื่มจนมึนหัวปวดศีรษะ เดินไปยังห้องน้ำ

ไปห้องน้ำล้างหน้าสดชื่นขึ้นมาก เขาเช็ดหน้าเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว ก็พลันงุนงง

แสงตะเกียงในโถงใหญ่ด้านนอกลำหนึ่งส่องพื้นนอกห้องน้ำ เพียงแต่สีของแสงตะเกียงแตกต่างจากที่เขาจำได้เมื่อก่อนหน้าอยู่บ้าง

‘จำได้ว่าแสงก่อนหน้าเป็นสีเหลืองนี่’ ลู่เซิ่งหยีตา มองแสงสีแดงสด

ด้านนอกสงบเงียบ สงบเงียบจนถึงขั้นไม่มีเสียงสักเสียง แม้แต่เสียงคลื่นน้ำกระทบตัวเรือด้านนอกก็ไม่ได้ยิน

ลู่เซิ่งก้มหน้าพิจารณาแสงสีแดงใต้เท้า ยกขาขึ้นเบาๆ เดินออกจากห้องน้ำกลับไปโถงใหญ่

โถงใหญ่เงียบสงัด โคมไฟเหลืองที่แขวนไว้ก่อนหน้านี้ไม่ทราบเปลี่ยนเป็นโคมไฟแดงตั้งแต่ตอนไหน แสงสีแดงจางๆ ย้อมโถงใหญ่เป็นสีชนิดหนึ่ง

ลู่เซิ่งเดินถึงรั้วกั้นก้มมองด้านล่าง ชั้นที่เขาอยู่เป็นชั้นสอง ด้านล่างเป็นชั้นหนึ่ง ไม่เห็นคนอื่น ก่อนเข้าห้องน้ำเห็นแม่นางกับแขกหลายคน ตอนนี้ล้วนไม่เห็นแล้ว มีเพียงลมเย็นพัดผ่านหลายระลอก

ลู่เซิ่งนิ่วหน้าเล็กน้อย เร่งฝีเท้าเดินไปยังห้อง

พอเดินถึงห้องก็ผลักประตูเข้าไป เฉินเจียวหรงไม่อยู่ อาจจะไปห้องน้ำ ซ่งเจิ้นกั๋วไม่กลับมา อาจจะอยู่ที่ห้องน้ำ

เพิ่งผ่านหัวมุม พลันขมวดคิ้ว เห็นในห้องถึงกับแขวนโคมไฟแดงขนาดใหญ่สองใบ

โคมไฟแดงสองใบแขวนอยู่เหนือที่นั่งซึ่งเขาทานดื่ม ไม่ทราบว่าใครแขวนไว้

ประตูห้องที่อ้าอยู่มีเสียงลมพัดหวีดหวิว ในห้องเงียบสงัดไร้เสียง ลู่เซิ่งมองโคมไฟ จากนั้นกวาดมองรอบๆ

“พี่ซ่ง พี่เฉิน”

เขาลองเรียกดู แต่ไม่มีคนขาน

นึกถึงเรือหอแดงที่ลี้ลับซึ่งตนเคยเจอลำนั้น สายตาเคร่งขรึมลงในอึดใจ

นั่งบนที่นั่ง ยันสองมือไว้บนเข่า รอคอยซ่งเจิ้นกั๋วกับเฉินเจียวหรงกลับมาอย่างสงบ ถ้าพวกเขาไปห้องน้ำจริงๆ จะต้องกลับมาห้องนี้

รออยู่ครู่หนึ่ง ปากประตูแว่วเสียงฝีเท้าเบาๆ

เสียงฝีเท้านั้นเข้าใกล้มาอย่างเชื่องช้า ไม่ทันไรก็หยุดลงที่ประตูห้อง พอดีเป็นมุมโค้งที่ลู่เซิ่งมองไม่เห็น

“พี่ซ่ง” เขาค่อยๆ ลุกขึ้น ลองเรียกดู

คนผู้นั้นยืนอยู่ตรงมุมโค้ง ไม่ส่งเสียง

ลู่เซิ่งหยีตา กดด้ามดาบสั้นหลังเอว ดาบเล่มนี้เขาซื้อมาใช้ป้องกันตัวโดยเฉพาะ ขนาดเท่าปลายแขน เสียบอยู่ในเสื้อคลุมหลังเอว มองไม่เห็นเค้าโครง

เขาค่อยๆ เดินไปยังประตู ผ่อนฝีเท้าเบาๆ

แต่ตอนที่เขาเพิ่งลุก ด้านหลังค่อยๆ ปรากฏเงาร่างสีขาวสายหนึ่ง เงาคนสีขาวพร่ามัวสวมอาภรณ์ขาวตัวยาว โผล่ขึ้นด้านหลังลู่เซิ่ง ยื่นกรงเล็บเข้าหาท้ายทอยของเขาอย่างไร้สุ้มเสียง

ครืดๆ…

ทันใดนั้นลู่เซิ่งคว้าขอบกำแพงไม้ไว้ ถูรอยมือจางๆ รอยหนึ่งที่เหลืออยู่ด้านบน

คนเสื้อขาวนั้นตกใจเพราะเสียงเคลื่อนไหว รีบชักมือกลับ มองไปที่กำแพงไม้ พบว่าเป็นเพียงเสียงแทรกที่ดังขึ้นโดยไม่คาดคิด จึงหันกลับมายื่นนิ้วใส่กลางหลังลู่เซิ่งอีกครั้ง

เพียงแต่คราครั้งนี้ สิ่งที่มันเห็นกลับเป็นใบหน้าลู่เซิ่งที่หันมา ดวงตาสองข้างที่เปล่งประกายสบตากับมัน

“เจ้าทำอะไร” ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม เผยฟันขาวที่ทำให้คนขนลุกขนพอง

คนเสื้อขาวตกใจ ลอยไปด้านหลัง หายเข้าไปในกำแพงเบื้องหลังอย่างรวดเร็ว

ตูม!

พริบตานั้น เงาคนสีดำสายหนึ่งชนใส่กำแพง ประกายดาบสีเงินฟันใส่กำแพงอย่างเหี้ยมหาญเหมือนน้ำตก

เป็นลู่เซิ่ง!

เขาถึงกับไม่พูดพร่ำทำเพลง ฟันดาบออกมา พละกำลังกับพลังระเบิดอันมหาศาลทำให้ดาบนี้ของเขาฟันกำแพงแหลกเหมือนหั่นเต้าหู้ พุ่งตามคนเสื้อขาวไปติดๆ

คนเสื้อขาวตื่นตระหนก ลอยผ่านห้องข้างเคียง หายเข้าไปในกำแพงแผ่นที่สองต่อ

ตูม!

“ตาย!”

ในเสียงแหลกลาญของกำแพงอันกึกก้อง ถึงกับแทรกเสียงตะโกนดังสนั่น ลู่เซิ่งไล่ตามไม่ลดละ กระแทกดาบใส่กำแพงอีกครั้ง พุ่งเข้าหาคนเสื้อขาว

เส้นเลือดปูดโผล่ขึ้นมาบนผิวทั่วร่างเขา เลือดลมสูบฉีดในร่าง คนเหมือนกับขยายขนาดขึ้น ใหญ่กว่าขนาดร่างก่อนหน้านี้เกือบหนึ่งเท่า ราวคนยักษ์ย่อส่วน

ดาบที่เขาถือไว้เล่มนั้น เทียบกับขนาดร่างของเขา เหมือนกับกำกิ่งไม้ท่อนๆ เล็ก ตัวดาบหยาบเล็กไม่ถึงหนึ่งในสามส่วนของปลายแขน

………………………………………….