ดังนั้นแล้ว หมาป่าเดียวดายจึงงับเข้าที่ก้นเขาอย่างไม่เกรงใจ ทำให้เขากลัวคิดว่ามันถูกใจเขา ตอนที่ขึ้นเขามาอีกครั้งจึงต้องปิดก้นไว้แน่น เดินอ้อมไป ทุกคนที่มองอยู่อดหัวเราะไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี

แต่ฟางเจิ้งก็ไม่ได้ว่าง ตอนที่ห้าคนลงเขา ข้าวสุกแล้ว แต่เขาหุงไว้อีกหม้อ หม้อนี้มีปริมาณไม่มาก แต่พอสำหรับห้าคนกินอิ่มครึ่งหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเขาไม่ใจกว้างหรอก แต่ใจกว้างไม่ได้ต่างหาก! ตนก็ต้องผ่านฤดูหนาวเหมือนกัน…

ไปๆ มาๆ ก็ถึงตอนบ่าย ถังน้ำสุดท้ายเทเข้าไปในโอ่งพุทธ น้ำในโอ่งเต็มแล้ว!

พั่งจื่อกับโหวจื่อกระโดดตีมือกัน จากนั้นเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ก่อนนั่งลงกับพื้น เป็นตายยังไงก็ไม่ลุกขึ้น

“พั่งจื่อ โหวจื่อ ไม่เป็นไรนะ?” สามสาวก็ไม่ต่างกัน แต่ละคนเป็นลูกคุณหนู ถึงจะไม่ได้แบกหนัก แต่ขึ้นลงเขาสิบรอบก็เหนื่อยจนทนไม่ไหวเหมือนกัน

พั่งจื่อหอบหายใจแรง ตอบกลับทั้งๆ ที่ยังหลับตา “ไม่เป็นไร ตกนรกจริงๆ ตอนทำงานไม่เห็นรู้สึกเหนื่อย พอเสร็จได้พักแล้วก็รู้สึกหมดแรงเลย ไม่ขยับตัวแล้ว”

โหวจื่อถือโอกาสนอนแผ่บนพื้น “ขยับไม่ได้จริงๆ ตอนนี้ฉันแค่อยากนอนที่นี่ หลับนานๆ ไปเลย”

“ไม่ใช่ว่าคุณพั่งไม่ขยันหรอกนะ แต่แรงดูดโลกตอนนี้มันมากจริงๆ!” พั่งจื่อกล่าว

ตอนนี้เองฟางเจิ้งหยิบถังน้ำเล็กออกมา ใช้กระบวยตักน้ำในโอ่งมาทีละกระบวย จากนั้นวางไว้ตรงหน้าคนเหล่านี้แล้วกล่าวสวด “อมิตพุทธ พวกโยมดื่มน้ำหน่อยเถอะ น้ำนี่จะเติมพลังให้พวกโยมฟื้นกลับมาอย่างรวดเร็ว”

“ไต้ซือ ผมไม่มีแรงแล้ว” พั่งจื่อพูดเหมือนจะร้องไห้

ดีที่หลูเสียวอ่ากับหร่วนอิ่งยังมีแรง จึงลุกขึ้นมาป้อนน้ำให้สองคน

ตอนนี้พั่งจื่อยังบ่นอีกว่า “ไต้ซือ พูดให้รู้เรื่องก่อนนะ น้ำนั่นที่ให้พวกเราดื่มก่อนหน้านี้ทำไมถึงยังเป็นน้ำในโอ่งนั่นอีกล่ะ พวกเราดื่มน้ำนี่ตรงตีนเขามาพอแล้ว ถึงรสชาติจะไม่แย่ แต่สู้น้ำที่ท่านให้พวกเราดื่มไม่ได้เลย”

ฟางเจิ้งหัวเราะ “นั่นเป็นน้ำบริสุทธิ์ เป็นน้ำพุทธหลังจากที่อาตมาปลุกเสกแล้ว รสชาติย่อมต่างกัน แต่ความจริงคือน้ำชนิดเดียวกัน”

“จริงเหรอ?” พั่งจื่อตะลึงงัน พอดื่มน้ำที่หร่วนอิ่งป้อนก็เชื่อทันที! บอกว่าไม่มีแรง แต่ครู่เดียวก็คว้ากระบวยน้ำไว้แล้วดื่มอึกๆ! เป็นอย่างที่ฟางเจิ้งบอกจริงๆ พอน้ำเข้าปากก็ไหลไปทุกเซลล์ เติมพลังงานและน้ำให้กับเซลล์ ช่วยขจัดความเหนื่อยล้าได้รวดเร็วมาก!

ดื่มน้ำไปหนึ่งกระบวยแล้วพั่งจื่อดูสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย กำลังเพิ่มมาหลายส่วน ไม่ต้องให้หร่วนอิ่งป้อนแล้ว เขานั่งอยู่ข้างถังน้ำ ตักมาดื่มทีละกระบวย ดื่มไปพลางตะโกนไปพลาง “สุขใจจัง! สบาย!”

อีกด้านโหวจื่อก็เหมือนกัน สามสาวเห็นดังนั้นก็ตามมาดื่มน้ำ ความสุขที่ขาดน้ำมานาน พอได้สัมผัสน้ำบริสุทธิ์ ก็ไม่รู้ว่าจะบรรยายคำว่าสบายได้ยังไง?

ขณะที่คนเหล่านี้กำลังดื่มน้ำ ฟางเจิ้งพลันยกถังน้ำขึ้น

“เฮ้ๆๆ…ไต้ซือ ไหนบอกว่าจะให้ดื่มจนพอไง?!” พั่งจื่อไม่สนใจอะไรแล้ว

ฟางเจิ้งยิ้มตอบ “โยม ดื่มอีกพวกโยมจะอิ่ม”

“ดื่มอิ่มสิดี ผมหิวจะแย่แล้ว” พั่งจื่อลูบท้องพลางพูดด้วยความขมขื่น

“ใช่ๆ ไต้ซือ พวกเรายังดื่มไม่อิ่มเลย” เจียงถิงพูดขึ้น

ฟางเจิ้งยิ้ม “พวกโยมมั่นใจว่าจะดื่มน้ำให้อิ่มจริงๆ นะ?”

“แน่นอน!”

“มั่นใจสองครั้งเลย แถมให้อีกครั้งด้วย!”

ห้าคนพยักหน้าอย่างสุดชีวิตด้วยสีหน้าจริงจัง ถ้าไม่ให้พวกเขาจะตามราวีสุดชีวิต

ฟางเจิ้งพยักหน้า วางถังน้ำลง จากนั้นหมุนตัวเดินไปอีกทางพลางว่า “แบบนี้ก็ดี จะได้ประหยัดข้าวอาตมา วัดอาตมาเป็นวัดเล็ก ข้าวเป็นของหายาก พวกโยมไม่กินก็ช่วยประหยัดได้”

“ไต้ซือ! เดี๋ยว ท่านว่าไงนะ?” พั่งจื่อที่กำลังดื่มน้ำหูกระดิก ได้ยินคำพูดฟางเจิ้งจึงถาม

ฟางเจิ้ง “โยมได้ยินอะไร อาตมากำลังพูดอะไรงั้นเหรอ”

“ขอบคุณมากไต้ซือ!” พั่งจื่อร้องขึ้นในทันใด ถึงน้ำจะอร่อย แต่ดื่มมากไปก็รับไม่ไหว สำคัญคือน้ำแก้หิวไม่ได้! พอได้ยินว่ามีข้าว เจ้านี่ก็กลับมามีชีวิตชีวา กระโดดโลดเต้นหัวเราะเสียงดัง

พวกโหวจื่อก็ไม่ใช่คนหูหนวก หัวเราะตามและพูดขอบคุณไม่หยุด

ฟางเจิ้งส่ายหน้าเล็กน้อย เปิดหม้อข้าวออก ควันสีขาวลอยโชย กลิ่มหอมฟุ้งกระจายไปรอบๆ! ข้าวผลึกมีกลิ่นหอมพิเศษ อัดแน่นอยู่เต็มห้องครัว ห้าคนนี้ออกแรงสูดควันขาวก่อนมีสีหน้าเคลิบเคลิ้ม เป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกว่าข้าวหอมได้ขนาดนี้! ทั้งยังน่ากิน!

“ไต้ซือ นี่มันข้าวอะไรคะ? ทำไมหอมจัง!” เจียงถิงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ

ฟางเจิ้งหัวเราะ “พุทธองค์กล่าวไว้ว่า พูดไม่ได้ พวกโยมจะกินไหม?”

“กิน!” ห้าคนประสานเสียงกัน ตอนนี้ความคิดพวกเขาถูกความตะกละเข้าครอบงำอย่างสมบูรณ์ ไม่คิดอะไรแล้ว ที่มากกว่าคือเชื่อใจฟางเจิ้ง ความระวังต่างๆ ตอนขึ้นเขามาหายไปนานแล้ว

ฟางเจิ้งพยักหน้า ตักให้หนึ่งคนหนึ่งชาม

“ไต้ซือ กับข้าวล่ะ?” พั่งจื่อยกชามข้าวพร้อมถาม

ฟางเจิ้งยิ้มแห้ง “อาตมาอยู่ในถิ่นกันดาร จะมีกับข้าวจากไหน? ใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว ไม่มีผัดสดกินได้ด้วย ถ้าจะมีจริงๆ ก็มีผักป่า พวกโยมกินได้ไหม”

“หา?” พั่งจื่อเหม่อลอย เจียงถิงงุนงง ถึงข้าวจะหอม แต่กินข้าวเปล่าๆ นี่มัน…

ยังไม่ทันที่เจียงถิงจะพูดอะไรก็ได้ยินเสียงเคี้ยวดังไม่หยุดข้างหู เธอหันไปมอง ก่อนชี้ไปข้างหลังพั่งจื่อ “พั่งจื่อนายดูสิ!”

พั่งจื่อมองตามไปเห็นโหวจื่อ หลูเสียวอ่า หร่วนอิ่งสามคนกำลังกินข้าวอย่างบ้าคลั่ง สีหน้าเหี้ยมโหดนั้นราวกับว่าข้าวเป็นคนที่พวกเขาจะฆ่าล้างแล้น! กินกันได้รวดเร็วมาก!

สองคนนี้คุ้นตากับภาพนี้เล็กน้อย ตอนดื่มน้ำก็มีสีหน้าแบบนี้! พอนึกขึ้นได้ว่าข้าวนี่ใช้น้ำบริสุทธิ์หุง รสชาติจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ สองคนจึงเริ่มกิน ข้าวหวานนุ่มคำแรกเข้าปาก พอกัด กลิ่นหอมแตกกระจายหลงเหลือเต็มปาก!

เม็ดข้าวอัดแน่น เปลือกนอกคล้ายหมากฝรั่ง กัดเบาๆ เนื้อข้าวหอมมันทะลัก กลิ่นหอมรุนแรงกว่าเดิม!

หอม!

หอมจริงๆ!

นี่คือความคิดที่วูบผ่านในใจสองคนนี้ ที่เหลือก็ก้มหน้ากินอย่างบ้าคลั่ง แต่พั่งจื่อยังจำผักป่าที่ฟางเจิ้งพูดได้ คิดว่าผักป่าก็ไม่น่าจะธรรมดาเหมือนกัน จึงเฝ้าจับตาดูไว้ อาศัยจังหวะที่ทุกคนไม่สังเกตคีบมาชิมคำหนึ่ง หากอร่อย เขาจะแอบกินจนหมดคนเดียว

แต่เมื่อเข้าปากก็แทบจะคายทิ้ง ซ้ำด่าทอในใจ ‘นี่มันห่าอะไรวะเนี่ย!’

ดีที่ข้าวอร่อยจึงทนไหว

ฟางเจิ้งมั่นใจว่าพั่งจื่อไม่กินผักป่าจึงเก็บไป ถึงผักป่าจะไม่อร่อย แต่ไม่ว่ายังไงก็เป็นผัก เขาต้องผ่านฤดูหนาว การเสริมวิตามินก็ต้องใช้ผักป่าเหล่านี้ ประหยัดได้ก็ประหยัด!

………………………….