พวกเขากินกันอย่างมูมมาม ไม่นานก็กินหมด!

เมื่อกินหมด ไม่ว่าหญิงหรือชาย อ้วน ผอม ต่างเบิกตาโตมองฟางเจิ้ง

ฟางเจิ้งแบมือพูดขึ้น “พวกโยม ดื่มน้ำแล้ว กินข้าวก็แล้ว ฟังอาตมาพูดสักหน่อยได้ไหม?”

“ไต้ซือ ท่านพูดมาเถอะ แต่ก่อนพูดให้กินข้าวอีกคำได้ไหม? ท่านก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นข้าวที่อร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมาในชีวิต! ยิ่งกินยิ่งหิว” พั่งจื่อตอบกลับ

ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ตลก เขายังไม่พอกินเลยแล้วจะให้คนอื่นกินรึไง? ตัวเขาเองยังไม่พอกินแล้วจะหาห่วงมาเพิ่มให้หิวตายเร็วขึ้นอีกทำไม?

พั่งจื่ออยากพูดบางอย่าง แต่เจียงถิงดึงเอาไว้ “เอาล่ะ พั่งจื่อ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้นเถอะ ไต้ซือให้ข้าวกินก็ถือว่าเป็นบุญคุณครั้งใหญ่แล้ว”

พั่งจื่อหุบปากเงียบไปจริงๆ กินของคนอื่นแล้วก็ต้องปฏิบัติตาม อีกอย่าง วัดนี่แปลกประหลาดทุกที่ ทำให้เขายอมจริงๆ

เจียงถิงเดินเข้ามาพูดขึ้น “ไต้ซือ ก่อนหน้านี้ท่านจะพูดบางอย่างกับฉัน น่าเสียดาย เจียงถิงไม่รู้ดีชั่ว ไม่ฟัง ไต้ซืออย่าตำหนิเลยนะคะ ท่านมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะค่ะ”

“ใช่ๆๆ ท่านพูดมาเถอะ แต่อย่าพูดว่าพวกเราดวงซวยต้องเลือดตกยางออกอะไรพวกนี้เลย พวกนั้นน่ะแค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นพวกต้มตุ๋น” พั่งจื่อพูดปากไม่มีหูรูด

โหวจื่อเดินเข้ามาเตะไปทีหนึ่ง พั่งจื่อจึงต่อว่าด้วยความคับอกคับใจ “ไอ้โหวบ้า นายเตะฉันทำไม? นายเป็นคนพูดแบบนี้เองไม่ใช่เหรอ?”

“พูดกับผีสิ! หุบปากเดี๋ยวนี้นะ! ถ้านายพูดอีกที ฉันจะปล่อยลมยางรถนายให้หมด แฟนนายก็ให้กลับเอง!” โหวจื่อว่ากลับ

พั่งจื่อจะพูดบางอย่าง แต่ทุกคนมองมาด้วยแววตาโมโหพร้อมกัน! เขาจึงเงียบปากไป

จากนั้นโหวจื่อถึงหัวเราะแหะๆ พูดกับฟางเจิ้ง “ไต้ซือ อย่าถือโทษเลยนะครับ ท่านพูดมาเถอะ”

ฟางเจิ้งยิ้มเฝื่อน คนพวกนี้เป็นหมอดูรึไง? ทุกครั้งที่เขาจะพูดถึงตอบกลับได้แม่นขนาดนี้? จ้าวต้าถงครั้งก่อน ครั้งนี้พั่งจื่อ พวกนี้จบมาจากคณะอ่านจิตใจรึไงกัน

แต่ฟางเจิ้งก็ยังต้องพูด ไม่ใช่เพื่ออะไร แต่สองชีวิต แล้วก็โอกาสจับรางวัลสองครั้ง! เขาทำใจปล่อยไปไม่ได้ ดังนั้นจึงพูดขึ้น “พวกโยม รับปากอาตมาเรื่องหนึ่งก็พอ”

“ครับ? ไต้ซือพูดมาได้เลยครับ ไม่ว่าจะฝ่าน้ำลุยไฟพวกเราก็กล้า แต่ขอเป็นเรื่องที่ทำได้นะครับ” โหวจื่อไม่กล้าพูดเต็มปากเต็มคำ หลวงจีนตรงหน้าลึกลับยากจะคาดเดา กลัวว่าจะให้ทำเรื่องไม่ดี เขาจึงไม่กล้าคุยโว

ฟางเจิ้งยิ้ม “อาตมาไม่ได้จะให้พวกโยมทำอะไร โยมกับอุบาสิกาท่านนี้รับปากอาตมานะ วันข้างหน้าหากเจอขบวนรถบรรทุกถ่านสี่คันอยู่ข้างหน้า อย่าแซง ให้ลดความเร็วลง รักษาระยะห่างปลอดภัยไว้ก็พอ”

“หา? เอ่อ?” โหวจื่อกับหลูเสียวอ่ามึนงง

เจียงถิง พั่งจื่อ หร่วนอิ่งก็งง ไม่คิดว่าหลวงจีนตรงหน้าจะอ้อมมาพูดเรื่องที่ไร้มูลเหตุแบบนี้

โหวจื่อก็ตกใจหมือนกัน จึงถามต่อทันที “ไต้ซือ ท่านเห็นอะไรเหรอครับ?”

ฟางเจิ้งส่ายหน้า “โยมอย่าถามเยอะ แค่จำคำอาตมาไว้ ปฏิบัติตาม ถือว่าเป็นการตอบแทนเรื่องข้าวน้ำในวันนี้แล้วกัน” ขณะเดียวกันฟางเจิ้งก็ถามระบบ “ฉันพูดแบบนี้ถือว่าเผยความลับสวรรค์รึเปล่า?”

“แค่ไม่พูดความจริงออกไปทั้งหมด แค่ชี้แนะก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้นายพูดมากไปหน่อยนะ วันหลังพูดให้น้อยกว่านี้จะดี” ระบบเตือน

ฟางเจิ้งถอนหายใจโล่งอก กลัวจริงๆ ว่าระบบจะประเมินเขาแย่ หักคะแนนอะไรพวกนี้อีก ถึงตอนนั้นภารกิจสำเร็จแล้วกลับไม่ได้รางวัล นั่นต่างหากที่น่ากังวลจริงๆ ถึงยังไงภารกิจก็เปลืองแรงมาก

พูดถึงขนาดนี้แล้ว โหวจื่อยังพูดอะไรได้อีก?

โหวจื่ออ้าปากร้องโอ๊ย ก่อนเอ่ยด้วยความโกรธ “หลูเสียวอ่า เธอหยิกฉันทำไม?”

“ไต้ซือพูดกับนายนะ มัวเหม่ออะไร? เร็วๆ สิ” หลูเสียวอ่ามองด้วยความโมโห

ตอนแรกโหวจื่อยังอยากถามอีกเล็กน้อย แต่แฟนเขาเร่งมาแบบนี้จึงไม่ถาม แต่ตอบไปอย่างเด็ดขาด “ไต้ซือวางใจ ผมจะจำคำพูดท่านไว้ ถ้าเจอจริงๆ จะไม่แซง จะรักษาระยะห่างปลอดภัย”

ฟางเจิ้งยิ้มพอใจ ก่อนผายมือเชิญ “พวกโยม นี่ก็บ่ายแล้ว รีบลงเขาเถอะ บนเขาไม่มีที่พักนะ”

พวกโหวจื่อ พั่งจื่อ เจียงถิงก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน ถึงจะได้ดื่มน้ำ กินข้าวผลึก แต่คนไม่ใช่เครื่องจักร จึงเอ่ยลาไป พวกเขาลงเขามาอย่างปลอดภัย กลับขึ้นรถ หันไปมองภูเขาเอกดรรชนีแวบหนึ่ง บนเขามีเมฆขมุกขมัวราวกับความฝัน

เจียงถิงหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปลงในเวยป๋อโพสต์ใหม่ “วันนี้ขึ้นเขาเอกดรรชนีกับพั่งจื่อ โหวจื่อ เสียวอ่า อิ่งเอ๋อร์ เจอวัดเอกดรรชนี ตั้งแต่เล็กจนโตนี่เป็นวันที่เต็มอิ่ม แปลกและเหมือนฝันที่สุด จนตอนนี้ยังรู้สึกเหมือนฝันอยู่เลย ใครบอกฉันทีว่าฉันกำลังฝันหรือตื่นอยู่?”

ตอนแรกเจียงถิงว่าจะเขียนคำพูดเกี่ยวกับฟางเจิ้งไปด้วย แต่ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นหลวงจีนที่ยิ้มแสงเจิดจรัสและสง่า ใบหน้างามจึงแดงขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะเขียนลงไปยังไงดี กลัวว่าถ้าเขียนผิดจะทำให้คนเข้าใจผิด…

พอเสียงแตรรถพั่งจื่อดังขึ้น เจียงถิงถึงได้สติกลับมาแล้วออกรถไป

ฟางเจิ้งมองเงาแผ่นหลังคนเหล่านี้จากไปพลางด่าทอในใจ ‘พวกแกนี่มันเวรจริงๆ กินดื่มบ้านคนอื่นแล้วยังไม่จุดธูปอีก! ไม่บริจาคเงินค่าธูปไว้เลย ขี้งกกันจริง!’

ฟางเจิ้งด่าเสร็จก็ยังไม่ยอม กลับไปในอุโบสถ ค้นดูทุกซอกทุกมุมอีกครั้ง ดูใต้กระถางธูป ใต้โต๊ะหมู่บูชา ใต้เบาะนั่ง หาจนทั่ว…ถึงถอนหายใจหมดอาลัยตายอยาก ก่อนกลับไปนอนในกุฏิ คืนนี้คงนอนไม่หลับด้วยความผิดหวัง…

“ติ๊ง! เป็นไต้ซือ แต่กลับคิดถึงประโยชน์ของตัวเอง นี่ไม่ตรงตามเงื่อนไขของระบบ บางครั้งในชีวิตไม่ต้องไขว่คว้าก็ได้มา บางครั้งในชีวิตไขว่คว้าแทบตายก็ไม่ได้ครอบครอง”

“นายกำลังปลอบใจให้ฉันทำความดีอยู่เหรอ?” ฟางเจิ้งถาม

“ติ๊ง! ฉันแค่เตือนนาย ถ้านอนไม่หลับจะหิวกว่าเดิม”

“นาย…” ฟางเจิ้งลูบท้อง ไม่ผิวก็แปลกแล้ว! มื้อกลางวันเขามีเมตตาแบ่งให้พวกเจียงถิงกินข้าวไปหม้อนึง ตอนนี้ข้าวเหลือไม่เยอะ เพื่อความประหยัด เขาเลยตัดสินใจว่าจะไม่กินข้าวเย็น นอนเร็ว หลับแล้วก็จะไม่หิว

แต่ระบบมาเตือน เขาเลยรู้ว่า…หิว!

โฮ่ง…ข้างนอก หมาป่าเดียวดายก็หิวเหมือนกัน…

ใต้ภูเขา รถสามคนเข้าไปในหมู่บ้านเอกดรรชนี วนรถเตรียมออกจากหมู่บ้าน

ซ่งเอ้อโกว่ที่ว่าร้ายฟางเจิ้งเมื่อเช้ากินข้าวเย็นเสร็จแล้ว กำลังนั่งยองคุยโม้อยู่ตรงมุมกำแพง เห็นรถหรูแล่นออกมาจึงพูดขึ้นทันที “เฮ้! พวกคุณ ขึ้นเขามาเป็นยังไงบ้าง? ฟางเจิ้งพูดอะไรกับพวกคุณรึเปล่า?”

กระจกรถลดลงมา พั่งจื่อยื่นนิ้วโป้งออกไป “วัดนี้เยี่ยม! คราวหลังจะมาอีก!” จากนั้นก็เหยียบคันเร่งจากไป

……………………..