ตอนที่ 61 พนันเล็กๆ น้อยๆ กับคุณป้าหู

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 61 พนันเล็กๆ น้อยๆ กับคุณป้าหู

ทุกครั้งที่ขนดอกไม้ไปขาย ชาวบ้านก็จะถามว่าพวกเขาทำรายได้ได้เท่าใด ทางตระกูลหูก็ตอบว่าขายได้เงินไม่มากนัก ด้วยทางตระกูลไม่ค่อยมีพื้นที่ปลูกเท่าใด จึงปลูกข้าวได้ในปริมาณไม่กี่หมู่ กับพืชชนิดอื่น ๆ อีกอย่างละเล็กละน้อย แต่ทางตระกูลกลับมีสมาชิกในตระกูลอยู่เป็นจำนวนมาก

แล้วเงินที่เลี้ยงดูคนในครอบครัวมาจากไหนกันล่ะ?

ไม่ใช่ดอกไม้หรอกหรือ?

ทันทีที่ซูตานหงกับคุณแม่จี้มาถึง พวกเธอก็เจอกับหูสี่ ซึ่งเป็นชายชราคนหนึ่งแล้ว สามคนก่อนหน้านั้นล้วนแต่งงานมีลูกกันไปหมด ซึ่งลูกของพวกเขาก็ไม่ใช่อายุน้อย ๆ กันแล้ว

นอกจากนี้ในตระกูลหูยังมีลูกสาวสองคน ซึ่งพวกหล่อนก็แต่งงานกันหมดแล้วเช่นกัน

อย่างไรก็ตามแม้ว่าคุณลุงหูและคุณป้าหูจะล่วงลับไปแล้ว แต่ก็ยังมีสมาชิกอีก 12 คน ซึ่งนับว่าไม่ใช่ครอบครัวที่เล็กเลย

“เสี่ยวหู เธอปิดเทอมแล้วเหรอ? แม่เธออยู่บ้านไหม?” คุณแม่จี้ถามด้วยรอยยิ้ม

ทันทีที่หูอี้เทียนเห็นใบหน้าอมชมพูราวดอกท้อของซูตานหงเข้าเต็มตา เด็กหนุ่มอายุ 17 ปีคนนี้ก็ถึงกับหน้าแดง แต่เขายังฉลาดพอที่จะตอบไปว่า “อยู่ครับ คุณป้าเข้ามาได้เลยนะครับ”

“งั้นก็พาเราเข้าไปด้วยนะจ๊ะ” คุณแม่จี้ยิ้ม

“ครับ” หูอี้เทียนพยักหน้าครั้งหนึ่ง แล้วพาพวกเธอเข้าไป

หูอี้เทียนกำลังเรียนอยู่ในชั้นปีที่หนึ่งของโรงเรียนมัธยมปลายในเมืองเจียงสุ่ย และได้กลับบ้านนาน ๆ ครั้ง เห็นเด็กหนุ่มคนนี้แล้วซูตานหงก็คิดว่าถ้าลูกชายของเธออายุขนาดนี้ มันก็น่าจะเป็นเรื่องดี

“แม่ครับ คุณป้าจี้กับคุณอาสะใภ้มาหา” หูอี้เทียนพูด

คุณป้าหูได้ยินก็ออกมาต้อนรับ ด้วยความที่นางยุ่งอยู่กับการดูแลต้นไม้ดอกไม้ตลอดทั้งปี และไม่ค่อยได้ทำงานในไร่นา นางจึงมีบุคลิกแตกต่างจากหญิงชราคนอื่น ๆ อย่างสังเกตได้ ตรงที่นางทั้งมีจิตใจอ่อนโยนและมีผิวพรรณที่ดี

“พวกคุณมากันแล้วเหรอคะ เชิญนั่งก่อนค่ะ อี้เทียน ไปยกเก้าอี้มาให้คุณป้าจี้กับคุณอาสะใภ้หน่อยเร็ว” คุณป้าหูพูดด้วยรอยยิ้ม

คุณแม่จี้ตอบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

ซูตานหงเองก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ

แต่หูอี้เทียนได้ยกเก้าอี้มาแล้ว ทั้งสองจึงนั่งลงและเอ่ยทักทายคุณป้าหูอย่างสุภาพก่อนจะพูดเข้าประเด็นหลัก

“คุณป้าหูคะ ที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะอยากจะมาถามน่ะค่ะว่าพอจะมีเมล็ดดอกไม้บ้างไหม? ฉันอยากจะขอซื้อไปปลูกน่ะค่ะ” ซูตานหงกล่าว

คุณป้าหูรู้ว่าเธอหมายความว่าอย่างไร คนอื่น ๆ ในหมู่บ้านกำลังหมายตาชามข้าวของนางอยู่นั่นเอง

“ตอนนี้สวนของเธอกำลังตั้งตัวได้ แล้วป้าก็ได้ยินมาว่าเธอจะเลี้ยงแกะกับไก่ในปีหน้าด้วยใช่ไหมจ๊ะ งานปลูกดอกไม้เป็นงานที่ละเอียดอ่อนมากนะ เธอจะแบ่งเวลามาดูแลได้เหรอ?” คุณป้าหูพูด

“ปีหน้าฉันค่อนข้างยุ่งก็จริง แต่งานทั้งหมดก็เป็นของเจี้ยนอวิ๋นเขา ฉันแค่อยากจะหาอะไรให้ตัวเองทำเพื่อจะได้ไม่ต้องเลี้ยงลูกอยู่กับบ้านเบื่อ ๆ น่ะค่ะ” ซูตานหงพูดพลางหัวเราะ

คุณป้าหูมองเธอแล้วก็เอ่ยขึ้น “มีหลายคนในหมู่บ้านอยากจะมาขอเมล็ดดอกไม้ที่บ้านป้าอยู่เหมือนกันล่ะจ้ะ ไม่ใช่ว่าป้าไม่อยากให้หรอกนะ แต่ความจริงก็คือเมล็ดดอกไม้พวกนี้ไม่ได้ถูกเลยจ้ะ เมล็ดเบญจมาศอย่างดีหนึ่งห่อก็มีราคา 3 หยวนแล้ว ถ้าเป็นพันธุ์ดีขึ้นมาอีกก็ราคาห่อละ 5 หยวน แล้วในห่อนั้นก็อาจจะเพาะแล้วไม่งอก หรืองอกได้ก็เจริญเติบโตไม่ดี ทำให้คนในหมู่บ้านหลายคนพากันบอกว่าป้าขี้โกงให้เมล็ดไม่ดีมา แต่ป้าให้พวกเขาในราคาเท่ากับทุนที่ซื้อมาและไม่ได้บวกเพิ่มแม้แต่เหมาเดียวเลยจ้ะ”

ซูตานหงพยักหน้า “คุณป้าไม่ต้องกังวลนะคะ เรื่องนี้ฉันรู้ดีค่ะ เบญจมาศพันธุ์เฟยเหนียวเหม่ยเหริน(1) พันธุ์จ้วงหยวนหง และพันธุ์จ้วงหยวนจื่อต่างมีมูลค่ามากอย่างไม่ต้องพูดถึง แล้วยังมีพันธุ์ต้าเฉียว(2) เอ้อร์เฉียว(3) และเฝิ่นเฟิ่งหวงที่มีเอกลักษณ์อีกเช่นกัน ซึ่งต้นไม้ดอกไม้พวกนี้เป็นพันธุ์ในใจของฉันเลยล่ะค่ะ ไม่ทราบว่าคุณป้าจะให้ราคาเท่าไหร่คะ?”

“เธอรู้จักพันธุ์ดอกไม้พวกนี้ด้วยเหรอจ๊ะ?” คุณป้าหูมองเธออย่างประหลาดใจ

“ฉันก็พอรู้จักบ้างอย่างผิวเผินน่ะค่ะ แต่พอจะมีวิธีปลูกอยู่ ตอนนี้คุณป้ากำลังเพาะกล้าอยู่ใช่ไหมคะ? ไม่ทราบว่าให้ฉันดูหน่อยได้ไหม?” ซูตานหงยิ้ม

“ได้จ้ะ มากับป้าสิจ๊ะ” คุณป้าหูเหมือนเจอกับคนที่ใจตรงกัน นางพาเธอไปยังเรือนเพาะชำดอกไม้ของบ้านตระกูลหูที่แยกจากตัวบ้านโดยไม่ต้องเอ่ยซ้ำสอง

อากาศตอนนี้กำลังหนาวเย็นจนเพาะต้นกล้าด้านนอกได้ไม่ง่ายนัก จึงต้องมีการปลูกแยกไว้ภายในโรงเรือน เห็นชัดว่าโรงเรือนเพาะไม้ดอกแห่งนี้เหล่าหูเป็นคนเรียนรู้การสร้างมาจากบ้านเจ้าของที่ดิน และถูกสร้างขึ้นมาเป็นอย่างดี

ซูตานหงมองแล้วก็อดเอ่ยชื่นชมขึ้นมาไม่ได้

คุณป้าหูฟังแล้วก็รู้สึกดีใจไปกับคำชื่นชมเป็นอย่างมาก นางรู้ว่าโรงเรือนปลูกดอกไม้ในบ้านของนางนั้นดีอย่างไม่ต้องหาคำใดมาอธิบายเลย แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เห็นค่าของมัน เห็นได้ชัดว่ามีแต่ภรรยาของเจี้ยนอวิ๋นที่ลือกันว่าเป็นเซียนจิ้งจอกคนนี้ที่รู้ในเรื่องนี้และเอ่ยชมอย่างผู้รู้จริง การได้รับคำชมที่เปี่ยมด้วยความรอบรู้นี้ทำให้คุณป้าหูรู้สึกว่าตนเองได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์มาก

“ต้นกล้าดอกไม้พวกนี้ดูโตไม่ค่อยดีเลยนะคะ” หลังมองไปรอบ ๆ ซูตานหงก็หยุดยืนอยู่ข้างต้นกล้าไม้ดอกกลุ่มหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น

“ต้นกล้าพวกนี้ไม่ใช่พันธุ์ดีน่ะจ้ะ ป้าเกรงว่าโตขึ้นแล้วจะให้ดอกไม่ดี” คุณป้าหูรู้ว่าตอนนี้เธอเข้าใจในปัญหาแล้ว แต่กับคุณแม่จี้ที่ทำงานในไร่นามาทั้งชีวิตและไม่เคยสังเกตอะไรแบบนี้ ก็ไม่แปลกหากนางจะแสดงสีหน้างุนงง

แต่ซูตานหงกลับเข้าใจปัญหาได้ในทันทีเพียงแค่มองครั้งเดียว

“คุณป้าหูเชื่อหรือไม่คะ ว่าฉันจะทำให้ต้นกล้าเบญจมาศสี่ต้นนี้ออกดอกในเดือนแปดได้หมดทุกต้น ไม่ด้อยไปกว่าที่อยู่ในสวนของคุณป้าเลย?” ซูตานหงยิ้ม

คุณป้าหูเลิกคิ้วมองหน้าเธอ “เธออยากจะปลูกเทียบกับของป้าเหรอจ๊ะ?”

ซูตานหงยิ้ม “ถ้าฉันชนะ ในอนาคตคุณป้าก็มอบเมล็ดดอกไม้ทั้งหมดที่ฉันอยากได้โดยไม่คิดเงิน ฉันรับผิดชอบเรื่องการปลูก ส่วนคุณป้ารับผิดชอบเรื่องการขาย อย่างไรก็ตามคุณป้าก็มีช่องทางขายของตัวเองแล้ว จากนั้นก็แบ่งกำไรกันครึ่งต่อครึ่งเป็นอย่างไรคะ?”

คุณป้าหูยิ้ม “ตกลงจ้ะ ป้าสัญญากับเธอว่าจะทำตามนั้น แต่ถ้าเธอแพ้ล่ะจ๊ะ?”

“ถ้าฉันแพ้คุณป้า ฉันก็จะแบ่งกำไรร้อยละ 20 ของสวนผลไม้ฉันให้กับคุณป้าค่ะ” ซูตานหงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

คุณแม่จี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินก็ตกใจ “ตานหง นั่นมันเยอะไปนะ”

คุณป้าหูไม่ได้เอ่ยอะไร ทำเพียงยิ้มขณะมองซูตานหง

ซูตานหงหันมาพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “คุณแม่กำลังเป็นห่วงฉันอยู่เหรอคะ?”

“แม่ไม่ได้กังวลหรอก เพียงแต่ว่าคุณป้าหูคุณลุงหูปลูกดอกไม้มาชั่วชีวิตแล้ว เธอจะไปเทียบพวกเขาได้อย่างไร?” คุณแม่จี้เอ่ยรัวเร็ว

“แต่ถ้าฉันชนะ ในอนาคตเราก็จะไม่ต้องเสียเงินซื้อเมล็ดดอกไม้มาปลูกในสวนของเราเลยนะคะ แล้วคุณป้าหูก็ช่วยเราขายด้วย เรื่องนี้ดีไม่น้อยเลยค่ะ” ซูตานหงตอบ

คุณแม่จี้รู้สึกร้อนใจไม่หาย

ดีตรงไหนกัน? ถ้ามีคนช่วยขายก็คือต้องแบ่งยอดขายกันครึ่งต่อครึ่งน่ะสิ นางหรือก็คิดว่าแค่มาขอซื้อเมล็ดดอกไม้ ทำไมถึงเกิดเรื่องอะไรขึ้นมากมายขนาดนี้กันล่ะเนี่ย?

“ทั้งหมดก็มีเท่านี้ล่ะค่ะคุณป้า ฉันจะเขียนสัญญาให้ในภายหลังนะคะ” ซูตานหงเอ่ยกับคุณป้าหู

“ไม่จำเป็นต้องเขียนสัญญาหรอกจ้ะ ป้าเชื่อมั่นในตัวเธอและตระกูลจี้อยู่แล้ว” คุณป้าหูเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ป้าจะให้เจ้าสี่เป็นคนไปส่งต้นกล้าดอกไม้ทั้งสี่ต้นนี้ให้เธอทีหลังนะจ๊ะ”

“ตกลงค่ะ” ซูตานหงยิ้ม

พวกเธอคุยกันอีกครู่หนึ่ง จากนั้นซูตานหงก็กลับมาบ้านพร้อมกับคุณแม่จี้

ทันทีที่ถึงบ้าน คุณแม่จี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา “ตานหง เธอไปตกลงเรื่องแบบนั้นได้ยังไง?”

“คุณแม่คะ ทั้งสวนบนภูเขากับสวนหลังบ้านฉันสามารถปลูกผักผลไม้ได้งอกงามโดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยด้วยซ้ำ ซึ่งทุกอย่างนี้ล้วนเป็นความดีความชอบของฉัน ฉันจะไม่สู้ต่อเมื่อไม่รู้ว่าจะชนะหรอกค่ะ คุณแม่ลองเชื่อใจฉันสักครั้งนะคะ” ซูตานหงยิ้ม

เห็นสีหน้าจริงจังของผู้เป็นสะใภ้แล้ว คุณแม่จี้ก็คลายความวิตกกังวลลงไปอย่างมาก ดูเหมือนว่านี่จะเป็นความคิดของเซียนจิ้งจอกเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นตานหงคงไม่เอ่ยปากอะไรแบบนี้ออกมา นางรู้นิสัยของตานหงดี

“เธอปลูกมันได้จริง ๆ ใช่ไหม?” คุณแม่จี้ถาม

“ปลูกได้แน่ ๆ ค่ะ” ซูตานหงพยักหน้าตอบ

ไม่นานนักเสียงของหูอี้เทียนก็ดังจากด้านนอกประตู เขามาพร้อมกับรถลากไม้คันเล็ก ๆ ที่บรรจุกระถางต้นกล้าที่มีต้นกล้าอยู่ทุกสี่กระถาง

“ฉันขอตัวก่อนนะคะ” ซูตานหงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

……………………………………