ตอนที่ 62 สามีภรรยาปรองดองกัน

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 62 สามีภรรยาปรองดองกัน

หูอี้เทียนมองเธอด้วยสายตาขัดเขินเล็กน้อย ก่อนจะกลับไป

เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาก็เอ่ยกับแม่ของเขา “แม่ ทำไมถึงไปพนันกับหล่อนแบบนั้นล่ะครับ หล่อนจะปลูกดอกไม้สู้พ่อกับแม่ได้เหรอ? แค่สี่ต้นมันไม่น่ารอดหรอกนะครับ”

“แม่ไม่ได้เป็นคนเสนอนะ แต่เป็นตานหงที่เสนอเอง” คุณป้าหูตอบด้วยรอยยิ้ม

“นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการลงทุนไปเสียเปล่าเหรอครับ?” หูอี้เทียนเอ่ย

“จะเป็นการลงทุนเสียเปล่าได้ยังไง พ่อกับแม่อาจปลูกสู้หล่อนไม่ได้ด้วยซ้ำ หล่อนรู้และเข้าใจธรรมชาติของต้นไม้ดอกไม้เป็นอย่างดีเลยล่ะ” คุณป้าหูพูด

คนนอกอาจมองว่าเป็นเรื่องน่าตกใจ แต่คนในกลับมองว่าเป็นเรื่องปกติ แม้จะไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แต่คุณป้าหูก็เชื่อว่าซูตานหงเข้าใจในธรรมชาติของต้นไม้ดอกไม้จริง ๆ

“ลูกไม่รู้อะไร หล่อนมีเซียนจิ้งจอกคอยช่วยเหลืออยู่อย่างไรล่ะ” คุณป้าหูลดเสียงลงต่ำขณะคุยกับลูกชายของนาง

หูอี้เทียนกลอกตามองบนใส่นางแวบหนึ่ง “แม่นี่ก็เชื่อเรื่องที่ชาวบ้านลือกันไปได้นะครับ”

“ตอนแรกแม่ก็ไม่เชื่อหรอก แต่พอมาเห็นหล่อนแบบตัวเป็น ๆ แม่ก็เชื่อขึ้นมาบ้างแล้ว” คุณป้าหูบอก

ก่อนหน้านี้ภรรยาของเจี้ยนอวิ๋นจัดได้ว่าเป็นคนตีสองหน้าคนหนึ่ง แต่พอมาถึงวันนี้บุคลิกของหล่อนนั้นเปลี่ยนแปลงไป ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนนี้ทุกคนพากันบอกว่าหล่อนดูเหมือนผู้มีบุญญาธิการคนหนึ่ง บุคลิกท่าทางของหล่อนดูดีมีสง่าราศีมากกว่าฮูหยินของเจ้าของที่ดินสมัยก่อนเสียอีก

การพูดจาหรือก็รื่นหูราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ นับว่าเป็นเรื่องดีจริง ๆ

“สักวันหนึ่งลูกพยายามมองเพื่อนร่วมชั้นสาว ๆ เอาไว้ให้ดี ๆ นะว่ามีคนที่เหมือนกับหล่อนหรือเปล่า ถ้ามีล่ะก็จงใช้พลังที่มีอยู่พากลับมาเป็นสะใภ้ให้แม่นะ ผู้หญิงลักษณะแบบนี้น่ะจะนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ตระกูลของเรา” คุณป้าหูพูด

ใบหน้าของหูอี้เทียนขึ้นสีแดงระเรื่อในทันที “แม่…พูดอะไรไร้สาระน่ะครับ”

พวกหล่อน…เพื่อนร่วมชั้นสาว ๆ ในโรงเรียนของเขาล้วนหน้าตาดีกันทุกคน แต่ดู ๆ แล้วก็ไม่มีใครเหมือนกับสะใภ้สามตระกูลจี้เลยจริง ๆ

ไม่ใช่แค่สาว ๆ ในชนบท แม้แต่สาว ๆ ชาวกรุงก็สู้หล่อนไม่ได้

ซูตานหงนำกระถางต้นกล้าเบญจมาศทั้งสี่กระถางที่หูอี้เทียนขนมาให้มาไว้ด้านนอกบ้าน คุณแม่จี้เห็นแล้วก็อดพูดไม่ได้ “มันจะรอดเหรอ ตระกูลหูถึงกับต้องปลูกในโรงเรือนเลยนะ?”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เอามาไว้ตรงนี้ก็ได้ บ้านเราไม่มีโรงเรือนปลูกดอกไม้น่ะค่ะ” ซูตานหงตอบ

จากนั้นเธอก็มาตักน้ำในถัง ซึ่งในนั้นล้วนเป็นน้ำวิเศษมาเทรดให้กับต้นกล้าเบญจมาศทั้งสี่ต้นแล้วก็เอ่ยขึ้น “เอาล่ะ หลังจากนั้นก็แค่รอให้พวกมันโตเองแล้วค่ะ”

“แค่นี้เองเหรอ? ไม่ต้องดูแลอะไรอย่างอื่นแล้ว?” คุณแม่จี้อึ้งไป นี่เซียนจิ้งจอกร่ายมนต์เสร็จแล้วเหรอ?

“ค่ะ มันจะโตของมันเอง เราแค่มารดน้ำให้เป็นบางครั้งก็พอ” ซูตานหงพยักหน้า

หลังทดสอบกับสวนผลไม้แล้วก็พบว่าน้ำวิเศษมีสรรพคุณเหนือความคาดหมายอย่างไม่ต้องสงสัย และความมหัศจรรย์ของมันก็ช่างยิ่งใหญ่มหาศาล

ดูบรรดาต้นไม้ผลบนภูเขาสิ ตอนนี้เธอไม่ต้องทำแม้กระทั่งขึ้นไปรดน้ำแล้ว ด้วยรากฐานที่เธอสร้างไว้ตั้งแต่ต้น มันก็ยังดูอุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษ

แล้วกลับมาดูต้นไม้ผลที่ครอบครัวอื่นในหมู่บ้านปลูก ดูต่างกันคนละระดับเลยทีเดียว

ถ้ามันใช้ได้ผลกับต้นไม้ผลแล้ว ดอกไม้ไม่กี่กระถางนี้จะเป็นอย่างไรนะ?

“เราจะยังไม่เห็นผลจนกว่าจะถึงเดือนแปดปีหน้างั้นเหรอ?” คุณแม่จี้ถาม

“ค่ะ เพราะทั้งสี่ต้นนี้เป็นเบญจมาศฤดูร้อน ปกติจะออกดอกในช่วงเดือนหกถึงเดือนเก้า แต่เบญจมาศสี่ต้นนี้ไม่ค่อยแข็งแรงสมบูรณ์นัก ฉันก็เลยจะเลี้ยงพวกมันจนถึงเดือนแปด ซึ่งตอนนั้นน่าจะเห็นผลแล้วล่ะค่ะ” ซูตานหงกล่าว

เบญจมาศฤดูใบไม้ร่วงจะออกดอกในเดือนสิบถึงเดือนสิบเอ็ด

ในชีวิตชาติที่แล้วของเธอ เธอเคยมีสวนขนาดใหญ่อยู่ในจวนอันเป็นสถานที่ที่ใช้ปลูกไม้ดอกไม้ประดับมีค่านานาชนิด และเธอก็เป็นคนดูแลพวกมันอยู่บ่อย ๆ ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าไม้ดอกไม้ประดับราคาแพงกระถางหนึ่งมีค่าราว 20 ถึง 30 ชั่งเงินเลยทีเดียว ซึ่งราคาขนาดนี้ไม่ถูกเลยสักนิด

พวกมันต้องได้รับการเลี้ยงดูประคบประหงมอย่างดี ไม่เช่นนั้นเกรงว่าอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยก็ทำให้พวกมันเหี่ยวเฉาได้

แต่ในเมื่อมีน้ำพุวิเศษอยู่ ซูตานหงจึงไม่กลัวในเรื่องนี้

คุณแม่จี้บังเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ นางจึงตั้งใจจะมาดูต้นไม้ดอกเหล่านี้ทุกวัน

เมื่อถึงตอนเย็น จี้เจี้ยนอวิ๋นก็กลับมาพร้อมกับหอบข้าวของมาหลายอย่าง

นอกจากผ้าอ้อมสำเร็จรูปห่อใหญ่จำนวนหนึ่งแล้ว เขายังซื้อนมผง นมมอลต์สกัด แม้แต่รถหัดเดินที่ช่วยพยุงให้เด็กเดินได้เองเขาก็ซื้อมาด้วย

เขาขนของมาทั้งถุงเล็กถุงใหญ่พะรุงพะรังไปหมด

ต้องบอกว่าเขาเป็นผู้ชายที่ตัวสูงและแข็งแรง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถหอบของทุกอย่างกลับมาได้

คุณแม่จี้เห็นแล้วนางก็บ่นอีกครั้ง แต่ในเมื่อซื้อของทุกอย่างกลับมาแล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงปล่อยให้นางบ่นไป

หลังรอแม่ของตนกลับไปแล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ยิ้มให้ภรรยา “ของพวกนี้ใช้ได้ยาว ๆ อีกหลายเดือนเลยล่ะครับ”

ซูตานหงรินน้ำใส่แก้วแล้วบอกให้เขาดื่ม จากนั้นเธอก็เอ่ยถาม “เมื่อกลางวันนี้คุณกินอะไรมาคะ?”

“ผมกินบะหมี่ในเมืองมหาวิทยาลัยมาน่ะ แต่แพงสุด ๆ ชามละ 80 เหมา มีเนื้อกับไข่แค่ไม่กี่ชิ้นเอง” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก

“ของในเมืองมหาวิทยาลัยดูแพงกว่าจริง ๆ นะคะ” ซูตานหงยิ้ม อย่าว่าแต่ในเมืองมหาวิทยาลัยเลย แม้แต่ในตัวเมืองเจียงสุ่ยเองก็ยังแพง ซึ่งในเมืองนี้ก็มีขายเหมือนกัน บะหมี่ชามละ 50 เหมามีไข่แค่ฟองเดียว แต่มีเส้นและเนื้ออยู่เป็นจำนวนมาก

คราวที่แล้วที่เธอไปซื้อห้องชุดในเมืองเจียงสุ่ยกับหงเจี่ย บะหมี่ที่เธอชวนหงเจี่ยกินนั้นมีราคาชามละ 70 เหมา ซึ่งถือว่าไม่แพงมากนัก

“ในครัวมีอะไรน่ะ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถามหลังได้กลิ่นอะไรบางอย่าง

เขาวิ่งวุ่นไปมาอยู่ทั้งวัน ไม่ได้กินอะไรมากนักในตอนเช้า และไม่มีเงินพอที่จะซื้ออะไรกินนอกบ้านด้วย ซึ่งตอนนี้เขาก็หิวมาก

“พอดีมันยังเหลือเครื่องในวัวที่ฉันให้คุณซื้อมาคราวที่แล้วอยู่นิดหน่อย ฉันเลยเอามาตุ๋นทำซุปน่ะค่ะ คืนนี้ฉันว่าจะกินบะหมี่น้ำเครื่องในวัวตุ๋น ต้องรอซักพักก่อนแล้วค่อยกินนะคะ” ซูตานหงพูด

จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้าแล้วเก็บข้าวของทุกอย่างเข้าที่ แม้เขาจะซื้อของมาหลายอย่าง แต่พอมาเก็บไว้ในบ้านแล้วมันก็มีไม่มากเลย

หลังเก็บของเสร็จ จี้เจี้ยนอวิ๋นก็มองเห็นกระถางดอกไม้ด้านนอก จึงถามขึ้นมา “ภรรยา นั่นอะไรน่ะครับ?”

“มันเป็นดอกเบญจมาศที่คุณป้าหูให้ฉันมาปลูกน่ะค่ะ พอดีฉันพนันอะไรบางอย่างกับคุณป้าหูไว้นิดหน่อย” ซูตานหงยิ้มแล้วเล่าถึงเงื่อนไขพนันระหว่างพวกเธอทั้งคู่ให้เขาฟัง

จี้เจี้ยนอวิ๋นเลิกคิ้วมองภรรยาของตน “ภรรยา คุณกะจะให้คุณป้าหูขายดอกไม้ให้คุณเหรอ?”

“ใช่ค่ะ ตอนแรกฉันก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อนนะคะ แต่พอไปถึงแล้วก็คิดขึ้นมาได้” ซูตานหงบอก

ครอบครัวของเหล่าหูเป็นครอบครัวชาวสวนดอกไม้มากประสบการณ์ ดังนั้นพวกเขาจะต้องมีช่องทางการขายอย่างแน่นอน ซูตานหงไม่เชื่อว่าดอกไม้ที่ปลูกจะขายไม่ได้ เพียงแต่เธอต้องใช้พลังงานในการหาช่องทางขายสักหน่อย แทนที่เธอจะทำอย่างนี้ สู้ยอมเสียรายได้ไปบ้างแล้วแบ่งยอดขายกับตระกูลหูจะดีกว่า โดยทั้งสองฝ่ายได้ไปคนละครึ่งเหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนี้เธอก็แก้ปัญหาตรงนี้ได้ และทางตระกูลหูก็จะไม่คิดว่าเธอแย่งงานของพวกเขาด้วย ในภายภาคหน้าพวกเขาจะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม เขาเชื่อว่าภรรยาของเขาพูดแบบนั้นด้วยความมั่นใจแน่ แล้วสวนผลไม้นั้นภรรยาของเขาก็เป็นคนจัดการ เธอจะไม่ดูเป็นคุณนายได้อย่างไร?

“แต่ครั้งหน้าฉันจะไม่หุนหันพลันแล่นแล้วค่ะ ถ้ามีเรื่องอะไรแบบนี้เกิดขึ้นอีก ฉันจะมาปรึกษากับคุณก่อน” ซูตานหงเอ่ยกับจี้เจี้ยนอวิ๋น ถึงอย่างไรเสียก็ต้องมีการลงความเห็นชอบร่วมกันก่อน

เธอไม่อาจถือวิสาสะทำอะไรตามใจตนเองได้เพียงเพราะรู้ว่าเจี้ยนอวิ๋นรักเธอ

ในชีวิตชาติที่แล้ว มารดาของเธอเคยบอกว่าเป็นสามีภรรยากันก็ต้องปรองดองกันเข้าไว้

“เรื่องอะไรเหรอครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ

“ครั้งหน้าถ้าคุณมีเรื่องอะไรแบบนี้มา คุณก็ต้องมาปรึกษากันกับฉันก่อน ต่อให้คุณมั่นใจแล้วก็ตามน่ะค่ะ” ซูตานหงมองเขาด้วยสายตาจริงจัง

จี้เจี้ยนอวิ๋นชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าและยิ้มออกมา “ตกลงครับ!”

ซูตานหงรู้สึกพอใจมาก

ทันทีที่เวลาผ่านพ้นไป มันก็ถึงไม่กี่วันก่อนจะครบกำหนดคลอดของซูตานหง ซึ่งในคืนนี้เองซูตานหงก็รู้สึกเจ็บท้อง เธอจึงร้องเรียกจี้เจี้ยนอวิ๋นในทันที “เจี้ยนอวิ๋น เจี้ยนอวิ๋น ดูเหมือนฉันจะคลอดแล้วค่ะ!”

………………………………………………