ตอนที่ 75 ห้วงคะนึงหา มันช่างลุ่มลึก + ตอนที่ 76 คิดจะตุกติกผมหรือกระทั้งสกุลจิ่งด้วย

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 75 ห้วงคะนึงหา มันช่างลุ่มลึก

จิ่งเป่ยเฉินตอนนี้ได้ขับรถออกจากบริษัทสกุลจิ่ง หัวใจของเขาเต้นอย่างรุนแรง พร้อมกับเหยียบไปที่คันเร่งจนจมมิด ตัวรถเองก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ภายในร้าน KFC ถังซั่วกำลังเฝ้ารออยู่อย่างหงุดหงิด

เนื่องจากตอนนี้มีผู้หญิงมากมายหลายคนกำลังล้อมรอบตัวของเขาอยู่ ทั้งยังกระซิบกันไปมาถึงขั้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่าย การกระทำแบบนี่ช่างดูงี่เง่าเป็นอย่างมาก

“รูปเทพบุตรที่ดูโหดเหี้ยมแบบนี้ หากโพสลงไปในเว่ยป๋อ จำนวนยอดไลท์คงพุ่งพล่านอย่างแน่นอน”

“คุณช่วยส่งรูปนี้ให้ฉันบ้างทีสิ”

“……”

จู่ๆเขาก็พึ่งนึกขึ้นได้ ว่าเมื่อครู่นั้นตัวเองลืมถามชื่อผู้หญิงคนเมื่อกี้ไปเสียได้

ถังซั่วเริ่มจะทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาค่อยๆลุกขึ้นพร้อมกับเม้มริมฝีปากของตัวเองเล็กน้อย ก่อนที่จะพาดเสื้อสูทไว้ที่แขนของตน และเดินออกไปที่ประตู

ทันทีที่ก้าวออกจากประตู จิ่งเป่ยเฉินก็รีบวิ่งมาด้วยท่าทีที่ร้อนรนเป็นอย่างมาก

ถังซั่วเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่ตัวเองจะไม่ได้พูดอะไร ก็ถูกชายผู้นั้นดึงคอเสื้อขึ้นมาเสียแล้ว

“โหรวโหรวล่ะ? โหรวโหรวอยู่ที่ไหน?” จิ่งเป่ยเฉินเผยเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมาบนหน้าผาก ดวงตาสีแดงเข้ม มือของเขานั้นกำหมัดแน่นและยังคงสั่นไม่มีท่าทีที่จะหยุด

ถังซั่วยังขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะเอื้อมมือไปตบตรงมือของจิ่งเป่ยเฉิน ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขากลับแสดงเย็นชามากขึ้นและเอ่ยออกไป “โหรวโหรวงั้นเหรอ? นายเป็นบ้าไปแล้วเรอะ?”

“เมื่อครู่ตอนฉันโทรหานาย ฉันได้ยินเสียงของโหรวโหรว หรือว่านายพาเธอไปซ่อนกัน?”

บนถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน ไม่เว้นแม้แต่ร้าน KFC ที่ดูครึกครื้น ถังซั่วไม่ชอบให้ผู้คนมาจับจ้องราวกับเห็นพวกเขาเป็นสมบัติของชาติ จึงเก็บอารมณ์และท่าทาง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลง “พูดที่นี่คงไม่เหมาะ มีเรื่องอะไรเอาไว้เราค่อยกลับไปพูดกันเถอะ”

จิ่งเป่ยเฉินสูดลมหายใจเข้าอย่างคับแค้นใจ ก่อนจะบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ลง และเดินไปที่ลานจอดรถ

เมื่ออยู่ภายในรถ ถังซั่วก็เอ่ยปากพูดขึ้น “ผู้หญิงคนนั้นที่นายไม่ยอมปล่อยไป ใช่คนเดียวกับอันโหรวเมื่อห้าปีก่อนยังงั้นเหรอ?”

ดวงตาของจิ่งเป่ยเฉินฉายแววตาที่เย็นยะเยือกขึ้น ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยท่าทีที่เย็นชา “ถังซั่ว นายซ่อนโหรวโหรวไว้รึเปล่า? เพราะแบบนี้ฉันถึงหาเธอไม่เจอยังงั้นสินะ!”

ภายในรถถังซั่วเริ่มจุดบุหรี่ขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะคาบมาไว้ที่ปากของตัวเอง และค่อยๆพ่นควันออกไปอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “แต่ไหนแต่ไรฉันไม่เคยเห็นอันโหรวมาก่อน แล้วนับประสาอะไรที่คนอย่างฉันต้องมาทำเรื่องพวกนี้ด้วยล่ะ”

เขาไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรจิ่งเป่ยเฉินถึงได้คิดเช่นนี้ เขาดูไม่พอใจกับคำถามของพี่ชายของตนสักเท่าไหร่ ในใจของเขานั้นก็หงุดหงิดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

จิ่งเป่ยเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น “ได้ ฉันเชื่อใจนาย แต่ทว่าฉันได้ยินเสียงของโหรวโหรวจริงๆ และฉันเองก็เชื่อว่า ฉันนั้นไม่ได้ฟังผิดไปอย่างแน่นอน”

น้ำเสียงและรอยยิ้มของเธอที่ถูกฝังลึกในใจของเขา มีหรือจะฟังผิดพลาดได้?

เสียงที่อ่อนหวานราวกับกระดิ่ง ยังคงดังกึกก้องอยู่ในห้วงความคิดของเขา

ถังซั่วสูบบุหรี่เฮือกสุดท้าย ก่อนจะเอนตัวลงบนเบาะรถด้วยท่าทีที่เกียจคร้าน และเอ่ยขึ้น “ในร้าน KFC คนตั้งเยอะตั้งแยะ ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายได้ยินเสียงใคร ผู้หญิงคนนั้นที่หายไปเมื่อห้าปีก่อน บางทีนายอาจจะจำน้ำเสียงของเธอผิดไปก็ได้”

เมื่อเขาพูดจบ ก็วางมือไปที่บ่าของจิ่งเป่ยเฉินและตบมันเบาๆ “อย่าทรมานตัวเองอีกเลย ลืมผู้หญิงคนนั้นเถอะ พวกเราพี่น้องกัน ไม่มีใครคาดหวังให้นายใช้ชีวิตที่จมอยู่กับอดีตหรอกนะ”

จิ่งเป่ยเฉินกำพวงมาลัยด้วยมือทั้งสองข้างอย่างแน่น ก่อนจะหลับตาลง เผยให้เห็นสีหน้าที่เจ็บปวดทรมาน

ห้าปีสำหรับการตามหา หาปีที่เขาต้องทนทุกข์ทรมานกับรอคอย มันทรมานมากจนเกินพอแล้ว

ตอนนี้เขาเองก็อยากจะลืมอันโหรวไปซะ อยากจะเลิกตามเธอเหมือนกัน แต่ว่าจะทำยังไงได้ล่ะ?

ห้วงคะนึงหา มันลุ่มลึกจนชนิดที่เรียกว่า เวลานี้มีแต่ทรมานตัวเอง

“นายลงจากรถไปเถอะ ฉันจะกลับไปยังบริษัท” จิ่งเป่ยเฉินเผยแววตาที่เย็นชาและพูดด้วยเสียงอย่างเรียบๆออกไป “ไม่ว่ายังไงฉันก็จะไม่ยอมแพ้เรื่องการตามหาโหรวโหรว ฉันจะไม่มีวันลืมเธอแน่นอน”

ถังซั่วครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ แต่จิ่งเป่ยเฉินก็เปิดประตูรถ ผลักเขาลงจากรถ

ถังซั่วที่ตอนนี้ล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้น สีหน้าของเขานั้นดำดิ่งมืดหม่นขึ้นมาในทันที จิ่งเป่ยเฉินเองก็ไม่ได้หันกลับมองมาที่เขา ขับรถมุ่งหน้าออกไปโดยทันที

ความหยิ่งผยองเช่นนี้ทำให้ถังซั่วรู้สึกหงุดหงิดใจ ก่อนจะลุกขึ้นมาจากพื้น และตบฝุ่นไปที่เสื้อผ้าอย่างเก้อเขิน โชคดีที่ไม่มีใครอยู่แถวริมถนน ไม่เช่นนั้น เขาก็คงได้ต่อยกับจิ่งเป่ยเฉินบ้างแล้วแน่นอน

……….

ตอนที่ 76 คิดจะตุกติกกับผมและสกุลจิ่งด้วยอย่างงั้นเหรอ

ภายในห้องประชุมของบริษัทสกุลจิ่ง ช่วงขณะนี้ หลินจือเซี๋ยวรู้ว่าตัวเองต้องเจรจาธุรกิจกับผอ.หลี่สกุลเห่อ

“ผอ.หลี่ ที่ท่านเห็นนี่เป็นการสำรวจกับเกี่ยวกับธุรกิจด้านอุตสาหกรรมหยก ถึงแม้ว่าในปีนี้สกุลจิ่งจะเป็นหน้าใหม่แห่งวงการค้าหยก แต่ก็นับได้ว่าบริษัทเราเองทำการค้าในด้านอื่น ๆ ประสบความสำเร็จไปไม่ใช่น้อย อีกอย่าง นอกจากชื่อเสียงของสกุลจิ่งแล้ว ในโลกวงการธุรกิจแบบนี้ ดิฉันเชื่อว่าการที่บริษัทเราซื้อหุ้นกิจการต่อจากพวกท่านไป จะช่วยให้สกุลเห่อกลับมารุ่งโรจน์ใหม่อีกครั้งอย่างแน่นอน”

หลินจื่อเซี๋ยวพูดไปในขณะที่มือกำลังกดปุ่มควบคุม PPT ส่วนทางด้านโปรเจ็กเตอร์เองก็ฉายภาพไปมา ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นและเริ่มกล่าวต่อไปว่า “ในกราฟภาพนี้ เราสามารถตรวจดูได้ว่าตลาดหยกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการแสดงเส้นกราฟเป็นแนวตรง แนวโน้มที่ดูสูงขึ้นกว่าเก่า เห็นได้ชัดว่าความต้องการของตลาดในผู้ผลิตหยกมีสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างมาก แต่สถานการณ์ตอนนี้ สกุลเห่อเองก็อยู่ในช่วงขาลง ผลิตหยกได้ไม่ดีเหมือนเช่นเคย หากสกุลจิ่งซื้อหุ้นไป และมีผู้บริหารอย่างสกุลจิ่ง ดิฉันเชื่อได้ว่ามันจะกลับมาอยู่จุดสูงสุดแน่นอน”

ฉีเซิ่งเทียนกำลังจับจ้องไปที่หลินจือเซี๋ยว เธอกำลังอธิบายและวิเคราะห์ในแง่ตลาดของหยก นับได้ว่าครอบคลุมเป็นอย่างมาก ประเมินความสามารถของเธอได้ต่ำไปจริงๆ แล้วรูปแบบของการกระทำที่ดูเฉียบคม รวดเร็วและตรงเข้าประเด็นแบบนั้น ไม่แปลกใจที่สามารถทนอยู่กับจิ่งเป่ยเฉินได้นานถึงเพียงนี้

“ผู้อำนวยการหลี่ ท่านมีความคิดเห็นเช่นไรบ้าง?” ฉีเซิ่งเทียนเอนหลังพิงเบาะก่อนจะนั่งไขว้ห้าง เขาค่อนข้างดูขี้คร้านและดูมุทะลุ แต่มันก็ยากเกินกว่าจะเพิกเฉยต่อการมีอยู่ของเขา

หากไม่ใช่ว่าเป็นกลุ่มในเครือโอวหยางกับสกุลจิ่งอยู่ พวกเขาคงไม่ต้องทำตัวน่ารำคาญถึงเพียงนี้ สกุลเห่อเป็นแค่เศษเนื้อเพียงชิ้นเล็กๆ หากไม่มีโอวหยางมาขัดขวาง ป่านนี้คงถูกฮุบกิจการไปตั้งนานแล้ว

หลี่เฉิงเดิมทีไม่ได้ตั้งใจฟังอย่างละเอียดเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้าที่จะพบกับสกุลจิ่งเขาได้พบกับโอวหยางลี่มาก่อน ทั้งยังรู้สึกสนใจกับเงื่อนไขที่เขาเสนอเมื่อตอนนั้นเป็นอย่างมาก

“ต้องขอโทษด้วย แต่ฉันคิดว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้หรอก สกุลจิ่งนับว่ามีชื่อเสียงไม่เลว แต่ไว้โอกาสหน้าพวกเราค่อยร่วมมือกันเถอะ” หลี่เฉิงเอ่ยด้วยสีหน้าที่ตรงไปตรงมา แม้ปากจะเอ่ยด้วยปฏิภาณไหวพริบ ที่ไม่มีช่องว่างให้พูดแทรก เขาลุกขึ้นพร้อมกับกระเป๋าเอกสารในมือและคิดจะออกไปโดยทันที

หลินจือเซี๋ยวในใจกลับร้อนรนมากขึ้น ฉีเซิ่งเทียนเองก็กังวลเฉกเช่นเดียวกัน เขายืนขึ้นพร้อมขวางหลี่เฉิงตรงหน้า ก่อนจะเผยสีหน้าแววตาที่เรียบเฉยออกไป “ผู้อำนวยการหลี่ แบบนี้หมายความว่ายังไงกันแน่?”

หลินจื่อเซี๋ยวเอ่ยปากเสริม “ผู้อำนวยการหลี่ ท่านมีความกังวลตรงส่วนไหนหรือเปล่าคะ สามารถเสนอให้กับพวกเราได้นะ แน่นอนว่าสกุลจิ่งเองก็ยินดีช่วยเหลือคุณเต็มที่จนกว่าคุณจะพอใจ”

หลี่เฉิงเริ่มรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันและพูดไปว่า “ผมไม่ได้มีข้อกังวลหรือคิดเรื่องไหนหรอก สกุลจิ่งของพวกคุณทำให้ผมพอใจเป็นอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าผมไม่ต้องการเซ็นสัญญากับสกุลจิ่ง และก็ไม่ยอมตกลงเงื่อนไขที่จะถูกฮุบไปด้วย”

“ทำไม……..” หลินจือเซี๋ยวยังไม่ทันพูดจบ ประตูกระจกใสของห้องประชุมก็เปิดออกขึ้น….

“ท่าทีของผอ.หลี่ที่ดูจริงจังและแน่วแน่ เห็นทีคงได้เจรจากับกลุ่มโอวหยางไปนานแล้วใช่ไหม?”

จิ่งเป่ยเฉินค่อยๆเดินก้าเข้ามา ก่อนจะดันประตูออกจนทำให้หลี่เฉิงถอยหลังกลับไปอยู่ที่ที่เดิม

“ประธานจิ่ง คุณกลับมาแล้วเหรอคะ!” หลินจือเซี๋ยวเผยสีหน้าแววตาด้วยความดีใจ ในที่สุดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เมื่อครู่หลี่เฉิงคิดอยากจะออกไป ซึ่งเธอเองก็ตื่นตระหนกพอสมควร ตอนนี้ประธานจิ่งกลับมาแล้ว แน่นอนครั้งนี้เรื่องทุกอย่างคงจัดการได้ง่ายมากขึ้น

ฉีเซิ่งเทียนก็โล่งอกไม่ใช่น้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปตบที่ไหล่ของจิ่งเป่ยเฉิน ก่อนจะกลับไปนั่งที่ของตัวเอง

ท่าทางและอารมณ์ของจิ่งเป่ยเฉินนั้นช่างดูโอ่อ่า เขานั่งไขว้ห้างโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ก่อนจะเผยดวงตาสีดำสนิท เอ่ยออกไปว่า “หลี่เฉิง เป็นคนที่เจ้าเล่ห์เสียจริงๆนะ ก่อนหน้านี้มีการพูดคุยกับสกุลจิ่งเรื่องเจรจาธุรกิจ แต่แล้วพอเจอกลุ่มโอวหยางยื่นข้อเสนอไปหน่อย ผู้อำนวยการหลี่ก็คิดจะตุกติกกับผมและสกุลจิ่งด้วยอย่างงั้นเหรอ?”

หลี่เฉิงกำกระเป๋าเอกสารไว้ในมือจนแน่น ก่อนจะแสดงท่าทีที่ไม่สบายใจ “ประธานจิ่ง ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร แต่สกุลจิ่งไม่เคยทำการค้าหยกมาก่อน ในฐานะที่ผมเป็นถึงผู้อำนวยการเก่าของสกุลเห่อ ตามหลักแล้วก็ไม่ควรยกสกุลเห่อให้กับสกุลจิ่งโดยง่ายถึงเพียงนั้น”

จิ่งเป่ยเฉินเลิกคิ้วด้วยท่าทีที่ชั่วร้าย นัยต์ตาสีดำของเขากลับดูเย็นชามากขึ้น “อ่อ งั้นเหรอ?”

ความกดดันที่ปกคลุมไปทั่ว จนทำให้หลี่เฉิงหายใจไม่ออก เหงื่อเของเขาค่อยๆซึมออกมาบนหน้าผาก อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายออกไป

เมื่อนึกถึงจุดที่โอวหยางลี่เคยกล่าวไว้ ตราบใดที่สกุลเห่อถูกโอวหยางลี่ซื้อ สกุลเห่อยังคงทำตัวเป็นอิสระเช่นเคย ไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทย่อยหรือบริษัทลูกของโอวหยาง ชื่อของบริษัทยังคงเป็นของสกุลเห่อ รับรองไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

การถูกล่อลวงด้วยผลลัพธ์เช่นนี้ ย่อมทำให้ผู้อำนวยการของสกุลเห่อ ไม่มีทางปฏิเสธไปได้อยู่แล้ว