ตอนที่ 77 อดเป็นห่วงไม่ได้ + ตอนที่ 78 ช่วยด้วย

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 77 อดเป็นห่วงไม่ได้

หลี่เฉิงเมื่อคิดถึงจุดนี้ ตัวของเขาก็กลับพลันแข็งทื่อ ก่อนจะพูดออกไปว่า  “ท่านประธานจิ่ง ผมคงไม่ยอมให้สกุลจิ่งฮุบกิจการสกุลเห่อแล้วล่ะ โปรดอย่าทำให้ผมต้องลำบากใจอีกเลยนะ”

เขาปาดเหงื่อเย็นๆที่ไหลลงมาจากหน้าผาก ก่อนจะสงบจิตใจลง โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงน้ำเสียงแต่อย่างใด

ฉีเซิ่งเทียนที่ยังมีกังวลอยู่บ้าง แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้

“โอวหยางลี่เสนอเงื่อนไขอะไรกับคุณกันนะ? ถึงได้ทำให้คุณถึงเชื่อมั่น ยอมเสี่ยงได้ขนาดนั้น” จิ่งเป่ยเฉินเผยริมฝีปาก แสยะยิ้มออกมา ก่อนจะควงปากกาไปอย่างลวกๆด้วยปลายนิ้วมือ อารมณ์และท่าทีของเขานั้นดูเรียบเฉยราวกับอ่านเกมนี้ออกแต่แรกอยู่แล้ว

หลี่เฉิงเริ่มทำใจให้สงบลงและพูดขึ้น “ประธานจิ่งคุณล้อเล่นใหญ่แล้ว คุณชายโอวหยางกับผมไม่เคยนัดเจอกันเลย แล้วนับประสาอะไรกับข้อตกลงพวกนั้น”

จิ่งเป่ยเฉินยังคงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ดวงตาของเขานั้นยังคงเผยความเย็นชาและหัวเราะออกมา หลี่เฉิงที่เป็นถึงจิ้งจอกเฒ่า โอวหยางลี่ย่อมให้ผลประโยชน์มากมายอย่างแน่นอนถึงได้ทำตัวแบบนี้ นี่คือสิ่งที่เขาตัดสินใจแน่วแน่ไปแล้ว

เรื่องนี้แทบจะไม่ได้มีการลงสัญญาในนามแต่อย่างใด แม้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของสัญญา แต่หลี่เฉิงเองก็ต้องเตรียมตัวสักระยะหนึ่งเหมือนกัน สกุลเห่อของเขาก็ควรได้รับโอกาสมากมายที่มีไว้อยู่ในมือ

“ในเมื่อความคิดของผอ.หลี่แน่วแน่แบบนี้ ผมเองก็คงยื้ออะไรคุณไว้ไม่ได้” จิ่งเป่ยเฉินลุกขึ้น ชุดสูทที่ดูเรียบหรูตัดเย็บออกแบบอย่างเหมาะสม แทบไม่มีรอยยับแต่อย่างใด ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “เลขาหลินส่งผอ.หลี่ด้วย”

หลินจือเซี๋ยวผงกหัว ก่อนจะโค้งตัวเล็กน้อยก่อนเดินไปตามทางและพูดขึ้น “ค่ะ ผอ.หลี่เชิญทางนี้ค่ะ”

หลี่เฉิงเดินออกไปสักพัก ฉีเซิ่งเทียนก็ยื่นมืออกมาปลดเน็คไทของตนอย่างบ้าคลั่งและพูดขึ้น “หลี่เฉิงนี่มันจิ้งจอกเฒ่าชัดๆ ผายลมนัก[1] ในใจที่คิดวางแผนอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าคิดจะเล่นแง่อะไรกับโอวหยางลี่กันแน่ ถ้าเล่นกับแบบตรงๆซึ่งๆหน้าก็คงดี!”

เขาค่อนข้างเดือดดาล หลี่เฉิงเป็นแค่ปลาซิวปลาสร้อย หากไม่ใช่เพราะมีสัญญาก่อนหน้านั้นละก็ วันนี้คง….

เบื้องหลังที่ถูกสนับสนุนโดยพวกเขา พอนึกถึงเรื่องพวกนี้ทีไรมันช่างชวนโมโหเสียจริงๆ!

“โอวหยางลี่ก็เป็นแบบนี้แหล่ะ ก่อนหน้านั้นฉันเองก็เคยประเมินเขาต่ำไปเหมือนกัน” จิ่งเป่ยเฉินล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตน และพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก

ครั้งนี้ให้เข้าซื้อกิจการของสกุลเห่อเหมือนกับเมื่อห้าปีก่อนที่เข้าซื้อกิจการสกุลอัน มันทำให้เขาสงสัยพอสมควรว่าสกุลอันในตอนนั้นทำไมถึงได้ถูกโอวหยางลี่เกี่ยวดองจนชนิดไม่อาจหลุดพ้นได้

“เซิ่งเทียน เรื่องที่ฉันให้นายไปตรวจสอบ ตรวจสอบเป็นยังไงบ้าง”

สีหน้าฉีเซิ่งเทียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหัวขึ้น “ไม่เจออะไรเลย เมื่อปีนั้นสกุลอันเกิดเรื่องกระทันหันเข้า ตอนนี้ตรวจสอบอะไรเกี่ยวกับสกุลอันเองก็ล้วนแล้วไม่มีเบาะแสใดๆ”

เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันค่อนข้างแปลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ไม่มีเบาะแสใดๆ หลงเหลืออยู่เช่นนี้ แน่นอนคงต้องมีเงื่อนงำอย่างแน่นอน

จิ่งเป่ยเฉินขมวดคิ้วขึ้น และไม่พูดอะไรต่อ ก่อนจะเดินออกไป

หลังจากที่ส่งหลี่เฉิงไปแล้ว หลินจื่อเซี๋ยวก็ได้เห็นจิ่งเป่ยเฉินที่ด้านมาข้างหลัง จึงรีบลุกขึ้นไปถามด้วยความสงสัยว่า “ประธานจิ่งคะ ตอนนี้อันอีหานเข้ามาทำงานแล้วค่ะ ดูเหมือนกำลังรอคุณอยู่ที่ห้องทำงานด้วย”

จิ่งเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้น ไม่ใช่ว่าเธอขอลาไปแล้วเหรอ? ทำไมถึงกลับเข้ามาทำงานล่ะ?

“เธอพูดอะไรอีกไหม?”

หลินจื่อเซี๋ยวเงียบไปสักพัก “เธอบอกว่ามาที่นี่เพื่อสอบถามคุณเกี่ยวกับเรื่องโฆษกโฆษณาค่ะ”

อันโหรวตอนนี้ที่กำลังยืนอยู่ในห้องทำงานของจิ่งเป่ยเฉิน หลังจากที่เดินไปส่งลูกๆของเธอเข้าโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว เธออยู่บ้านก็ไม่มีอะไรทำ เลยสู้เข้าไปทำงานเสียดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นขี้ปากของผู้คนเท่าไหร่นัก

จิ่งเป่ยเฉินเมื่อเปิดประตู มองเห็นอันโหรวที่ยืนอยู่ข้างใน ดวงตาของเขาก็พลันหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะแสดงสีหน้าที่มืดมิดลง ความอดทนที่ชักจะทนไม่ไหว จึงเอ่ยออกไปว่า “ผมให้เวลาคุณสองนาที”

อันโหรวบีบแผนงานที่อยู่ในมือเอาไว้แน่น ก่อนจะเริ่มยื่นให้เขาและพูดขึ้น “นี่เป็นแผนของการโฆษณาเมื่อครั้งที่แล้ว โฆษกโฆษณาสุดท้ายถูกกำหนดให้เป็น เหอเฉ่า แต่นี่เป็นโฆษณาหลักทั้งหมดของบริษัทจิ่งในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ฉันหวังว่าประธานจิ่งจะเจอคนที่เข้าตาและดูดีกว่านี้นะคะ”

เธอเห็นเหอเฉ่าไปแล้วที่สวนสนุก ยอมรับว่าเธอนั้นเป็นเด็กที่ดีไม่เลว เพียงแต่จิ่งเป่ยเฉินยังไม่เคยเห็นเธอมาก่อน การตัดสินใจโดยเธอเพียงคนเดียว แน่นอนมันออกจะเลอเทอะจนเกินไปหน่อย

จิ่งเป่ยเฉินปวดหัวจนเส้นเลือดตรงขมับเต้นตุ้บๆ เขาทนไม่ไหว ก่อนจะจับไปที่ขมับบนหน้าผาก และถูไปมา ก่อนจะพูดขึ้น “เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ ผมให้คุณจัดการ คุณก็ต้องรับผิดชอบไป หลังจากนี้มีอะไรคุณก็ตัดสินใจเอาเองเถอะ”

เมื่อพูดจบ เขาก็แทบไม่ได้ดูรายงานที่ได้ไป ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นและพูดว่า “เสร็จแล้ว คุณก็ออกไปได้แล้ว”

อันโหรวไม่เคยเห็นจิ่งเป่ยเฉินเป็นแบบนี้มาก่อน

ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาโดยตลอดถูกเผยออกมาให้เห็น เธอไม่อาจเดินต่อไปได้ ด้วยหัวใจที่สับสน เธอจึงเอ่ยออกไปว่า “ปวดหัวมากไหม? เมื่อคืนคุณไม่ได้นอนเลยเหรอ?”

……..

ตอนที่ 78 ช่วยด้วย

เมื่อคืนตัวของเขาเองแทบไม่ได้นอน หลังจากที่ออกจากงานเต้นรำไป หัวใจของเขาก็ยังคงเต้นอย่างไม่หยุดนิ่ง ก่อนจะกลับมาบ้านและดื่มด่ำกับไวน์ตลอดทั้งคืน ไม่แปลกใจทำไมเขาถึงได้ปวดหัวตั้งแต่ตอนตื่นนอนเแบบนี้

ด้วยเหตุนี้เองจิ่งเป่ยเฉินจึงไม่เอ่ยอะไรให้มากความ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแสดงออกต่อหน้าต่อตาเธอเช่นนี้

เขาเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะฉายแววตาที่เย็นชา เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เฉยเมย “เรื่องของผม คุณไม่ต้องสนใจหรอก”

“ขอโทษที่ถามค่ะ!”

อันโหรวทนเก็บสีหน้าและอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เผยใบหน้าที่สงบนิ่ง ก่อนจะหันหลังกลับเพื่อที่จะเดินออกไปข้างนอก ขณะที่มือจับลูกบิดประตู จู่ๆก็หยุดชะงักลงไปสักพักหนึ่ง เหมือนกับว่าเธอนั้นครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ จากนั้นเธอก็เปิดประตูออกไปโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด

ดวงตาของจิ่งเป่ยเฉินที่ดูเย็นยะเยือก จุดขมับทั้งสองข้างตอนนี้ก็กลับเต้นรัวๆมากขึ้น

……

เมื่อเห็นอันโหรวเดินออกจากห้องทำงานของประธานไป หลินจือเซี๋ยวก็ได้รีบเข้ามาทักทาย ก่อนจะดึงมือเธอ และพบว่ามือของเธอนั้นเย็นเฉียบ “ฉันทำเรื่องลาให้เธอไปแล้ว ทำไมยังมาทำงานอีกล่ะ?”

อันโหรวยิ้มด้วยท่าทางที่ไร้เดียงสาและพูดขึ้น “ก็ทำเรื่องให้หยางหยางกับหน่วนหน่วนเข้าโรงเรียนอนุบาลได้แล้ว อยู่บ้านเองก็ไม่รู้จะทำอะไร มันก็น่าเบื่อไปหน่อย เลยมาทำงานน่ะ”

“คนบ้างานแท้ๆเลยเธอเนี่ย อยู่บ้านพักผ่อนเสียหน่อยก็ได้” หลินจื่อเซี๋ยวอดไม่ได้ที่จะบ่นกับอันโหรวก่อนจะเอามือไปจิ้มที่หน้าผากของเธอ ถ้าหากเธอสามารถพักผ่อนได้หนึ่งวัน หลุดพ้นจากเงื้อมมือของมหาราชาปีศาจแบบนี้ได้ เธอคงต้องไปกราบไหว้คุกเข่าขอบคุณสวรรค์แล้วล่ะ

อันโหรวยิ้มบางๆและตบไปที่มือของหลินจื่อเซี๋ยว “ฉันเป็นคนบ้างาน เพราะงั้นเธอไม่ต้องพูดหรอก ฉันยังมีเรื่องต้องทำอยู่ เดี๋ยวฉิวซีจะพบความผิดของฉันได้อีก”

หลินจื่อเซี๋ยวพยักหน้า ก่อนจะเหลือบมองไปยังนาฬิกา ดวงตาก็พลันสว่างขึ้น “ฉันยังมีเวลาครึ่งชั่วโมงก่อนจะเลิกงาน เลิกงานแล้วไปรอฉันที่ประตูทางออกของบริษัทจิ่งนะ เดี๋ยวฉันจะกลับบ้านพร้อมกับเธอ”

  ……

ทันทีที่เธอกลับมายังแผนกวางแผน ฉิวซีก็เห็นอันโหรวอีกครั้ง ก่อนจะทำท่าเยาะเย้ยเล็กๆและพูดขึ้น “อันอีหาน เธอนี่ฝีมือไม่เลวจริงๆนะ จะลาไปหนึ่งวันก็ไม่ยอมบอกหัวหน้าทีม หรือว่าไม่คิดจะเห็นหัวฉันเลยยังงั้นเหรอ?”

ดูเหมือนว่าคงไม่ง่ายเลยกับการที่มีเธอที่คอยจับผิด เธอทนไม่ได้ก่อนจะเหน็บแหนมออกไป

น้ำเสียงที่คมชัดปนการเสียดสี อันโหรวเองก็ขมวดคิ้วขึ้นเบาๆ ก่อนที่จะเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรขึ้น

เพราะตัวของเธอนั้นไม่อยากจะเสียพลังงานไปกับคนที่ไม่จำเป็นเช่นนี้

ทุกคนต่างก็ทำท่าไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย หัวหน้าทีมกับอันอีหานมักจะมีการต่อสู้กันอย่างลับๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรกับแผนกวางแผน คงได้แต่หวังว่าพวกที่คิดร้ายพวกนั้นจะไม่ส่งผลกระทบกับพวกเขาเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

ฉิวซียิ่งโกรธมากขึ้น เมื่อเห็นว่าเธอเองนั้นถูกเมินเฉย ฉิวซีจึงตะโกนเรียกอันโหรว แต่แล้วเสียงของอันโหรวที่เอ่ยออกมาทำเอาเธอแทบจะกระอัก…

“เมื่อเช้าฉันบอกกับระธานจิ่งไปแล้ว หรือว่าคุณมีปัญหายังงั้นเหรอค่ะ?”

“นี่เธอ…” นิ้วของฉิวซีพลันสั่นไปทั่วทั้งตัว เธอโกรธตัวสั่นเหมือนเจ้าเข้า

อันโหรวเดินตรงกลับไปยังที่นั่งของตน ก่อนจะเริ่มวางแผนเกี่ยวกับการโฆษณา  เหอเฉ่าที่ยังคงเป็นนักศึกษาอยู่เช่นนี้ จะให้เขาออกมาทำเรื่องเกี่ยวกับโฆษณาพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

สิ่งที่ยากที่สุดก็คือจะทำยังไงให้เธอแสดงฝีมือออกมาได้ต่างหากล่ะ เพราะนักศึกษามหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมงานกิจกรรมขนาดใหญ่แบบนี้คงเป็นครั้งแรกแน่ๆ และคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแสดงศักยภาพออกมา การรับรองด้านโฆษณาย่อมเป็นสิ่งที่ต้องห้ามมากที่สุด ยิ่งในด้านการแสดงออกถึงความสวยงาม นี่จึงเรียกได้ว่าเป็นความน่าสนใจของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆนั้น

ด้วยเหตุนี้เธอจึงจำเป็นต้องคิดหาวิธี

อันโหรวกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก แต่อาการปวดหัวของจิ่งเป่ยเฉินก็แว้บขึ้นมาในหัวของเธอ มือที่กำลังพิมพ์อยู่บนคียบอร์ดหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็พลันหยุดลงทันที

ไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติไปไหม แต่อันโหรวกัดริมฝีปากล่างเบาๆ ก่อนจะก้มศีรษะลงเล็กน้อย และหยิบยาแก้ปวดที่อยู่บนโต๊ะ ถือมันขึ้นมาไว้ในมือของตน

เธอกำแผงยาแก้ปวดที่อยู่ในมือ พลันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเก็บยาลงลิ้นชัก เธอได้แต่ดุด่าตัวเองไปว่า ทำไมตัวเองถึงได้ใจอ่อนแบบนี้ ต้องมาเสียหน้าด้วยความรู้สึกผิดแบบนี้ด้วยนะ

 ……

ครึ่งชั่วโมงต่อมา อันโหรวเก็บของลงลิ้นชักจนหมดไป ก่อนจะบันทึกเอกสารที่พิมพ์เอาไว้ เพื่อสำรองงานเอาไว้กันการผิดพลาด เมื่อปิดคอมพิวเตอร์เรียบร้อย เธอก็สะพายกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน

เธอบอกลาเพื่อนร่วมงาน อันโหรวเดินออกจากบริษัทสกุลจิ่ง ไปรอที่หน้าประตูเพื่อรอหลินจื่อเซี๋ยว

หลังจากรอไม่กี่นาที โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็ดังขึ้น เป็นหลินจื่อเซี๋ยวโทรเข้ามา และพูดขึ้นมาว่า  “โหรวโหรว เธอไม่ต้องรอที่หน้าประตูแล้ว มารอที่ลานจอดรถเลย”

อันโหรวถือกระเป๋าของเธอ เดินไปยังทางที่หลินจื่อเซี๋ยวบอกตอบกลับ”ได้ อีกเดี๋ยวฉันก็ถึงแล้วล่ะ”

เมื่อเดินไปถึงไม่กี่ก้าว รถตู้สีดำคันนึงก็ได้หยุดลงอยู่ตรงหน้าของอันโหรว เธอสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ผิดปกติขึ้นในใจ เธอกำโทรศัพท์ของเธอแน่นและหันไปมองชายสองคนในชุดสีดำที่เดินลงมาจากรถตู้ และคว้าตัวอันโหรวเข้าไปบนรถตู้โดยทันที

“อึก…ช่วยด้….” อันโหรวจำได้ว่าโทรศัพท์ยังไม่ทันวางสายไป จึงรีบตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ แต่แล้วจู่ๆปากและจมูกของเธอก็ถูกปิดก่อนจะสูดดมกลิ่นของอีเทอร์[2]เข้าไปในจมูกของเธอ

[1] ผายลมนัก คำพูดไร้สาระ ไม่น่าเชื่อถือ ไม่ต่างจากการผายลมออกจากปาก

[2] อีเทอร์ เป็นยาสลบ ซึ่งนิยมมักเรียกสารนี้ว่าอีเทอร์ โดยสารนี้จะออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางจนทำให้หมดสติไป

*********