เธอแง้มหน้าต่างเปิดออกเล็กน้อยเหมือนที่ทำเป็นประจำ นั่งพิงขอบหน้าต่างดื่มด่ำกับความผ่อนคลาย
สายลมพัดพาเอาความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ยามกลางวันผ่านเข้ามาจั้กจี้ใบหน้าของเธอ
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้ เมื่อท่านพ่อกลับมาหลังจากเสร็จงานช่วงเช้า พวกเราก็จะออกเดินทางไปยังพระราชวังกันในทันที
หากเดินทางด้วยรถม้าจากที่นี่ไปยังเขตแดนใต้การปกครองของจักรพรรดิจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง และจากชานเมืองไปจนถึงตัวพระราชวังก็จะใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงโดยประมาณ
ท่านพ่อก็บอกว่าจะออกเดินทางโดยเผื่อเวลาให้มากเสียหน่อย จะได้พาเธอที่เพิ่งเคยมาพระราชวังเป็นครั้งแรกเที่ยวชมวังหลวง
งานเลี้ยงมื้อเย็นของจักรพรรดินีจะเริ่มขึ้นเมื่อยามพระอาทิตย์ตกดิน
ทั้งๆ ที่คืนนี้ตารางงานคงจะยุ่งน่าดูแท้ๆ แต่ช่วงเวลายามกลางวันกลับค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า
แต่แล้วในจังหวะที่กำลังเคลิ้มจะหลับ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามาเลยค่ะ”
พอเธอเอ่ยตอบออกไป ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างระมัดระวัง ก่อนที่เอสทีร่าจะเดินเข้ามา
“สวัสดีค่ะ เอสทีร่า!”
เป็นแขกน่ายินดีที่เธอกำลังรออยู่เชียวเธอรีบลากเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้ๆ เข้ามาเพื่อให้เอสทีร่านั่ง
“เอาของที่ไหว้วานมาให้แล้วค่ะยานี่เสร็จสมบูรณ์ไปเมื่อหลายวันก่อนแล้ว แต่คุณหนูสั่งให้นำมาวันนี้ก็เลย…”
“อื้อๆ ใช่แล้ว! ขอบใจนะ!”
“นี่ค่ะ”
สิ่งที่เอสทีร่ายื่นมาให้คือ ขวดแก้วขนาดเล็กพอที่จะถือเอาไว้ในมือของเธอได้สบายๆ
ขวดแก้วใส่อยู่ในถุงที่ทำจากผ้าผืนหนาเพื่อไม่ให้เห็นของข้างใน เมื่อเธอคลายเชือกออกอย่างระมัดระวัง ก็สามารถตรวจเช็กได้ว่ามียาเมลคอนสีทองใส่อยู่เต็มขวด
“ว่าแล้วเชียว สมแล้วที่เป็นเอสทีร่า ช่วยเตรียมให้อย่างสมบูรณ์แบบตามที่ข้าขอร้องเลย ขอบใจนะ! ”
เธอเก็บมันใส่ลงในกระเป๋าถือใบเล็กที่วางอยู่ข้างๆ ด้วยความระมัดระวัง
มันเป็นของที่เธอตั้งใจจะพกไปที่พระราชวังด้วย
“คือว่า คุณหนู…”
“หืม? ทำไมเหรอ”
เอสทีร่าที่เฝ้ามองพฤติกรรมของเธออยู่นิ่งๆ เอ่ยเรียกเธอด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“จะใช้ยาเมลคอนเป็นยาแก้พิษหรือคะ”
“…”
เธอไม่ได้ตอบอะไรออกไปแค่มองจ้องนัยน์ตาของเอสทีร่าเท่านั้น
ช่างเป็นนัยน์ตาที่กระจ่างใสเสียจริงใสมากเสียจนรับรู้ได้ว่า เหตุผลที่เอ่ยถามคำถามแบบนี้กับเธอ เป็นเพราะนางเป็นห่วงเธออย่างบริสุทธิ์ใจ
“ไม่ใช่เพื่อตัวข้าหรอก เพราะฉะนั้นอย่ากังวลมากเลย!”
เธอตั้งใจหัวเราะให้สดใสยิ่งขึ้น
“ถ้าอย่างนั้น…”
“ขอโทษนะ แต่คงบอกอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ แต่ก็จะเอาไปพระราชวังอย่างที่เอสทีร่าคาดเดาเอาไว้นั่นแหละ”
พอคำว่าพระราชวังหลุดออกมา สีหน้าของเอสทีร่าก็มืดครึ้มลงไปอีกระดับ
ไม่ว่ายังไงสำหรับคนทั่วไปแล้ว พระราชวังก็เป็นสถานที่ที่ลำบากและน่ากลัวอย่างไร้ที่สิ้นสุดอยู่ดี
“ที่นั่นมีใครบางคนอยู่น่ะ คนที่จำเป็นต้องใช้ยาตัวนี้ ข้าจะมอบมันให้เขาคนนั้น”
“…ระวังตัวด้วยนะคะคุณหนู ข้าเป็นห่วงเพราะดูเหมือนคุณหนูที่ยังเด็กจะคิดทำเรื่องใหญ่เกินตัวน่ะค่ะ”
“ขอบใจนะที่เป็นห่วง เอสทีร่า อ๊ะ และก็…”
เธอโน้มกายเข้าหาเอสทีร่า กระซิบเสียงแผ่ว
“เรื่องนี้เป็นความลับของเราสองคนนะ เข้าใจมั้ย”
เสียงกระซิบแฝงความหยอกล้อเล็กน้อยของเธอ ทำให้เอสทีร่าพยักหน้าหนักแน่น ถึงแม้เธอจะพูดความจริงออกไปเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องกังวล แต่เธอไม่ระแวงว่าเอสทีร่าจะเล่าเรื่องของเธอให้ใครฟังหรอกเพราะเอสทีร่าเป็นคนรักษาสัญญา
ชาติที่แล้ว เธอรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่จงรักภักดีต่อเจ้านายของนางอย่างไร้เงื่อนไข
“อ่า ถ้าท่านพ่อกลับมาไวๆ ก็คงจะดีสิ”
เธอพึมพำไปพลาง เหม่อมองถนนว่างเปล่าที่ไม่มีรถม้าขับผ่านแม้แต่คันเดียว
“ไม่ต้องเครียดมากนะ เทีย”
แคลอฮันเอ่ยพูดกับเทียเป็นรอบที่สิบในขณะที่นั่งอยู่ข้างในรถม้าที่เขย่าไปมา
“ข้าไม่เป็นอะไรสักหน่อยนี่คะ”
“เหรอ ค่อยโล่งอกหน่อย”
ลูกสาวตอบกลับอย่างห้าวหาญ แต่แคลอฮันทำได้เพียงแค่ยิ้มจางเท่านั้น
“พ่อไม่เป็นอะไรนะคะ? หน้าซีดไปหมดแล้ว”
“ไม่เป็นไร พ่อก็แค่ตื่นเต้นนิดหน่อยน่ะ”
“โธ่”
เทียตบหลังมือเย็นเฉียบของแคลอฮันด้วยมือเล็ก
มือเล็กคู่นั้นช่วยให้แคลอฮันรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้เล็กน้อย
“ว่าแต่กระเป๋านั่นอะไรหรือเทีย ท่าทางจะหนักน่าดู พ่อช่วยถือให้เอามั้ย”
แคลอฮันจงใจเบี่ยงเบนความสนใจ พยายามไม่คิดถึงงานเลี้ยงมื้อเย็นของจักรพรรดินี
“ไม่หนักเลยค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ”
“ปกติก็ไม่เห็นจะถือกระเป๋าไปไหนมาไหนเลยข้างในใส่อะไรอยู่เหรอ”
กระเป๋าถือทรงกลมสีน้ำตาลเข้ากันกับชุดเดรสสีเขียวอ่อนที่เทียใส่อยู่ พอถูกถืออยู่ในมือเล็กก็ยิ่งขับให้ดูน่ารักมากขึ้นไปอีก
“ของขวัญค่ะ!”
“ของขวัญ?”
“ค่ะ! ให้เจ้าชายน่ะค่ะ!”
ฟีเรนเทียตอบด้วยเสียงสดใส
“ให้เจ้าชายลำดับที่หนึ่งงั้นเหรอ”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่ได้ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่กลับหัวเราะแหะๆ แทนและใบหน้าสดใสนั่น ก็ทำให้แคลอฮันรู้สึกราวกับก้อนหินก้อนใหญ่ตกลงมาบนหน้าอก
“ใช่แล้ว เทียเองก็ถึงวัยแล้วสินะ นี่มันช่าง ก็รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรวันแบบนี้ก็ต้องมาถึงสักวัน แต่ว่า…”
“ไม่นะ ไม่ใช่แบบนั้น…”
แต่แล้วในจังหวะที่ฟีเรนเทียพยายามจะพูดอะไรบางอย่างจู่ๆ รถม้าที่ขับเคลื่อนมาได้อย่างราบรื่นตลอดทางก็หยุดชะงักส่งเสียงดังเอี๊ยด
“มีเรื่องอะไรกัน”
แคลอฮันเอ่ยถามสารถีรถม้า
“ระ…เรื่องนั้น…ทหารยามประจำพระราชวังสั่งให้จอดรถม้า เพราะต้องทำการตรวจสอบ”
“เป็นไปได้ยังไง”
เดิมทีเพราะรถม้าติดตราสัญลักษณ์ลอมบาร์เดีย ตั้งแต่คฤหาสน์ลอมบาร์เดียมาจนถึงพระราชวัง สองพ่อลูกก็เดินทางอย่างราบรื่นไม่มีเรื่องให้ต้องหยุดชะงักเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทว่าครั้งนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น
เขาแหวกผ้าม่านรถม้ามองไปด้านนอก และขณะที่แคลอฮันขมวดคิ้วแน่น พยายามประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ประตูรถม้าก็ถูกเปิดออกพรวด
“จะทำการตรวจค้นสักครู่ครับ กรุณาลงมาด้วยครับ”
คนที่เป็นประตูคืออัศวินส่วนพระองค์สวมชุดเกราะแวววาวสองนายนั่นเอง
“รถม้าตระกูลลอมบาร์เดียครับ ข้าแคลอฮัน ลอมบาร์เดีย ได้รับเชิญจากองค์จักรพรรดินีให้มาที่นี่”
แต่อัศวินกลับไม่แม้แต่จะหยุดฟังคำอธิบายทั้งหมดของแคลอฮัน พวกเขาเปิดประตูรถม้าออกให้กว้างขึ้น
“ขออภัยด้วยครับ กรุณาให้ความร่วมมือด้วย”
มีอะไรบางอย่างแปลกๆ
แคลอฮันเบิกตากว้าง หันกลับไปมองฟีเรนเทียที่นั่งอยู่เงียบๆ ตั้งใจจะลงจากรถม้าเพียงคนเดียวถ้าหากเกิดการกระทบกระทั่งกันที่นี่ อาจจะทำให้ลูกสาวของเขาตกใจมากก็เป็นได้
“คุณหนูเองก็ลงมาด้วยสิครับ”
“จะตรวจค้นแม้กระทั่งเด็กด้วยอย่างนั้นหรือ”
แคลอฮันขึ้นเสียงสูง คล้ายกับว่าตอนนี้เขาโมโหสุดขีดแล้วจริงๆ
“…ขออภัยด้วยครับ”
เท่าที่สังเกตเห็น อัศวินเองก็ไม่ได้ต้องการให้เรื่องเป็นแบบนี้เช่นกัน
แคลอฮันไม่ได้เก็บซ่อนความไม่พอใจเอาไว้
พระราชวังที่หากติดสัญลักษณ์ตระกูลลอมบาร์เดียเอาไว้ พวกเขาควรที่จะผ่านทางไปได้จนถึงห้องทรงงานขององค์จักรพรรดิด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ กลับมาบอกว่าจะตรวจค้นกันแบบนี้ เหตุผลย่อมมีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น
คิดเป็นปรปักษ์
ไม่ว่าคนออกคำสั่งจะเป็นจักรพรรดินีหรือจักรพรรดิก็ตาม แต่คนพวกนั้นตั้งใจที่จะบั่นทอนอำนาจของพวกเขาเป็นแน่
“คำสั่งของจักรพรรดินีอย่างนั้นหรือ”
แคลอฮันถามตรงๆ
“…”
อัศวินได้แต่หลบสายตา ไม่อาจตอบอะไรออกไปได้
ช่วยไม่ได้สินะ
แคลอฮันถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยพูด
“ปล่อยเด็กไว้”
เสียงทุ้มต่ำราวกับเอ่ยเตือนนั้น ทำให้อัศวินลอบแลกเปลี่ยนสายตากับเพื่อนร่วมงานอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าตกลง
แคลอฮันก้าวลงจากรถม้า
พอหันไปมองรอบๆ ถึงได้พบว่าสถานที่ที่รถม้าหยุดจอดคือพระราชวังส่วนในซึ่งเป็นที่ตั้งวังของจักรพรรดินี
มันเป็นเพียงแค่หัวมุมถนนธรรมดาว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งป้อมยามรักษาการณ์ของอัศวินด้วยซ้ำ
ผ่านจุดแรกอย่างวังส่วนกลางที่มีสายตาคนมองอยู่มากมายมาแล้ว แต่เพิ่งจะมาสั่งให้หยุดรถม้าที่กำลังวิ่งมาตามปกติเพื่อขอตรวจค้นเอาตอนนี้
‘น่าจะพาอัศวินประจำตระกูลมาด้วยสักหลายนายหน่อย’
แคลอฮันเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาทีหลังเสียแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นรบกวนสักครู่…”
อัศวินเดินเข้ามาตั้งใจจะตรวจค้นตามตัวของแคลอฮัน
ความอัปยศที่ไม่เคยต้องเผชิญแม้แต่ครั้งเดียวนับตั้งแต่ที่เกิดมา ทำให้แคลอฮันต้องพยายามควบคุมสีหน้าไม่ให้บิดเบี้ยวไม่น่ามอง ก่อนจะเอ่ยพูด
“ไม่แตะต้องตัวข้าน่าจะดีกว่านะ”
อัศวินที่เดินเข้าไปใกล้เผลอผงะไปชั่วครู่
“ถ้าหากไม่อยากเสียตำแหน่งของเจ้าไป เพราะเลือกปฏิบัติจงใจมาตรวจค้นตัวข้า”
“อะแฮ่ม”
อัศวินก้าวถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวเมื่อเผชิญกับแรงกดดันของแคลอฮัน เขาเหลือบสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ก่อนจะกระแอมไอพลางพยักหน้าตกลง
“ดูเหมือนจะไม่มีอะไร ตรวจค้นเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ เชิญกลับขึ้นรถม้าได้เลยครับ”
มันเป็นสถานการณ์น่าทุเรศที่ทำให้โมโหจนพูดอะไรไม่ออก
หลังจากที่จ้องเหล่าอัศวินด้วยนัยน์ตาเย็นชาเป็นครั้งสุดท้าย แคลอฮันก็เดินกลับขึ้นรถม้า
ไม่สิ ตั้งใจจะทำเช่นนั้นต่างหาก
แต่เมื่อมองเห็นข้างในรถม้าว่างเปล่า กับประตูรถม้าที่ถูกเปิดเคว้งทิ้งไว้ครึ่งหนึ่ง เขาก็ต้องหยุดชะงักตัวเกร็งมันทั้งอย่างนั้น
“ฟีเรนเทีย?”
ลูกสาวของเขาหายตัวไปแล้ว