บทที่ 24

 

 

“ปกติก็ไม่เห็นจะถือกระเป๋าไปไหนมาไหนเลย…ข้างในใส่อะไรอยู่เหรอ”

 

“ของขวัญค่ะ!”

 

“ของขวัญ?”

 

“ค่ะ! ให้เจ้าชายน่ะค่ะ!”

 

เจ้าชายลำดับที่สองเองก็เป็นเจ้าชายอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเธอไม่ได้พูดอะไรผิด

 

ยาเมลคอนที่เธอเตรียมมาเป็นยาสำหรับเจ้าชายลำดับที่สองเฟเรส

 

นับตั้งแต่ช่วงที่มารดาของเฟเรสเสียชีวิตด้วยโรคภัย องค์จักรพรรดินีก็เริ่มต้นใส่ยาพิษลงในอาหารของเขา แต่ใช้ยาอะไรกันแน่ เรื่องนั้นเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

 

ชาติที่แล้วตอนที่ได้เห็นเขาขึ้นเป็นรัชทายาท และลอมบาร์เดียถูกโจมตี เธอเคยไปหากิลด์ข้อมูลเพราะคิดว่าบางทีอาจจะมีอะไรที่เธอพอช่วยได้บ้าง เธอจ่ายเงินที่เก็บรวบรวมมาตลอดหลายเดือน ซื้อซองข้อมูลมาก็จริง แต่ข้างในนั้นก็ไม่ได้เขียนบอกเอาไว้ว่าจักรพรรดินีใช้ยาพิษชนิดไหนกันแน่เรื่องนั้นแม้แต่ตัวเฟเรสเองก็ไม่อาจสืบรู้ได้จนถึงท้ายที่สุด ได้แต่แก้ไขผลกระทบข้างเคียงอย่างอาการนอนไม่หลับจากสารพิษที่ตกค้างอยู่เท่านั้น

 

แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือ มันเป็นสิ่งที่ต้องใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานด้วยปริมาณที่น้อยมากจนไม่สามารถตรวจพบได้ง่ายๆ

 

องค์จักรพรรดิเองก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับเด็กที่เกิดจากความผิดพลาดกับนางกำนัลอะไรมากนัก และฝากฝังเขาเอาไว้กับจักรพรรดินี

 

แน่นอนว่าจักรพรรดินีย่อมสัญญาว่าจะดูแลเขาเป็นอย่างดี แต่ลับหลังกลับหลบเลี่ยงสายตาของจักรพรรดิ ลอบเคลื่อนไหวอยู่เงียบๆ แต่ไม่รู้ทำไมเฟเรสถึงไม่ตายเพราะยาพิษอีกทั้งยังมีชีวิตรอดมาได้ และต่อไปในอนาคตอีกสามปีข้างหน้า องค์จักรพรรดิก็จะสังเกตเห็นคำโกหกของจักรพรรดินีในที่สุด

 

น่าสงสารที่มันกลับไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในชีวิตของเฟเรสมากนัก

 

องค์จักรพรรดิเพียงแค่ใช้ความผิดพลาดของจักรพรรดินีเป็นข้ออ้างในการจับตาควบคุมอังเกนัสที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และยังคงไม่ได้มีความรักอะไรในตัวของเจ้าชายลำดับที่สองเหมือนเคย

 

ช่วงเวลานั้น องค์จักรพรรดิได้ดึงคนจากหลายตระกูลเข้ามาเป็นสนม เริ่มต้นจากการใช้พวกเขาเหล่านั้นสร้างทายาทขึ้นมาใหม่

 

ในขณะที่ฟีเรนเทียกำลังครุ่นคิดโน่นนี่เกี่ยวกับเฟเรส ก็ได้ยินเสียงอ่อนระโหยไร้เรี่ยวแรงของท่านพ่อดังขึ้น

 

“ใช่แล้วเทียเองก็ถึงวัยแล้วสินะ ตอนนี้”

 

ทว่าปฏิกิริยาของท่านพ่อกลับแปลกไปเล็กน้อย

 

“ก็รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรวันแบบนี้ก็ต้องมาถึงสักวันแต่ว่า…”

 

“ไม่ไม่ใช่แบบนั้น…”

 

ดูเหมือนว่าท่านพ่อของเธอจะได้รับบาดแผลทางใจมากเหลือเกิน

 

แต่เธอไม่อาจพูดความจริงออกไปได้เพราะเธอวางแผนเอาไว้ว่า เดี๋ยวพอเที่ยวรอบพระราชวังกับท่านพ่อ ก็จะหาโอกาสแกล้งทำเป็นหลงทาง

 

แน่นอนว่าเป้าหมายก็คือ สถานที่ที่เจ้าชายลำดับที่สองเฟเรสอยู่

 

โชคดีที่เธอรู้ตำแหน่งที่ตั้งอย่างคร่าวๆ ของวังที่เจ้าชายลำดับที่สองเคยอาศัยอยู่ด้วยกันกับมารดา

 

จักรพรรดินีต้องการที่จะเก็บสองแม่ลูกไว้ในที่ที่สายตาของพระองค์มองถึงเพราะฉะนั้นถึงได้โยนพวกเขาสองเม่ลูกเข้าไปอยู่ในวังขนาดเล็กในป่าลึกทางตะวันตกของวังจักรพรรดินี ฟีเรนเทียได้ยินว่าเฟเรสอาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเดินทางไปศึกษาที่อะคาเดมี

 

เขาที่ตอนนี้อายุได้สิบเอ็ดขวบเท่ากับสองแฝด แต่ว่าเขาจะหน้าตาเป็นยังไงกันนะ

 

“มีเรื่องอะไรกัน”

 

“ระ…เรื่องนั้น…ทหารยามประจำพระราชวังสั่งให้จอดรถม้าเพราะต้องทำการตรวจสอบ…”

 

ตรวจค้นรถม้าของตระกูลลอมบาร์เดียอย่างนั้นเหรอ

 

ประตูรถม้าถูกเปิดออกจากด้านนอกโดยไม่มีเวลาให้ตื่นตระหนก มองออกไปก็เห็นอัศวินส่วนพระองค์สองนายกำลังยืนอยู่

 

“คำสั่งของจักรพรรดินีอย่างนั้นหรือ”

 

น้ำเสียงเย็นชาของท่านพ่อแบบนี้ เธอเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

 

พวกอัศวินไม่อาจตอบอะไรออกมาได้

 

หลังจากการต่อล้อต่อเถียงจบลง ท่านพ่อก็หันมามองเธอหนึ่งครั้งราวกับจะบอกว่าไม่ต้องกังวล แล้วลงไปจากรถม้า

 

อันที่จริงเธอไม่ได้กังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ตกใจกับภาพลักษณ์แบบนี้ของท่านพ่อที่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกต่างหาก

 

เห็นได้ชัดเลยว่าทำไมเรื่องราวถึงได้เป็นแบบนี้

 

เพราะเรื่องที่ไม่มีวันเกิดขึ้นกับรถม้าที่ท่านปู่โดยสาร มันเกิดขึ้นเฉพาะกับพวกเราเท่านั้น

 

การกระทำเช่นนี้สำหรับคนที่เป็นถึงจักรพรรดินีแล้ว มันเป็นการกระทำที่แสนขี้ขลาดและน่าละอายเสียจริงแต่แล้วในตอนที่เธอถอนหายใจ เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างฝั่งตรงข้ามกับฝั่งที่ท่านพ่อลงไปจากรถม้า

 

“เจ้าชายลำดับที่สอง?”

 

เธอมองเห็นภาพด้านหลังของเด็กผู้ชายผมดำคนหนึ่งแวบผ่านไปท่ามกลางต้นไม้

 

“เจ้าชายลำดับที่สองจริงเหรอ”

 

นี่มันไม่ต่างอะไรจากสวรรค์ช่วยชัดๆ

 

เพราะสิ่งที่เธอรู้เป็นเพียงแค่ตำแหน่งคร่าวๆ เท่านั้นจริงๆ เธอถึงได้กังวลว่าจะตามหาวังที่พำนักของเจ้าชายได้ยังไง ถ้าไปถึงแล้วจะได้พบเขาหรือเปล่า แต่กลับบังเอิญพบกันแบบนี้

 

มันเป็นโอกาสที่ไม่อาจพลาดได้เด็ดขาด

 

เธอตรวจให้แน่ใจว่าท่านพ่อยังคงก่อสงครามประสาทอยู่กับพวกอัศวิน หลังจากนั้นจึงเปิดประตูรถม้าอีกฝั่งออกด้วยความระมัดระวัง

 

โล่งอกที่ประตูถูกเปิดออกได้อย่างราบรื่นไม่ส่งเสียงใดๆ

 

มือข้างหนึ่งจับกระเป๋าแน่น เธอวิ่งตรงไปยังป่าที่อยู่ตรงหน้า

 

พอเหลียวกลับไปมองข้างหลัง ก็เห็นว่าท่านพ่อกับพวกอัศวินยังคงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

 

เมื่อคิดแล้วว่าถ้าท่านพ่อสังเกตเห็นว่าเธอหายตัวไปคงจะตกใจน่าดู ก็รู้สึกผิดนิดหน่อย แต่มันช่วยไม่ได้เพราะหากไม่ใช้วิธีนี้ ก็ไม่มีวิธีแอบจักรพรรดินีไปพบกับเจ้าชายลำดับที่สองอีกแล้ว

 

นอกจากมอบยานี่ให้กับเฟเรส และรีบกลับมาให้ไวที่สุด

 

เธอซ่อนอยู่ข้างหลังป่าไม้ขนาดย่อม หลบสายตาของท่านพ่อกับพวกอัศวิน พยายามวิ่งไปยังทิศที่เจ้าชายลำดับที่สองหายตัวไป

 

“แฮก แฮก! โอ๊ย!”

 

ขยับกายรีบเคลื่อนไหวอย่างขาดสติ ห่างออกมาไกลจากท่านพ่อกับพวกอัศวินมากพอแล้วก็จริง แต่เหมือนจะมีปัญหาอยู่อย่าง

 

“ที่นี่ที่ไหนล่ะเนี่ย”

 

ไม่เห็นแม้กระทั่งปลายจมูกของเจ้าชายลำดับที่สองที่วิ่งมาทางนี่แน่ๆ แถมเพราะมันเป็นป่าจึงยิ่งมองทิศทางไม่ออก

 

ตั้งใจจะแกล้งทำเป็นหลงทาง แต่ดันหลงทางแล้วจริงๆ

 

ต้องเลิกล้มความตั้งใจในการตามหาเฟเรส แล้วย้อนกลับไปยังตำแหน่งที่ท่านพ่ออยู่อย่างนั้นเหรอ

 

ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียง ‘สวบ’ ดังขึ้น

 

พอหันหลังกลับไปก็เห็นว่าต้นหญ้าที่อยู่ไม่ห่างจากตรงที่เธอยืนอยู่นี่มันขยับเล็กน้อย

 

อึก

 

เธอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง

 

ตึก ตึก

 

น่าจะได้ยินเสียงเท้าเธอเดินเข้าไปใกล้แท้ๆ แต่ทางฝั่งต้นหญ้ากลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย

 

เธอลดเสียงฝีเท้าให้เบาลง

 

และในที่สุดก็เริ่มมองเห็นบุคคลตัวเล็ก

 

เรือนผมสีดำสนิทถูกตัดสั้นประมาณต้นคอเป็นสิ่งแรกที่ปรากฏเข้าสู่ห้วงสายตา

 

ไม่ได้มีป้ายชื่อติดไว้ แต่เธอมั่นใจ

 

เจ้าชายลำดับที่สอง เฟเรส ใช่เขาจริงๆ

 

แต่เธอไม่สามารถเรียกชื่อเขา หรือเดินเข้าไปคุยด้วยใกล้ๆ ได้

 

หลังจากลองพยายามอ้าปากหุบปากพะงาบๆ อยู่หลายครั้ง เธอถึงสามารถส่งเสียงออกไปได้

 

“นะ…นั่นกำลังทำอะไร…”

 

เจ้าชายลำดับที่สองนั่งยองๆ อยู่หน้าต้นหญ้า เขากำลังใช้นิ้วขยับอย่างคล่องแคล่วเด็ดเอาแต่ใบไม้แหลมประเภทหนึ่งและยังไม่หยุดแค่นั้นเจ้าชายลำดับที่สองเอาใบไม้ที่เด็ดออกมาจากต้นอย่างลวกๆ ยัดใส่เข้าปากทันที

 

ทั้งๆ ที่ในปากเล็กนั่นก็มีหญ้าอยู่เต็มปาก

 

ซ้ำๆ อยู่แบบนั้น

 

ถึงแม้น้ำสีเขียวจะไหลเลอะออกมาจากปาก เขาก็แค่เช็ดมันด้วยแขนเสื้ออย่างไม่ไยดี ไม่หยุดเด็ดใบไม้สีเขียวตรงหน้ามากิน

 

พฤติกรรมนั่นมันทั้งดูสิ้นหวัง ทั้งดูไร้ชีวิตชีวาราวกับเครื่องจักรมากเสียจนทำให้เธอที่ยืนดูอยู่รู้สึกราวกับหัวใจร่วงตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

 

เธอขยับร่างกายที่แข็งทื่อจนแทบจะขยับไม่ออก เดินตรงเข้าไปหาเขา

 

“หยุดนะ”

 

พอเธอพูดออกไปอย่างร้อนรน การเคลื่อนไหวไม่หยุดของเจ้าชายลำดับที่สองถึงได้หยุดลง