เด็กที่เธอเห็นเพียงเฉพาะด้านข้างมาโดยตลอดหันหน้ามามองเธอ

 

นัยน์ตาสีแดงสดแต่งแต้มจุดสีน้ำตาลแดง

 

เด็กผู้ชายคนนี้คือเจ้าชายลำดับที่สองอย่างแน่นอน

 

“ทำอะไรกันแน่เนี่ย ทำไมถึงกินหญ้านั่นล่ะ”

 

เธอหลุดโมโหออกไปโดยไม่รู้ตัว

 

เฟเรสในวัยเด็กเหม่อมองเธอที่เป็นเช่นนั้นด้วยนัยน์ตาไร้ความรู้สึก ก่อนจะเอ่ยตอบ

 

“เพราะหิว”

 

“หา?”

 

“เมื่อไม่นานมานี้ จู่ๆ ท้องก็เอาแต่หิวอย่างไม่มีเหตุผลอยู่เรื่อย ในหนังสือบอกว่าถ้ากินสมุนไพรนี่แล้วจะดีขึ้นน่ะ”

 

“อา…”

 

ฟีเรนเทียพูดต่อไม่ถูกเลยหัวสมองของเธอขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก เหมือนถูกตีเข้าที่หลังศีรษะ

 

เหตุผลที่รู้สึกหิวอยู่เรื่อยมันชัดเจนอยู่แล้วมันคืออาการของพิษที่ถูกสะสมอยู่ในร่างกายมาโดยตลอด

 

ในตอนนั้นเองเธอถึงได้เพิ่งจะสังเกตเห็นสีหน้าซีดเซียว

 

เจ้าชายลำดับที่สองมีชีวิตรอดมาได้เพราะแบบนี้

 

เดินร่อนเร่ไปทั่วป่าเหมือนสัตว์ที่อาศัยอยู่ในภูเขา หาสมุนไพรที่พอจะมีประโยชน์ เด็ดมันกิน แล้วอดทนเรื่อยมา

 

เจ้าชายลำดับที่สองมองเธออยู่ชั่วครู่ แล้วหันหลังใส่เธออีกครั้ง

 

เขาอายุมากกว่าเธอสามปี ดังนั้นปีนี้เขาก็อายุได้สิบเอ็ดขวบ

 

อายุเท่ากันกับสองแฝด

 

แต่ขนาดตัวของเฟเรสดูเล็กมากเกินกว่าจะบอกว่าเขาอายุสิบเอ็ดอย่างน้อยภายนอกก็ดูแล้วไม่น่าจะอายุถึงสิบเอ็ดขวบ

 

สภาพก็ดูแล้วย่ำแย่มากเกินกว่าจะบอกว่าเป็นเจ้าชายเสื้อผ้าที่สวมใส่อาจจะทำจากวัสดุค่อนข้างดี แต่มันยับไปทั่ว ทั้งยังสกปรกมากอีกด้วยบางทีอาจจะใส่ชุดเดียวกันนั่นมาตลอดหลายวันก็ได้

 

หรือว่า ไม่มีแม้กระทั่งนางกำนัลคอยดูแลรับใช้กัน

 

ลางสังหรณ์ร้ายวาบผ่านเข้ามาในหัวสมอง

 

เธอคว้ามือเขาไว้ กลัวว่าเฟเรสจะเด็ดใบไม้มากินอีกรอบ

 

“อย่ากินของแบบนี้ ถ้าป่วยก็กินยาสิ!”

 

“แต่ตอนท่านแม่ป่วย หมอก็ไม่ยอมมานะ?”

 

“ระ…เรื่องนั้น…”

 

“เพราะฉะนั้นเลยไปหาเจอในหนังสือ มันอาจจะดูเหมือนต้นหญ้าไร้ประโยชน์ แต่มันอาจจะได้ผลก็ได้นี่นา”

 

พอนั่งยองๆ ข้างๆ แบบนี้แล้ว ระดับสายตาของเขาก็อยู่ในระดับเท่าๆ กันกับเธอ ข้อมือของเจ้าชายที่ถูกมือของเธอจับเอาไว้เองก็ผอมบางมากมากขนาดทำให้เธอต้องรีบคลายแรงที่กอบกุมเขาเอาไว้ด้วยความตกใจโดยไม่รู้ตัว

 

เมื่อตอนที่มารดาของเจ้าชายกำลังจะตายด้วยโรค จักรพรรดินีก็ขัดขวางไม่ให้แพทย์เข้ามาที่นี่ได้

 

เพราะฉะนั้นช่วงหลังจากที่เฟเรสขึ้นเป็นรัชทายาท ถืออำนาจทั้งหมดแทนองค์จักรพรรดิ เขาจึงส่งเจ้าชายลำดับที่หนึ่งไปยังสนามรบเป็นอย่างแรก

 

มันเป็นแนวหน้าทางเหนือซึ่งได้ชื่อว่าโหดร้ายและเกิดความสูญเสียมากที่สุด

 

อย่าว่าแต่ส่งแพทย์เข้าไปยังวังของจักรพรรดินีที่สลบไปด้วยความตกใจเลย แม้แต่สมุนไพรสักต้น เขาก็ทำให้มันไม่อาจเล็ดลอดเข้าไปในวังได้

 

ตอนที่ได้ยินเรื่องนั้น เธอยังคิดอยู่เลยว่าถึงยังไงก็ทำเกินไปแล้ว

 

ช่างเป็นคนที่โหดเหี้ยมเสียจริง เธอเคยคิดขนาดนั้นด้วยซ้ำแต่ตอนนี้เธอไม่อาจมีความคิดแบบนั้นได้แม้แต่เสี้ยววินาที

 

เด็กที่ไม่อาจเติบโตได้สมวัย ทั้งยังต้องกินยาอดทนเรื่อยมาแบบนี้

 

มีชีวิตรอดอย่างทรหดด้วยตัวของเขาเอง

 

เธอโยนหญ้าที่เหลืออยู่ในมือของเฟเรสทิ้ง เปิดกระเป๋าที่เธอพกมาด้วย พลางเอ่ยพูด

 

“ข้าเอายามาด้วย เพราะงั้นอย่าไปกินของพวกนี้”

 

เจ้าชายเอียงคอด้วยความงุนงง แล้วเอ่ยถาม

 

“เจ้าเป็นใคร”

 

ทีแบบนี้ล่ะถามไวจริง

 

เธอถอนหายใจเสียงแผ่วแทนคำตอบ

 

“ข้าชื่อฟีเรนเทีย ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย”

 

“ข้าเฟเรส”

 

เจ้าชายลำดับที่สองมองใบสมุนไพรที่หล่นอยู่บนพื้นด้วยนัยน์ตาเสียดายพลางพูดและเงยหน้าขึ้นมองเธอ

 

นัยน์ตาสีเลือดเข้ม นัยน์ตาคู่นั้นว่างเปล่าราวกับข้างในไร้จิตวิญญาณ

 

เจ้าชายลำดับที่สองถามเธอ

 

“ว่าแต่เจ้าร้องไห้ทำไม”

 

“พูดเรื่องอะไรน่ะ”

 

“เจ้าไง ร้องไห้อยู่ไม่ใช่เหรอ”

 

“พูดอะไรเป็นไปไม่ได้…”

 

เธอหัวเราะไม่เชื่อคำพูดของเขา ยกมือขึ้นแตะรอบนัยน์ตา ก่อนที่จะผงะด้วยความตกใจ

 

หยาดน้ำตาไหลพร่างพรูลงมาจากนัยน์ตาของเธออยู่จริงๆ

 

“นะ…นี่น่ะ แบบว่า”

 

ทำไมเธอถึงได้ร้องไห้กันล่ะ

 

เธอตกใจอธิบายอะไรไม่ถูก ได้แต่พูดตะกุกตะกัก เจ้าชายจึงเอ่ยพูดต่อ

 

“เวทนาข้า?”

 

อ่า ให้ตายเถอะ

 

ทำให้คำพูดแบบนั้นหลุดออกมาจากปากเด็กตัวเล็กๆ เสียได้

 

เธอตะโกนเสียงดังแก้เขิน

 

“เปล่า! ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย!”

 

“ไม่เป็นไร ทั้งท่านแม่ ทั้งแม่นมต่างก็บอกแบบนั้นเหมือนกัน ว่าข้าน่าสงสาร น่าเวทนา”

 

อยู่ต่อหน้าเด็กคนนี้แล้ว เธอเอาแต่พูดอะไรไม่ออกอยู่เรื่อย

 

แต่เฟเรสกลับแค่ยักไหล่ไม่ยี่หระ ราวกับเขาไม่ได้รู้ความหมายของคำว่า ‘น่าสงสาร’ เลยด้วยซ้ำ

 

“ถึงแม้ตอนนี้ทั้งคู่จะไม่อยู่ข้างกายข้าแล้วก็เถอะ”

 

“แม่นมล่ะ แม่นมก็ไม่อยู่เหรอ”

 

มารดาของเจ้าชายเสียชีวิตไปได้ไม่นาน แต่เธอนึกว่าจะมีใครสักคนเหลืออยู่ข้างกายเขาเสียอีก

 

เฟเรสส่ายศีรษะไปมา

 

“ถูกขับไล่ออกไปเมื่อไม่นานนี้น่ะแม่นมบอกว่าไม่อยากไป แต่พวกพลทหารก็ลากนางออกไป”

 

จักรพรรดินีอำมหิต

 

ไม่เหลือใครไว้ข้างกายเด็กที่เพิ่งจะอายุได้แค่สิบเอ็ดขวบเลยสักคน

 

แต่ก็นะ กับคนที่ตั้งใจจะฆ่าให้ตายอย่างช้าๆ ด้วยยาพิษ ย่อมไม่มีทางที่นางจะสนใจเรื่องพวกนั้นอยู่แล้ว

 

เธอกัดฟันกรอดเมื่อนึกถึงจักรพรรดินีขึ้นมา

 

ในตอนนั้นเองเจ้าชายลำดับที่สองก็เอ่ยพูดกับเธอ

 

“เพราะฉะนั้นเจ้าเองก็ไม่ช่วยข้าจะดีกว่า มันอาจจะทำให้เจ้าต้องตายไปด้วยก็ได้”