ตอนที่ 46 งูหลามเพลิง

แม่ครัวยอดเซียน

ตอนที่ 46 งูหลามเพลิง Ink Stone_Romance

“หลิงเอ๋อร์ คุณชายท่านนั้นรูปงามจริงๆ ทั้งยังมีความสามารถอย่างยิ่ง” หูเหม่ยอวี้พูดด้วยดวงตาหยาดเยิ้ม ทำไมมีเสน่ห์อะไรเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเขามีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหรือยัง

“พี่อวี้ คุณชายท่านนั้นไปแล้ว” สุ่ยหลิงเอ่อร์จับใจที่เต้นไม่เป็นส่ำของตนเอง หล่อมากจริงๆ อีกทั้งเขายังทำให้นางหลงใหลอีกด้วย

หลิวหลีย่อมไม่รู้ว่าตนเองได้หัวใจของสองดรุณีไปครอง นางอยากจะรีบหาสถานที่ดีๆใช้เข้าฌานสามเดือนให้ได้โดยเร็วเพื่อเข้านิพพาน ความรักลึกซึ้งระหว่างชายหญิงเป็นอย่างไรนั้น รอให้เสี่ยวเทียนกลับมาก่อนค่อยว่ากัน เพียงแต่ว่า…

“เอ๋าเลี่ย ทำไมข้ารู้สึกว่าหญิงสาวตรงนั้นคุ้นหน้าเสียจริง” หลิวหลีพูดถึงสุ่ยหลิงเอ๋อร์ หญิงสาวที่มาจากน้ำ

“เจ้าพูดเช่นนี้แปลว่า เด็กสาวคนนั้นมีคุณสมบัติร่างกายที่พิเศษเช่นกัน คุณสมบัติร่างกายที่เติมเต็มซึ่งกันและกันถึงได้ค่อนข้างมีแรงดึงดูดเข้าหากัน เด็กสาวผู้นั้นมีธาตุวารีถึง 8 ส่วน” เอ๋าเลี่ยเดา

หลิวหลีลูบขนไล้ที่อ่อนนุ่มของจื่อฉี จนเกือบจะถอนออกมาเส้นหนึ่ง เมื่อก่อนนางตั้งปณิธานไว้แน่วแน่ว่าจะไม่มีสายสัมพันธ์ความรักกับคนที่มีคุณสมบัติร่างกายเดียวกันแต่ตอนนี้กลับเกิดขึ้นเสียได้ หากไม่มีเสี่ยวเทียนล่ะก็นางอาจจะลองพิจารณาอีกฝ่าย แต่เมื่อมีเสี่ยวเทียนแล้วหญิงสาวเหล่านี้ก็ไร้ซึ่งเสน่ห์ใดๆ

“คุณสมบัติร่างกายเจ้าดึงดูดกันเพราะพลังบำเพ็ญเพียรของพวกเจ้าใกล้เคียงกัน ย่อมมีแรงกระตุ้นเช่นนี้ นังหนูเอ้ย ในเมื่อไม่ไหวเจ้าก็รับนางเอาไว้” เอ๋าเลี่ยกล่าวอย่างเจ้าเล่ห์

“อาเลี่ย มีอาหารจานหนึ่งที่เจ้าต้องไม่เคยกินแน่ งูต้มพริกโดยเฉพาะเจ้าตัวที่มีสี่ขา มีหงอนเล็กๆ บนหัว รสชติดีเยี่ยมทีเดียว อยากลองหรือไม่” หลิวหลีพูดจบ ก็ปรากฏเพลิงอัสนีครามขึ้นบนมือ เอ๋าเลี่ยที่มองดูพลันเหงื่อตก นังหนูคนนี้ดูเหมือนจะเอ่ยถึงเขา แค่ล้อเล่นเอง นังหนูนี่โหดร้ายเกินไปแล้ว

“นังหนู ข้ารู้สึกว่าเจ้าเด็กธาตุเหมันต์คนนั้นเหมาะกับเจ้ามากกว่า” ผู้ที่มองขาดก็คือเขา

หลิวหลีไม่พูดอะไรต่อ เพียงแต่เก็บเพลิงอัสนีครามเท่านั้น นางเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรเสียก็เป็นสีแดงกันหมด ไม่ได้มีอะไรน่าชม ไม่ช้าหลิวหลีก็เจอสถานที่ทั้งมิดชิด และเต็มไปด้วยพลังเซียนอัคคี จึงเริ่มฝึกบำเพ็ญ

หูเหม่ยอวี้และสุ่ยหลิงเอ๋อร์ตามหาอสูรภูตอัคคีไปทั่ว แต่ผลไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ ที่หาเจอก็ไม่ตรงตามความต้องการของหูเหม่ยอวี้ จึงห่อเหี่ยวกัน

“น้องหลิงเอ๋อร์ อสูรภูตอัคคีถูกจับไปหมดแล้วหรือ ทำไมถึงไม่เจอสักตัวเลยล่ะ” หูเหม่ยอวี้ถามอย่างอ่ยอย่างผิดหวัง

“พี่อวี้ คงเพราะโชคชะตายังไม่มาถึง หยกเหมันต์ของข้ายังใช้ได้อีกหนึ่งเดือน เมื่อครบกำหนดเวลาเราต้องไปจากที่นี่” สุ่ยหลิงเอ๋อร์กล่าว หยกเหมันต์คุณภาพต่ำเช่นนี้ใช้ได้ไม่ดีนัก

“ข้านึกถึงคนสารเลวที่ซื้อหยกเหมันต์ไป อย่าให้ข้าได้หยกมาเชียว” ทันทีที่หูเหม่ยอวี้นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็กัดฟันกรอด

หลิวหลีจามเสียงดัง ตั้งแต่ฝึกบำเพ็ญมา โรคภัยก็ไม่อาจกล้ำกรายนาง เหตุใดถึงจามได้นะ หรือจะมีคนนินทานาง? คนที่นางรู้จักก็ไม่ได้มาก ใครจะเกลียดชังนางจนก่นด่านางได้ ผลของการฝึกบำเพ็ญเพียรที่หมู่บ้านเพลิงอัคคีนั้นใช้ได้ทีเดียว  ก่อนนี้เคล็ดวิชามังกรนพเก้าที่อยู่บทที่ 3 และคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณก็ก้าวหน้าขึ้นมาเล็กน้อย  และยีงมีวี่แววจะบรรลุช่วงพลังบำเพ็ญด้วย ขาดก็เพียงแต่เพลิงวิญญาณไม้ นางก็จะสามารถเข้าสู่ช่วงอมตะได้แล้ว กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับกลาง หลิวหลีชันกายลุกขึ้น แล้วสลายค่ายกล แล้วแสร้งปัดฝุ่นบนร่างที่ไม่ได้มีแม้แต่น้อย

“เจ้าหนู ใช้ได้จริงๆ วันนี้มาเร็วกว่าที่คาด เจ้าวางแผนอย่างไร” เอ๋าเลี่ยย่อมมองพลังบำเพ็ญของนางออก น่าโมโหจริงๆ เพิ่งจะอายุ 21 ปีก็เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญช่วงอมตะเสียแล้ว

“ออกไปเดินรอบๆกัน ข้าอยากจะเริ่มสำรวจที่ถ้ำนี่ก่อน ที่แห่งนี้มีพลังเซียนอัคคีหนาแน่นที่สุด ไม่แน่ว่าจะมีอะไรที่พวกเราไม่รู้แน่” หลิวหลีเดินเข้าไปดูในถ้ำ

“ได้สินังหนู เจ้าปล่อยวิถีธาตุอัคคีออกมา อาจจะสามารถดึงดูดอะไรได้” เอ๋าเลี่ยเสนอความเห็น โดยไม่ลืมเรื่องวิญญาณเทพอัคคี

หลิวหลีปล่อยวิถีธาตุอัคคีออกไปราวระลอกคลื่น ยิ่งเดินเข้าไปด้านในลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งร้อนระอุ จนเหมือนจะเผาไหม้ หยกเหมันต์ยังไม่สามารถต้านทานความร้อนเหล่านี้ได้ หลิวหลีแขวนหยกเหมันต์เพิ่มอีกหลายชิ้น จนรู้สึกเย็นขึ้นในที่สุด การเหมาของมาในวันนั้นถือเป็นเรื่องฉลาดจริงๆ

หลิวหลีไม่รู้ว่าเดินมาไกลเท่าใด ถ้ำแห่งนี้ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่กลับทอดลึกอย่างคาดไม่ถึง เมื่อมองแสงไฟสีแดงตรงหน้า หลิวหลีจึงได้รู้ว่าเดินมาจนสุดทาง หินหนืดสีแดงฉานพวยพุ่งขึ้นก่อนจะไหลตกลงมา ดูแล้วช่างงดงาม ส่วนหินหนืดด้านล่างที่กำลังไหลไปมา บางครั้งคราวก็มีฟองหินหนืดกระเด็นออกมาแล้วเหมือนเผาไหม้กลายเป็นฝุ่นธุลี หลิวหลีปล่อยวิถีธาตุอัคคีออกมาไม่หยุด จนผ่านไปครู่หนึ่งก็มีลูกไฟเล็กๆกระเด็นออกมา มันพุ่งไปหาหลิวหลีอย่างเป็นสุข หลิวหลียินดีอย่างยิ่งทันที มีวิญญาณเทพอัคคีจริงด้วย ในวินาทีที่นางแตะวิญญาณเทพอัคคีนั้นเอง พลันมีสัตว์ขนาดยักษ์โผล่พรวดออกมา ส่งเสียงร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว  เอ๋าเลี่ยตื่นตระหนกก่อนจะสงบลงเมื่อพบว่าเป็นสัตว์จำพวกงู ที่นี่มีมือปราบอสรพิษ ต่อให้งูที่นี่ระดับสูงเท่าไหร่ก็ไม่คนามือนาง

“เอ๊ะ! งูหลามเพลิง” หลิวหลีตะโกนออกมาพร้อมกับสตรีนางหนึ่ง นางหันกลับก็พบว่าเป็นสองดรุณีที่พบพวกนางโดนปล้นโดยบังเอิญ พวกนางมาทำอะไรที่นี่

“พวกเจ้าหาที่ซ่อนดีๆ” หลิวหลีไม่มีเวลาพูดพร่ำทำเพลง งูหลามเพลิงก็เริ่มโจมตี ไม่ว่าเป็นใครก็ตามเมื่อต้องเห็นสมบัติที่เฝ้ามาหลายร้อยปีถูกคนขโมยไปต่อหน้าต่อตาจะไม่หัวเสียได้อย่างไร งูหลามเพลิงตัวนี้มีสายเลือดมังกรแดง รอโอกาสที่จะได้กลืนวิญญาณเทพอัคคี ใครจะรู้ว่าวิญญาณเทพอัคคีจะโดนมนุษย์ขโมยไป

งูหลามเพลิงพ่นไฟออกมาเป็นสาย หลิวหลีหลบหลีกอย่างสบายๆ  พวกสุ่ยหลิงเอ๋อร์ที่มองอยู่นั้น ความรู้สึกพลันก่อขึ้นในใจน้อยๆ คนผู้นี้ช่วยพวกนางถึงสองครั้งสองครา

“พี่อวี้ งูหลามเพลิงตัวนี้มีพลังเทียบเท่าผู้ฝึกบำเพ็ญช่วงปราณก่อนกำเนิด ผู้บำเพ็ญท่านนี้จะรับมือไหวหรือ” สุ่ยหลิงเอ๋อร์ถามอย่างเป็นกังวล

“ไม่รู้สิ ข้ารู้แค่ว่าหากเขาจบเห่พวกเราก็หนีไม่รอด” หูเหม่ยอวี้พูดอย่างหวาดกลัว

ในเวลานี้เอง จู่ๆหลิวหลีก็เข้าไปใกล้งูหลามเพลิง ชักดาบเล่มใหญ่ออกมา แทงไปที่งูเหลือมเพลิง พวกสุ่ยหลิงเอ๋อร์พลันรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่จู่ๆก็เห็นงูหลามเพลิงถอยออกห่างอย่างลนลาน ดาบนั้นของหลิวหลีแทงลงไปใกล้จุดตายของมัน

งูหลามเพลิงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด ทำไมมนุษย์ผู้นี้ถึงรู้จุดอ่อนของตนเอง  อีกนิดเดียวตนเองก็เกือบตาย อภัยให้ไม่ได้เสียแล้ว เอ๋าเลี่ยมองดูอย่างนึกสนุก เป็นมือปราบงูจริงด้วย ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ หนำซ้ำยังต้องมาเจ็บตัวเสียนี่ จุ๊ๆ ฟังเสียงคำรามแล้วคงจะโกรธขึ้นมาแล้ว เห็นหลิวหลีไม่โกรธไม่กลัว แถมยังหยิบยาเม็ดหนึ่งขึ้นมาบดแล้วสาดใส่งูหลามเพลิง เพียงชั่วครู่เดียวมันก็ตัวอ่อนยวบยาบลงไป

“หน้าที่หลักข้าคือผู้ปรุงยา” หลิวหลีพูดอย่างรวดเร็ว ยาที่ทำให้ตัวอ่อนยวบยาบเมื่อเห็นเลือดนี้เกิดจากความชาญฉลาดของนาง

แววตาของงูหลามเพลิงค่อยๆสงบลงช้าๆ ร่างกายทั้งหมดของมันนั้นถือเป็นสมบัติสำหรับผู้บำเพ็ญที่เป็นมนุษย์

“ข้าจะบอกอะไรให้ เจ้างูหลาม เจ้าทำให้ข้าหงุดหงิด แถมยังทำเรื่องน่ารำคาญตอแยข้าไม่เลิก” หลิวหลีเอ่ยพลางเหยียบส่วนหัวของงูหลาม

“นังหนู ก็เจ้าขโมยวิญญาณเทพอัคคีที่มันเฝ้ามา 300 ปีไป จะให้ปล่อยเจ้าไปเรอะ” เอ๋าเลี่ยย่อมเข้าใจว่างูหลามนั้นพูดอะไร

“นี่ เจ้าเฝ้ามา 300 ปีก็ยังสู้ความเย้ายวนข้าไม่ได้ งูหลามอย่างเจ้าก็ไม่เท่าไหร่นี่นา ช่างเถอะ เอ๋าเลี่ย เจ้าให้เลือดหนึ่งหยดกับมันเพื่อถือเป็นการชดเชยแล้วกัน” หลิวหลีตบหัวงูหลามพลางเอ่ย

“นังหนู เจ้าก็รู้ว่าเลือดของข้าสูงส่งเพียงใด ยังจะยกให้งูหลามระดับต่ำเช่นนี้” เอ๋าเลี่ยก็รู้สึกไม่ค่อยดีนัก

“เลือดเจ้าจะสู้ของสิ่งนั้นได้หรือไร” หลิวหลีเอ่ยซื่อๆ

“เอาไปสิ” เอ๋าเลี่ยคำราม ก่อนจะโยนขวดเล็กๆแก่งูหลามตัวนั้น ด้านในเป็นเลือดมังกรแดงบริสุทธิ์

“มองอะไร นี่เป็นของที่ข้าได้มาเมื่อตอนหนุ่มๆเป็นรางวัลที่ชนะเผ่ามังกรทั้งหมดได้” เอ๋าเลี่ยโดนหลิวหลีมองด้วยสายตาหงุดหงิด

“ที่แท้เจ้าก็เป็นมังกรจริงๆ” หลิวหลีเอ่ยอย่างมีนัยยะ

เอ๋าเลี่ยถึงกับพูดไม่ออก นังหนูคนนี้ไม่เคยเชื่อว่าเขาเป็นเผ่ามังกรเลยหรือ

“เจ้าไปเถอะ ค่าชดเชยของข้าคงพอใช้แล้วกระมัง ครั้งหน้าอาจจะไม่เจอคนใจดีเช่นข้า” หลิวหลีพูดพลางโบกมือให้งูหลามเพลิง

งูเหลือมเพลิงกลืนขวดหยกลงคอ ส่ายหัวเหมือนไม่อยากไป

“เจ้าไม่อยากไปก็ไม่ทำอะไรไม่ได้ เจ้าเองก็เห็นว่าข้ามีคู่พันธสัญญาแล้ว เจ้าติดตามข้าไม่ได้” นางไม่ชอบงูหลามเพลิงอย่างยิ่ง ถ้ามีประโยชน์อะไรขึ้นมาจริงๆ ตัวเขื่องขนาดนี้ นางเองก็กำลังขาดแคลนหินวิญญาณมากเหมือนกันเข้าใจไหม

เหมือนงูหลามเพลิงจะมองความรังเกียจของหลิวหลีออก คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ขยับร่างกายเปลี่ยนร่างเป็นงูเพลิงสีแดงตัวจิ๋วล้อมรอบข้อมือหลิวหลี เป็นประหนึ่งกำไลหินสีแดง เห็นท่าทางเหมือนจองแบบนี้แล้ว หลิวหลีก็พูดอะไรไม่ออก ก่อนจะเตรียมออกไป

“คุณหนูทั้งสองท่าน ท่านจะไม่ออกไปหรือ?” หลิวหลีเอ่ยอย่างมีน้ำใจกับหญิงสาวทั้งสองที่กำลังตะลึงค้างอยู่ ก็เหม่อลอยเช่นนี้มิน่าล่ะถึงตกเป็นเป้า

“ขอบคุณ จริงสิ ข้าหูเหม่ยอวี้ นี่น้องสาวของข้าสุ่ยหลิงเอ๋อร์ ขอบคุณบุญคุณช่วยชีวิตของคุณชาย” หูเหม่ยอวี้รับคำอย่างรวดเร็ว

“หลิวหลี” หลิวหลีเอ่ยพลางพยักหน้า

“หลิวหลี เป็นชื่อที่ดีใช้ได้เลย ทำไมถึงชื่อเหมือนสตรีล่ะ” หูเหม่ยอวี้กัดฟันพลางเอ่ย

“ก็ข้าเป็นผู้หญิง” หลิวหลีเอ่ยรับอย่างเปิดเผย

หูเหม่ยอวี้และสุ่ยหลิงเอ๋อร์รู้สึกตกใจอย่างมาก พลังบำเพ็ญเพียรก็เทียบไม่ได้ รูปลักษณ์ก็เทียบไม่ได้ ส่วนรูปร่างนั้น ทั้งสองมองเห็นหน้าอกแบนราบ จึงยืดอกตนเองขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาติ จำเป็นต้องพูดเลยว่า นี่เป็นเรื่องทิ่มแทงซูหลีเข้าจังๆ