เหลิ่งรั่วปิงยิ้มอย่างสง่างาม เธอดึงมือหนานกงเยี่ยมาวางไว้ที่หัวใจของตนเอง “คุณหนานกง จริงๆ แล้วใจของฉันไม่ได้เย็นชาตลอดไป ฉันก็มีใจที่ขี้สงสารคนอื่นอยู่เหมือนกัน”
“คุณต้องการจะพูดอะไร” มือใหญ่ๆ ของเขาวางอยู่ตรงจุดที่นุ่มนวลของร่างกายเธอ แต่หนานกงเยี่ยกลับไม่ได้คิดลามก เพราะว่าเขารู้ว่าคำพูดของเธอนั้นมีความหมายโดยนัยแอบแฝง
“ฉันอยากจะไปเจอผู้หญิงที่เจอเมื่อคืน เพราะว่าฉันรู้สึกว่าเธอเหมือนฉันคนก่อน ถ้าคุณอนุญาต ฉันอยากจะเป็นเพื่อนกับเธอ” เหลิ่งรั่วปิงพยายามแสดงความจริงใจของตัวเองออกมา “คุณหนานกง สิ่งที่ฉันขอกับคุณ คุณจะสงสัยไหมคะว่าฉันมีแผนการอะไรหรือเปล่า”
หนานกงเยี่ยไม่ได้พูดอะไร ทว่ากลับจ้องมองดูใบหน้าของเหลิ่งรั่วปิงเป็นเวลานาน ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงสีหน้าแต่อย่างใด ทำให้เดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เหลิ่งรั่วปิงไม่เคยเดาความคิดของเขาได้ สีหน้าของเขาบดบังอารมณ์ได้ดีเกินไป ดังนั้นเธอทำได้เพียงลองเดิมพันดูก็เท่านั้น
จริงๆ แล้วหนานกงเยี่ยก็มีปัญหาเดียวกันกับเธอ เขาก็ไม่เคยเดาความคิดของเหลิ่งรั่วปิงออกเหมือนกัน เธอเปลี่ยนแปลงไปมาหลายอย่าง จนเขาจับต้องไม่ถูกว่าแบบไหนกันแน่ที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอ
ผ่านไปสักพัก เขาก็คลายยิ้มอ่อนๆ แล้วพูดขึ้น “ผมไม่เคยห้ามคุณไปมีเพื่อน นั่นเป็นอิสรภาพของคุณ” คำพูดของเขาเท่ากับว่าเขาได้อนุญาตในคำขอของเหลิ่งรั่วปิง
“ขอบคุณค่ะ คุณหนานกง” เหลิ่งรั่วปิงยิ้มอย่างร่าเริง เธอคิดถึงเวินอี๋ คิดถึงมากๆ บนโลกใบนี้ เวินอี๋กับเวินจี๋ไห่เป็นญาติที่หลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ของเธอเท่านั้น
“ต้องขอบคุณผมยังไง” หนานกงเยี่ยทำสีหน้าที่ยิ่งอยู่ยิ่งหื่นกราม
เหลิ่งรั่วปิงสัมผัสได้ว่าเธอกำลังได้รับอันตราย ทันใดนั้นเธอจึงพูดขึ้นด้วยความคับแค้นใจ “คุณหนานกง ถึงแม้ฉันจะมีหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้คุณ แต่ว่าคุณก็ควรที่จะให้ฉันมีวันหยุดบ้าง” ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อคืน จนตอนนี้เธอยังรู้สึกเจ็บอยู่เลย เธอไม่อยากจะทำอีกรอบจริงๆ
“เหอะๆๆ…” หนานกงเยี่ยหัวเราะด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย คุณพูดแบบนี้ คุณเห็นว่าผมเป็นพวกโรคจิตหรือไง”
“…” เหลิ่งรั่วปิงเม้มปากแล้วไม่กล้าพูดอะไรต่อ กลัวว่าถ้าพูดมากก็จะผิดมาก การที่คบหากับผู้ชายคนนี้ ภายใต้นัยน์ตาที่เหมือนเหยี่ยวกำลังล่าเหยื่อ เธอควรจะพูดให้น้อยหน่อยถึงจะดีกว่า
หนานกงเยี่ยกระตุกมุมปากและยิ้มอ่อนๆ จากนั้นก็ไม่ได้แกล้งเธออีก เขาล้มตัวนอนลงบนพรมขนฟูที่อยู่ด้านหลัง พร้อมกับพูดขึ้นอย่างขี้เกียจ “ผมเหนื่อยแล้ว อยากนอนสักพัก คุณช่วยไปเตรียมของใช้ในห้องน้ำให้ผมหน่อยสิ”
“อ่อ” เหลิ่งรั่วปิงผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และไปช่วยเขาเปิดน้ำลงอ่าง แล้วเตรียมชุดนอนให้เขา
หลังจากที่เตรียมทุกอย่างเสร็จและกลับมาอีกครั้ง ก็สังเกตเห็นว่าหนานกงเยี่ยหลับไปแล้ว ถึงแม้ว่าพรมจะหนามาก แต่ตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาว ถ้านอนบนพื้นก็ยังรู้สึกเย็นอยู่ดี หนานกงเยี่ยใส่แค่เสื้อเชิ้ตสีดำตัวบางเท่านั้น
เหลิ่งรั่วปิงลังเลไปสักพัก สุดท้ายก็ขึ้นหน้าแล้วปลุกเขาตื่น “คุณหนานกง น้ำในอ่างเต็มแล้ว คุณไปอาบน้ำเถอะ”
หนานกงเยี่ยนค่อยๆ ลืมตาขึ้น จากนั้นก็มองเหลิ่งรั่วปิง พร้อมกับกำลังครุ่นคิดว่าเขาควรจะปฏิบัติตัวยังไงกับเธอดี
สุดท้าย เขาก็ไม่ได้คำตอบ
เธอทำให้เขาจับต้องไม่ถูก และจับต้องไม่ได้ แต่ในเวลาเดียวกันกลับทำให้เขาไม่อยากปล่อยมือ ต่อให้ในใจของเขาจะรู้สึกสงสัย และรู้ดีว่ามีความเป็นไปได้ที่เธอจะเป็นอันตรายกับตนเอง ทว่ากลับไม่อยากผลักไสเธอให้ไกลห่างจากตนเอง
เธอเหมือนปริศนาคำทาย ที่เขาพยายามจะหาคำตอบ
“คุณหนานกง รีบไปอาบน้ำเถิดค่ะ บนพื้นเย็นมาก” เหลิ่งรั่งปิงพูดเร่งเขาอีกครั้ง เธอกลัวว่าถ้าเขายังจ้องเธออยู่อย่างนี้ อาจจะทำให้เขาเกิดอารมณ์ขึ้นมาอีกก็ได้
หนานกงเยี่ยคลายยิ้มอ่อนๆ แล้วลุกขึ้นไปห้องน้ำ จากนั้นก็แช่ตัวลงไปในน้ำอุ่น เขาหลับตาและเริ่มครุ่นคิดอีกครั้ง เขาควรที่จะฟังคำเตือนของมู่เฉิงซีหรือไม่ ควรที่จะตัดไฟแต่ต้นลม ต่อให้เขาไม่สามารถทำใจฆ่าเธอได้ แต่เขาก็ต้องทิ้งเธอไป
ตอนนี้เขาถูกเธอกระตุ้นอารมณ์ให้แปรปรวนไปไม่น้อย และทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเกินขอบเขตของเขาไปแล้ว