ตอนที่ 52 กลั่นแกล้ง

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

“พานหมิ่งเย่ว์!” ฉินหร่านสาวเท้าเข้าไป 

 

 

“แต่พานหมิงเย่ว์ไม่สนใจแล้วมองตรงไปยังหนิงฉิง “แต่คุณป้าคะ ฉินหร่านไม่ได้ทำอะไรผิด เธอแค่ช่วยหนูสั่งสอนไอ้สวะพวกนั้น เธอไมได้ทำอะไรผิด และก็ไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไรทั้งนั้น” 

 

 

พานหมิงเย่ว์จ้องสวี่เฉิงอยู่นาน ในครั้งนี้ดวงตาสีเข้มเผยออกมาอย่างชัดเจนและสงบนิ่ง 

 

 

พ่อแม่ของวัยรุ่นเหล่านั้นชะงักและรีบตอบโต้ทันที 

 

 

“ไร้สาระจริงๆ นางเด็กหน้าไม่อาย!” 

 

 

ย่าสวี่อยากจะรีบวิ่งไปฉีกปากพานหมิงเย่ว์ออกจากหน้าของเธอ “เธอหมายความว่ายังไง หลายชายของฉันไม่ได้เป็นแบบนั้น” 

 

 

“นี่เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดจากสี่แยกตรงร้านหนังสือ และเขามีประวัติอาชญากรรมจากเมืองหนิงไห่เมื่อสามปีที่แล้ว” พานหมิงเย่ว์เมินพวกเขา แล้วหันไปมองตำรวจก่อนพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง “คุณลองไปสืบสวนหาความจริงดูก็ได้ ฉันดีใจจริงๆ ที่ครั้งนี้คุณตัดสินใจให้มันเป็นข่าว แต่คุณยังไม่ได้บอกฉันเลยว่า มันเป็นคดีอะไร” 

 

 

เธอพูดอย่างนิ่งสงบด้วยลำตัวเชิดตรง 

 

 

เจ้าหน้าที่หลี่เกือบทำบุหรี่ในมือไหม้ตัวเอง 

 

 

เขามองพานหมิงเย่ว์ด้วยความตกตะลึงก่อนจะพูดอย่างช้าๆ “ถ้าโทษสถานเบาก็ไม่กี่เดือน ถ้าสถานหนักก็อย่างน้อยสามถึงห้าปี” 

 

 

ด้วยเหตุผลบางอย่าง พ่อแม่หลายคนเริ่มตะโกนโวยวายอย่างเกรี้ยวกราด และอยู่ๆ ย่าสวี่ก็พูดไม่ออก 

 

 

ตำรวจนายหนึ่งที่ถือสมุดบันทึกก็จดบันทึกเหตุการณ์ลงไปพร้อมเฝ้าดูย่าสวี่และคนอื่นๆ สายตาของเขาเปลี่ยนไปและเขาก็ขมวดคิ้ว 

 

 

ย่าสวี่และคนอื่นๆ ยืนนิ่งเหมือนรากงอก ใบหน้าพวกเขาซีดเซียวและดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย 

 

 

คำพูดของเจ้าหน้าที่หลี่ทำให้พวกเขาร้อนรน 

 

 

การแต่งกายของหลินจิ่นเซวียนนั้นดูไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าครอบครัวของเขาร่ำรวย 

 

 

พวกเขาต้องการให้เรื่องนี้เป็นข่าวเพื่อที่จะได้ค่าชดเชยให้ลูกชายของเขามากขึ้น 

 

 

แต่หลังจากได้ยินคำพูดของพานหมิงเย่ว์ พวกเขาก็มองหน้ากันและกันและเริ่มกลัวขึ้นมานิดๆ เด็กสาวเป็นผู้ถูกกระทำ และตามที่ตำรวจได้พูดเอาไว้ ลูกชายของพวกเขาต้องเข้าคุกและต้องถูกบันทึกประวัติอาชญากรรม 

 

 

ในที่สุดหลินจิ่นเซวียนที่จ้องมองพวกเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ก็ได้สติ 

 

 

เขามีความรวดเร็วเสมอในการรับมือกับความสัมพันธ์ของผู้คนและสิ่งต่างๆ หลายๆ อย่าง ดังนั้นเขาจึงตอบสนองได้เร็วกว่าหนิงฉิงและฉินอวี่” 

 

 

“คุณตำรวจ ส่งคนไปตรวจสอบและขอดูกล้องวงจรปิดก่อนสิ อ้อ แล้วก็คดีที่หนิงไห่ก็ต้องมีการสืบสวนต่อด้วยเช่นกัน” เขากล่าวในขณะที่เดินไปสองก้าวแล้วก้มหัวมองฉินหร่าน 

 

 

เธอแตะไปที่เลือดบนริมฝีปากของเธอ ริมฝีปากเธอเม้มแน่นและดูเธอเย็นชาเล็กน้อย แต่คิ้วขมวดของเธอนั้นดูแล้วหงุดหงิดไม่น้อย 

 

 

เธอล้วงมือของเธอไว้ในกระเป๋า และปอยผมที่ปรกหน้าของเธอทำให้ไม่เห็นสีหน้าของเธอ แต่ดูเหมือนว่าหน้าของเธอกำลังซีด 

 

 

“เธอเป็นอะไรไหม” หลินจิ่นเซวียนถามด้วยโทนเสียงต่ำ น้ำเสียงสุภาพ 

 

 

เขาเพิ่งรู้ว่าฉินหร่านสู้กับเด็กผู้ชายเป็นโหลเพียงลำพัง 

 

 

ปกติแล้วเด็กผู้หญิงย่อมมีกำลังกายน้อยกว่าเด็กผู้ชาย 

 

 

“ไม่” ฉินหร่านนิ่งไปครู่หนึ่งหลังได้ยินเสียงของหลินจิ่นเซวียน เธอหันไปทางอื่นแล้วส่ายหัว เอนตัวเข้าหาผนังด้วยขนตาที่ทิ่มลง 

 

 

อารมณ์เธอไม่ดีเอาเสียเลย 

 

 

เหมือนถังน้ำมันที่เอาคบไฟจุดติดมันขึ้นมา 

 

 

ในอีกด้าน หนิงฉินและฉินอวี่ก็ตอบสนองในที่สุด 

 

 

หลังจากที่หลินจิ่นเซวียนอธิบายกับตำรวจและถามฉินหร่านอีกครั้ง เขาก็ส่ายสายตามองหนิงฉิงกับฉินอวี่ เขาเม้มปาก “คุณป้า ผมคิดว่าคุณป้าควรเมตตาและเชื่อใจลูก มันไม่ถูกต้องที่จะฟังความจากพวกคนนอกข้างเดียวเท่านั้น คุณป้าไม่คิดงั้นเหรอ” 

 

 

ฉินอวี่ที่อยู่ข้างๆ หนิงฉิงฟังเขาพูดและกำมือแน่นจนเล็บจิกลงไปในฝ่ามือ 

 

 

ใครจะรู้ว่าสถานการณ์จะกลายมาเป็นแบบนี้ 

 

 

พวกพ่อแม่ไม่ได้พูดอะไรอีกและตำรวจก็เริ่มสอบถามเรื่องบันทึกนั่นใหม่อีกครั้ง พวกเขาไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดพร้อมกับหลินจิ่นเซวียน 

 

 

มันดึกมากแล้ว หลินจิ่นเซวียนก็เลยช่วยให้ฉินหร่านและพานหมิงเย่ว์ผ่านขั้นตอนต่างๆ และทั้งคู่ก็ถูกปล่อยตัวอย่างรวดเร็ว 

 

 

ย่าสวี่ที่เกรี้ยวกราดก็ถึงกับพูดไม่ออกแล้วตอนนี้ เธอยืนอยู่ตรงนั้นจ้องมองไปยังประตู ลึกเข้าไปในห้วงความคิดของเธอ 

 

 

** 

 

 

รองอธิบดีเสิ่นรับสายโทรศัพท์ แล้วก็รีบออกไป 

 

 

พ่อของสวี่เซิ่นรีบมาที่โรงพยาบาลเพื่อหาเขา เขาเลยไม่ได้อยู่ที่นั่น 

 

 

“รองอธิบดีเสิ่น” ตำรวจที่กำลังจดบันทึกก็ยืนขึ้นทักทายเขา 

 

 

จิตวิญญาณที่เฉื่อยชาของย่าสวี่ก็ตื่นขึ้นโดยทันทีหลังจากได้เห็นรองอธิบดีเสิ่น เธอก้าวเขาไปสองก้าวแล้วพูดขึ้น “รองอธิบดีเสิ่น คุณมาได้ถูกเวลาพอดี คนพวกนี้ทำร้ายหลานชายของฉันและฉันไม่ยอมแน่!” 

 

 

“คุณย่า นั่งลงก่อน เดี๋ยวผมจัดการให้” รองอธิบดีเสิ่นช่วยตามที่เธอขอ 

 

 

“ฉันรู้สึกมั่นใจเมื่อคุณมาที่นี่ พวกเขาพยายามข่มขู่ฉันและฉันทนไม่ไหวแล้ว” ย่าสวี่จงใจไม่พูดถึงข้อมูลของพานหมิงเย่ว์และมุ่งความสนใจไปยังฉินหร่านที่ทำร้ายพวกเขาจนบาดเจ็บ 

 

 

“ผมเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากผู้อาวุโสสวี ตอนนี้หลานชายคุณพิการ ดังนั้นผมจะสืบหาความจริงมาให้คุณอย่างแน่นอน” ท่าทีของรองอธิบดีเสิ่นชัดเจน 

 

 

“รองอธิบดีเสิ่น สวี่เซิ่นเป็นคนที่พยายามใช้กำลังในเหตุการณ์นี้” หลินจิ่นเซวียนมองรองอธิบดีเสิ่นแล้วพูดอย่างนิ่งๆ คิ้วเขาขมวด 

 

 

รองอธิบดีเสิ่นเอียงคอแล้วแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นหลินจิ่นเซวียน “อ้าว เป็นอาจารย์หลินเองเหรอเนี่ย ผมรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว พวกเด็กๆ ทะเลาะกัน อีกฝ่ายก็สามารถป้องกันตัวได้ แต่ตอนนี้สวี่เซิ่นเป็นคนเดียวที่ยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล” 

 

 

“คุณทำอะไรน่ะ” เมื่อเห็นรายชื่อในมือของตำรวจ รองอธิบดีเสิ่นก็หน้าบึ้ง “เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการตรวจสอบทั้งหมดเลย ทำไมคุณถึงปล่อยพวกเขาไป ไว้รอจนกว่าสวี่เซิ่นฟื้นขึ้นมาให้การรับสารภาพพรุ่งนี้” 

 

 

“รองอธิบดีเสิ่น คุณหมายความว่ายังไง” หลินจิ่นเซวียนยิ้มเล็กน้อย 

 

 

“ยังมีหลักฐานบางส่วนที่ยังมาไม่ถึง เราต้องให้ความยุติธรรม คุณไม่เห็นด้วยเหรอ” รองอธิบดีเสิ่นแสดงออกถึงความหนักแน่นของเขา 

 

 

เขาแสดงออกถึงความเป็นกลางและมีเหตุผล ดังนั้นเขาจึงไม่อาจทำพลาดให้เห็นได้แม้แต่นิดเดียว 

 

 

เขาสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ก่อนที่จะพูดคุยเป็นการส่วนตัวในวันพรุ่งนี้ 

 

 

ผู้คนบนสถานีตำรวจล้วนเคารพรองอธิบดีเสิ่น ถึงแม้พวกเขาจะติติงการกระทำของย่าสวี่ แต่พวกเขาก็เคารพและฟังคำสั่งของเขา 

 

 

“จิ่นเซวียน นั่นใครน่ะ” หนิงฉิงมองมาที่หลินจิ่นเซวียนด้วยความวิตก 

 

 

“นี่คือรองอธิบดีเสิ่นที่อวิ๋นเฉิง” หลินจิ่นเซวียนหน้ามุ่ย “ตระกูลหลินไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเขา ผมจะลองถามป้าถ้าเธอรู้จักใครในกองความมั่นคงสาธารณะ 

 

 

ส่วนใหญ่ตระกูลหลินจะทำงานในแวดวงอุตสาหกรรมและไม่เคยมีความสัมพันธ์กับทางตำรวจเลย 

 

 

ถึงแม้ฉินหร่านจะมีเจตนาดี แต่ถ้าพวกเขายังไม่ได้รับหมายปล่อยตัวก็ยากที่จะพาเธอกลับไปในคืนนี้ 

 

 

“พาคนพวกนั้นมาพบผมก่อน” รองอธิบดีเสิ่นต้องการจับตาดูฉินหร่านและวัยรุ่นคนอื่นๆ  

 

 

“รองอธิบดีเสิ่นเหรอ” หนิงฉิงระมัดระวังตัวมาตลอดเพราะปัญหาครอบครัวของเธอ เมื่อเธอแต่งงานเข้าสู่ตระกูลหลิน เธอรู้ได้ทันทีว่าโลกนี้มันกว้างใหญ่เพียงใด 

 

 

ขณะนั้นเมื่อเธอรู้ว่าเขาเป็นรองอธิบดี เธอก็เริ่มวิตกกังวล เธอเป็นเพียงประชาชนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ผู้มีอำนาจแบบนั้นสามารถชี้เป็นชี้ตายให้เธอได้เลย 

 

 

เธอไม่ต้องการให้ตระกูลหลินบาดหมางกับรองอธิบดีเสิ่นเพราะฉินหร่าน 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่หลินจิ่นเซวียนเองก็รู้สึกว่าการที่มีรองอธิบดีเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้การจัดการเรื่องต่างๆ ยากขึ้น 

 

 

“งั้นก็กลับกันก่อนเถอะ…” หนิงฉิงยื่นมือไปดึงตัวหลินจิ่นเซวียนด้วยความกังวล 

 

 

หลินจิ่นเซวียนเป็นห่วงที่ฉินหร่านต้องอยู่ที่สถานีตำรวจเพียงลำพัง 

 

 

“ฉันจะกลับไปหาพ่อและคุณอาก่อน” หลินจิ่นเซวียนมองฉินหร่าน แล้วนิ่งไปสักพักก่อนพูดให้ความมั่นใจเธอ “เธอสบายใจได้…” 

 

 

ก๊อกๆ 

 

 

เสียงใครสักคนเคาะวงกบประตูสองครั้ง 

 

 

 

 

 

——