ตอนที่ 53 ไม่มีใครกล้าอวดดีต่อหน้าคุณชายเฉิง

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เสียงเคาะดังขึ้นโดยไม่คาดคิด 

 

 

ทุกคนมองไปตามเสียงนั้นโดยไม่รู้ตัว 

 

 

ย่าสวี่นั่งถือแก้วน้ำชาอยู่บนเก้าอี้ 

 

 

พอเธอมีคนหนุนหลัง เธอก็รู้สึกผ่อนคลายจึงเลิกคิ้วขึ้นมองฉินหร่านและคนอื่นที่เหลือ เมื่อเธอได้ยินเสียงนั้น เธอจึงหันหน้าไปเช่นกัน 

 

 

แวบแรกเธอเห็นนายตำรวจหนุ่ม 

 

 

“ขอโทษครับ ใครคือคุณฉินหร่าน” เจ้าหน้าที่ตำรวจมองคนกลุ่มนี้ ในที่สุดสายตาก็จับจ้อดงไปที่หญิงสาวที่สวมเครื่องแบบของโรงเรียนอีจง 

 

 

หญิงสาวเบือนหน้าหนี แต่ก็ยังเห็นโครงหน้าที่สวยงามของเธอ 

 

 

ผิวเธอขาวจัด เธอสวมชุดนักเรียนถูกต้องตามระเบียบ มันเผยให้เห็นรอยเลือดจางๆ สองสามหยดที่อยู่ด้านในเสื้อเชิ้ตสีขาว 

 

 

ถึงจะมีคนจำนวนมากในกลุ่ม แต่หญิงสาวคนนี้กลับสะดุดตาที่สุด ดังนั้นสายตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอโดยไม่รู้ตัว 

 

 

จนกระทั่งหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองซึ่งเป็นการมองด้วยความสงสัยจึงทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้ว่าเธอคือฉินหร่าน 

 

 

“คุณฉิน อธิบดีเจียงเชิญคุณไปที่ห้องรับรองครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจก้มหัวเล็กน้อย “โปรดตามผมมาครับ” 

 

 

ฉินหร่านชะงัก มือข้างหนึ่งยังล้วงกระเป๋าอยู่ เธอเอียงหัวเล็กน้อยและหรี่ตาลงด้วยความสงสัยว่าใครอยากเจอเธอ 

 

 

ในบรรดาคนที่เธอรู้จัก…ก็ไม่มีใครแซ่เจียงนี่นา 

 

 

หลินจิ่นเซวียนมองเธออย่างสงสัย ฉินหร่านเชิดหน้าขึ้นและพูดอย่างเป็นกันเอง “ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปเจอสักหน่อย” 

 

 

เธอเดินออกนอกประตูไป 

 

 

เจียงหุยเคย ‘ถูกเนรเทศ’ ออกจากเมืองหลวง หากอยู่ในสมัยโบราณเขาก็เหมาะกับตำแหน่งทูตของจักรพรรดิที่เทียบเท่ากับทูตพิเศษ 

 

 

เขาเป็นตัวแทนโดยตรงของคณาธิปไตยสูงสุด 

 

 

รองอธิบดีเสิ่นรู้จักเขาอย่างแน่นอน แต่เขาไม่รู้ว่า ‘อธิบดีเจียง’ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดถึงเป็นคนเดียวกันกับเจียงหุยที่เขารู้จัก 

 

 

เขามองฉินหร่านเดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจผ่านหน้าเขาไปเพื่อไปยังห้องรับรอง 

 

 

รองอธิบดีเสิ่นประหลาดใจมาก เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากมองฉินหร่านเดินไป เขาถามเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยความสุภาพ “อธิบดีเจียงคนนี้…” 

 

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจมองเขาแต่ไม่พูดอะไรและเดินจากไป 

 

 

** 

 

 

ภายในห้องรับรอง 

 

 

เจียงหุยอายุเกือบสี่สิบปีแต่เขาดูแลตัวเองอย่างดีจึงทำให้เขาดูเหมือนอยู่ในวัยสามสิบต้นๆ 

 

 

เวลาทำอะไรเขาไม่ได้เลย 

 

 

เขานั่งบนเก้าอี้และเอื้อมมือไปรินชาสองแก้ว เขามองร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ตรงประตูแล้วหัวเราะเบาๆ “มานั่งดื่มชาก่อนสิ ผมส่งคนไปสืบอยู่ คุณกังวลเกินไปจนผมคิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น” 

 

 

ธุระของเฉิงเจวี้ยนจะล่าช้าไม่ได้ 

 

 

ใครจะไปรู้ว่าการรีบมาที่นี่แล้วมันจะกลายเป็นเรื่องทะเลาะวิวาทของนักเรียนมัธยม 

 

 

เฉิงมู่นั่งเฉยและพยักหน้าอย่างบ้าคลั่งภายในใจ 

 

 

มันจริงเหรอ เรื่องนี้สามารถยุติได้ด้วยการคุยโทรศัพท์แต่เขาต้องพาเจียงหุยมาที่นี่ มีอีกกี่เรื่องที่ล่าช้าเพราะเหตุนี้ 

 

 

ในสมัยโบราณครอบครัวคุณปู่เจวี้ยนก็เป็นเพียงผู้ปกครองที่ไร้ความสามารถ 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งแตะที่ต่างหูของเขาและเอียงหัว “ลุงเจียง เธอยังไม่มาอีกเหรอ” 

 

 

“จะรีบอะไรขนาดนั้น” ตอนนี้เจียงหุยสงสัย สาวน้อยแบบไหนกันที่ทำให้ทั้งคู่เป็นห่วงได้ขนาดนี้ 

 

 

พวกเขาทั้งคู่มองออกไปนอกหน้าต่าง 

 

 

เจียงหุยหยิบแก้วน้ำชาขึ้นมาและพูดอย่างใจเย็น “ดูสิ เธอยังมาไม่ถึงอีกเหรอ” 

 

 

หลังจากนั้นสายตาของเขาก็ไม่มองไปที่ไหนอีก 

 

 

สีหน้าของเฉิงเจวี้ยนไม่ใส่ใจ ดวงตาสีดอกท้อคู่นั้นของเขาเหล่ไปครึ่งหนึ่ง ร่างสูงโปร่งของเขากอดอกพิงประตูอย่างเกียจคร้าน 

 

 

ร่างที่คุ้นเคยปรากฏขึ้น 

 

 

เฉิงเจวี้ยนยืดตัวตรงโดยไม่รู้ตัว เขาสบตากับเธอ 

 

 

หญิงสาวตัวเล็กๆ เดินตามหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยก้มหัวของเธอเล็กน้อย เธอเดินช้าๆ ชุดนักเรียนของเธอดูหลวมทำให้เธอดูผอมและอ่อนแอ 

 

 

เสื้อแจ็กเกตของเธอเผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวของเธอด้านใน 

 

 

มีคราบเลือดอยู่ 

 

 

เฉิงเจวี้ยนไวต่อประสาทสัมผัสทั้งห้ามาก ก่อนที่เธอจะเข้ามาเขาได้กลิ่นคาวเลือดที่รุนแรง 

 

 

เขายืนพิงประตูมองเธอสักครู่แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “มือขวา” 

 

 

ทันทีที่ฉินหร่านมองขึ้นไปก็เห็นเฉิงเจวี้ยนยืนอยู่ที่ประตูและกำลังมองเธออยู่ 

 

 

เธอเม้มริมฝีปากและชำเลืองมองเขา จากนั้นค่อยๆ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า 

 

 

หลังจากโต้ตอบกับผู้คนมากมาย ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามือของเธอมีอะไรผิดปกติเลย 

 

 

.ลู่จ้าวอิ่งเห็นว่าฉินหร่านอยู่ที่นี่ก็โล่งอก แต่วินาทีต่อมาเขาก็เห็นมือของฉินหร่านออกมาจากกระเป๋า 

 

 

มือของหญิงสาวบอบบาง เล็บของเธอสะอาดและเปียกชุ่ม 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเคยบอกกับเฉิงเจวี้ยนมากกว่าหนึ่งครั้งแล้วว่านี่เป็นมือของนักเปียโน 

 

 

มือเปื้อนเลือดสีแดงสด 

 

 

มีบางส่วนแห้งแล้วแต่ส่วนอื่นๆ ยังมีเลือดไหลอยู่ 

 

 

เฉิงเจวี้ยนก้มลงใช้มือคลี่นิ้วของออกเธอเบาๆ บาดแผลทั้งสองรอยพาดผ่านฝ่ามือของเธอ บาดแผลไม่กว้างมากแต่ก็ยังมีเลือดไหลออกมา 

 

 

เฉิงเจวี้ยนเป็นหมอเขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่าแผลลึกแค่ไหน 

 

 

เขามองไปที่มือชั่วครู่แววตาตาของเขาก็หม่นลง “เฉิงมู่ ไปเอารถมาที” 

 

 

บาดแผลดูแย่มาก เฉิงมู่เหลือบมอง ใบหน้าไม่ของเขาไม่ใส่ใจ แต่ริมฝีปากของเขากลับเม้มโดยไม่ได้ตั้งใจ 

 

 

เขาขึ้นรถไปอย่างเงียบๆ 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งได้สติและจ้องไปที่บาดแผลอันน่าตกใจนั้น เขายืนขึ้นทันที “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” 

 

 

เจียงหุยอยู่กับเขาสองคนมาตั้งนาน หลายปีมานี้เขาไม่เคยเห็นเฉิงเจวี้ยนโกรธขนาดนี้มาก่อน เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองไปตรงๆ 

 

 

เขานั่งตัวตรงโดยไม่รู้ตัวและมองไปที่อธิบดีที่นั่งด้านโต๊ะที่มีแก้วน้ำชาอยู่ 

 

 

เสียงบี๊บดังขึ้น 

 

 

ทันทีที่อธิบดีกลับบ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็โทรหาเขาทันที 

 

 

อธิบดีเจียงกำลังมาตรวจดูที่สำนักงานของพวกเขา! 

 

 

เขาไม่รู้จักเฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่งแต่รู้จักเจียงหุย เมื่อเห็นความสุภาพของเจียงหุยที่มีต่อเฉิงเจวี้ยนเขาวางแก้วน้ำชาลงอย่างใจหายใจคว่ำ 

 

 

“เป็นอะไรไป พวกคุณไปลงโทษด้วยตัวเองยังไง!” เขาเอียงหัวและถามเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที 

 

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งคำรับสารภาพให้เจียงหุยพร้อมกับเล่าเหตุการณ์อีกครั้ง 

 

 

ในห้องรับรองเงียบมาก นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก เสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจค่อยๆ เบาลง 

 

 

เฉิงมู่ไม่ได้กลับไปที่รถ ลู่จ้าวอิ่งคุ้นเคยกับการใช้อำนาจในปักกิ่งดี และฉินหร่านก็โดนดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเขา 

 

 

“ฮ่า…” 

 

 

หัวเราะเบาๆ 

 

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้สึกขนลุก 

 

 

เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างระมัดระวัง 

 

 

“เราจะจัดการอย่างเปิดเผยและเงียบที่สุด เหอะ” ลู่จ้าวอิ่งกระชากคอเสื้อเขา ดวงตาของเขาเย็นชาเมื่อเดินออกไปข้างนอก เขาเอียงหัวและเดินไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ “พวกเขาอยู่ที่ไหน” 

 

 

ผู้คนในเมืองนี้ไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าคุณชายเฉิงมาก่อน! 

 

 

 

 

 

——