อาจเป็นเพราะคำพูดของผู้หญิงคนนั้นรุนแรงและเจ็บปวดเกินไป ต้วนจิ่งหงจึงเดินพุ่งเข้าไปลากซ่งซินออกมา

 

 

“พอได้แล้วค่ะ คุณไม่มีสิทธิ์มาตัดสินว่าศิลปินของฉันทำอะไร”

 

 

ซ่งซินรู้สึกเหมือนได้รับความอัปยศอดสูอันใหญ่หลวง เธอโกรธมากเสียจนอยากจะมุดรูหนี แต่ตอนนี้ถังหนิงเป็นอย่างไรงั้นหรือ หญิงสาวมีท่าทีไม่แยแสและเพิกเฉยต่อการมีอยู่ของซ่งซินไปโดยสิ้นเชิง

 

 

“ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นศิลปินของหล่อนกำลังพยายามทำให้ผู้หญิงท้องลำบากละก็ พวกเราจะมาเปลืองแรงตัดสินยัยนั่นกันทำไมล่ะ”

 

 

“แก…”

 

 

ซ่งซินไม่อยากให้ต้วนจิ่งหงต้องอับอายไปด้วย ดังนั้นเธอจึงจ้องหน้าถังหนิงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “พอได้แล้ว”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ถังหนิงจึงตบบ่าผู้หญิงทั้งสองคนที่กำลังช่วยเหลือเธอแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะคะ ฉันไม่เป็นไรค่ะ พวกคุณไม่จำเป็นต้องกังวลเลย พวกเขาไม่มีทางทำอะไรฉันในที่แบบนี้หรอกค่ะ”

 

 

เนื่องจากผู้เป็นเหยื่อรับมือกับสถานการณ์ได้ ผู้หญิงสองคนนั้นก็ย่อมไม่มีเหตุผลจะต้องอยู่ต่อ ก่อนที่ทั้งสองจะจากไป พวกเธอยิ้มให้ถังหนิงด้วยความสุภาพ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรค่ะ”

 

 

หลังจากนั้น พวกเธอก็หมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้ถังหนิงและต้วนจิ่งหงยืนอยู่ตรงทางเข้าห้องน้ำ

 

 

ดวงตาซ่งซินเป็นสีแดงระเรื่อ ดูจากหน้าอกที่กำลังกระเพื่อมของเธอแล้ว บอกได้ไม่ยากเลยว่าเธอพยายามอย่างมากที่จะกักเก็บความโกรธเอาไว้…

 

 

“ฉันจะออกไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อยนะ” ซ่งซินกล่าวก่อนจะเดินจากไป ทุกวินาทีที่อยู่ตรงหน้าถังหนิงทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังขาดอากาศหายใจ

 

 

ต้วนจิ่งหงมองซ่งซินเดินออกไป จากนั้นหญิงสาวก็มองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ในที่สุดเธอก็พูดกับถังหนิงว่า “คนนอกวงการลือกันว่าคุณเป็นคนเหลี่ยมจัด ก็ถูกของพวกเขานะ ถังหนิง คุณมันน่ากลัว คุณรู้อยู่เต็มอกว่าความนิยมของคุณห่างจากซ่งซินอยู่หลายโยชน์แต่คุณก็ยังทำให้เธอต้องอับอายในที่แบบนี้ คุณช่างน่ากลัวจริงๆ”

 

 

“แล้วเธอล่ะ เธอรู้ดีว่าความนิยมของฉันสูงกว่าเขาแต่เธอก็ไม่เตือนหรือหยุดเขาไว้ เธอแค่ปล่อยให้เขาทำตามต้องการ คิดอะไรอยู่งั้นเหรอ” ถังหนิงเอ่ยถามพลางเชิดคางขึ้น “จากที่ฉันเห็น เธอจงใจให้เขาทำตัวเองอับอายมากกว่า”

 

 

“คุณคิดว่าคนอื่นเขาวางแผนทำร้ายคนรอบๆ ตัวอย่างที่คุณทำเหรอคะ ทีนี้คุณก็ได้ทำให้ซ่งซินอับอายแล้ว ฉันเดาว่านั่นคือการเอาคืนเรื่องที่เธอใช้คุณสร้างกระแสสินะ ดังนั้นจากนี้ไปเราหายกันแล้วนะคะ” พูดจบ ต้วนจิ่งหงก็พยายามจะเดินจากไป ทว่าเธอได้ยินเสียงหัวเราะอันเยือกเย็นขณะที่เดินผ่านถังหนิง

 

 

“หายกัน แน่ใจเหรอ” ถังหนิงล้อเลียนอย่างเป็นนัยๆ “ฉันชอบให้มีการหายกันในวงการนี้มาก แต่…เธอแน่ใจเหรอว่าเธอชดใช้ฉันหมดแล้ว”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ต้วนจิ่งหงก็รู้สึกสะท้านไปทั้งร่างโดยฉับพลัน ฝ่ามือทั้งสองข้างของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อ…

 

 

ถังหนิงหมายความว่าไง

 

 

เธอรู้อะไรบางอย่างงั้นเหรอ

 

 

ไม่…เป็นไปไม่ได้

 

 

“เห็นได้ชัดว่าเรามีความเข้าใจกับคำคำนี้คนละแบบ” ถังหนิงหมุนตัวไปจ้องหน้าต้วนจิ่งหงก่อนจะกระซิบข้างหูเธอว่า “นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น”

 

 

ดวงตาต้วนจิ่งหงเบิกกว้าง ทว่าถังหนิงได้เดินจากไปเสียแล้ว

 

 

แน่นอนว่าต้วนจิ่งหงคาดไว้ว่าคนจากวงการบันเทิงนั้นเล่นตบตากันเก่ง โดยเฉพาะถังหนิงผู้ที่กำลังตั้งท้อง ยิ่งคนเราไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสร้งว่าไม่มีอะไรทำให้พวกเขากังวลเท่านั้น นี่คือหนทางเดียวที่จะข่มคู่แข่ง ดังนั้นต้วนจิ่งหงจึงไม่เก็บเอาคำของถังหนิงมาใส่ใจ เธอสนใจแค่การปลอบโยนซ่งซินและรีบลืมทุกอย่างที่ถังหนิงพูดอย่างรวดเร็ว

 

 

แต่ถังหนิงไม่เคยตบตาใคร…

 

 

 

 

‘ถังหนิงไม่เคยชี้แจงข่าวลือและให้ความนิยมของเธอพูดออกมาเอง!’

 

 

‘ความจริง ณ งานการกุศลเปิดเผย ไหนล่ะความนิยมที่ซ่งซินโม้ไว้’

 

 

นี่คือข่าวบันเทิงที่ถูกเผยแพร่ในคืนนั้น ดูเหมือนว่าภาพจากบนพรมแดงจะได้เปลี่ยนซ่งซินให้กลายเป็นตัวตลกในวงการไปเสียแล้ว มีคนมากมายที่อิจฉาเธอเพราะความโด่งดังของเธอเมื่อเร็วๆ นี้ การได้เห็นเธอถูกถังหนิงเอาชนะด้วยวิธีเช่นนั้นทำให้เหล่าคนที่เคยถูกเธอกดขี่ไม่สามารถควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงความประชดประชันได้

 

 

บางทีแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้เลยว่าความนิยมของเธอจะเป็นภัยได้ถึงเพียงนี้…

 

 

เพราะหญิงสาวไม่รู้จริงๆ ว่าเธอเทียบกับถังหนิงไม่ติด เธอคิดว่าตัวเองสูงส่งมาโดยตลอด

 

 

ซ่งซินไม่พูดอะไรสักคำหลังจากกลับถึงบ้าน ดังนั้นต้วนจิ่งหงจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ฉันเตรียมนัดทานอาหารเที่ยงกับท่านประธานเซียวเอาไว้แล้ว ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เธอไม่อยากมอบความประทับใจแย่ๆ ให้เขาหรอก”

 

 

ซ่งซินนิ่งเงียบ หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง หญิงสาวก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาและเข้าไปในห้องน้ำ

 

 

อย่างที่เขาว่ากัน มีวันเวลาอยู่อีกมากมาย ซ่งซินมั่นใจว่าวันหนึ่งเธอจะทำให้ถังหนิงได้ชดใช้

 

 

 

 

คืนนั้นถังหนิงนอนรอโม่ถิงอยู่บนเตียง ทันทีที่เธอเห็นโม่ถิงกลับมาจากที่ทำงาน หญิงสาวก็ลุกขึ้นเอนหลังแล้วเอ่ยแนะว่า “ฉันอยากเลี้ยงหมาไว้ในห้องทำงานค่ะ”

 

 

“ห้องทำงานใครครับ” โม่ถิงเอ่ยถามพลางโน้มตัวพิงถังหนิง

 

 

“คุณไงคะ”

 

 

โม่ถิงยิ้มแล้วพยักหน้า “ได้ครับ บอกลู่เช่อเลยว่าคุณอยากได้พันธุ์ไหน แต่ก่อนอื่น ผมต้องให้หมอยืนยันก่อนว่ามันจะไม่มีผลกระทบกับคุณ”

 

 

“ได้ค่ะ” ถังหนิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

 

 

ไม่กี่วันต่อมา ทุกคนในไห่รุ่ยก็ได้รู้จักกับสุนัขพิตบูลที่แสนดุร้ายตัวใหม่ในห้องทำงานของโม่ถิง สุนัขพันธุ์นี้ได้ชื่อว่าเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมูสุนัข

 

 

แน่นอนว่าเมื่อมีสุนัข พวกเขาจึงจ้างครูฝึกสุนัขมืออาชีพมาคนหนึ่ง นอกจากนี้สุนัขตัวที่ว่ายังได้รับพื้นที่เฉพาะของมันในห้องทำงานนั้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมจู่ๆ โม่ถิงถึงรับสุนัขที่ดุร้ายเช่นนี้มาเลี้ยงในห้องทำงาน

 

 

แม้แต่ฟังอวี้เองก็ยังกลัวทุกครั้งที่เข้าไปพบโม่ถิง “ท่านประธานโม่ครับ…ทำไมถังหนิงถึงรับเลี้ยงตัวอะไรแบบนั้นมาล่ะครับ”

 

 

โม่ถิงเงยหน้าขึ้นมามองสุนัขพิตบูลตัวนั้นแล้วพูดปัดฟังอวี้ “มันทำให้เธอมีความสุขยังไงล่ะ!”

 

 

“แต่มันดุมากนะครับ”

 

 

“มันไม่กัดนายหรอก” โม่ถิงมองเอกสารในมือของฟังอวี้ “เอาเอกสารมาให้ฉันแล้วไปซะ”

 

 

ในความเป็นจริงแล้ว ฟังอวี้เองก็ไม่กล้าอยู่ที่ห้องของโม่ถิงนานๆ

 

 

ไม่นานนักฟังอวี้ก็จากไป หลังจากนั้นโม่ถิงก็ชำเลืองมองเจ้าสุนัขพิตบูลหน้าดุแล้วยิ้มออกมา เขารู้ว่าถังหนิงกำลังคิดอะไรอยู่ นี่คือเรื่องประหลาดใจที่เธอเตรียมไว้ให้ใครบางคนอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ครู่ต่อมา พนักงานที่ดูธรรมดาและไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในห้องทำงานของโม่ถิง หากไปไล่ถามคนในไห่รุ่ยว่าเขาเป็นใครก็คงจะไม่มีใครจำเขาได้ ทว่าท้ายที่สุดแล้วคนคนนี้กลับอยู่ในห้องทำงานของโม่ถิงนานถึงยี่สิบนาที…

 

 

 

 

บ่ายวันนั้น เฉกเช่นเดียวกับอีกหนึ่งธุรกิจ ซ่งซินกำลังดื่มชายามบ่ายกับทายาทชายผู้เลวทราม แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามปกปิดแค่ไหน ชายคนนั้นก็สัมผัสได้ถึงความเกลียดของเธอ

 

 

“คุณซ่งครับ…คุณไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเองให้ออกมาทานมื้อเที่ยงนี้ก็ได้นะครับ” ชื่อของชายคนนี้คือเซียวอวี่เหอ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับสองของไคหวงฟิล์มและเป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์ถึงครึ่งหนึ่งของกรุงปักกิ่ง ไคหวงฟิล์มลงทุนเงินจำนวนมากไปกับการซื้ออุปกรณ์จากต่างประเทศมาใช้ในโรงภาพยนตร์ของพวกเขา พวกเขายังพยายามจะมอบประสบการณ์ชั้นเลิศในโรงภาพยนตร์และเป็นดาวดวงใหม่ของวงการอีกด้วย

 

 

“ฉันก็แค่อารมณ์ไม่ดีน่ะค่ะ…”

 

 

“เป็นเพราะถังหนิงเหรอครับ” ชายผู้สวมแว่นกรอบสีน้ำตาลและเสื้อสูทลายทาง ผมของเขาถูกปาดไปด้านหลังด้วยความประณีต “คุณรู้หรือเปล่าว่าภาพยนตร์ใหม่ของเธอที่ชื่อ ‘คนรักที่สาบสูญ’ กำลังจะออกฉายเร็วๆ นี้ ตารางฉายถูกเลื่อนขึ้นมาน่ะครับ”