ตอนที่ 61 เด็กหนุ่มก็ถือว่าเป็นกำลังสำคัญ

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ครอบครัวหลี่เจิ้งที่เลือกอยู่ตรงกลางมาตลอด ไม่เคยถูกเอาเปรียบมาก่อน ครั้งนี้เลือกที่จะเดินนำขบวนด้านหน้าเอง 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งโบกมือ “ทำตามนี้แล้วกัน พวกเจ้าเรียกข้าว่าท่านลุง ท่านลุงจะอยู่ด้านหน้าคอยเปิดทางให้พวกเจ้าเอง” 

 

 

เกาถูฮู่ตะโกนบอกทุกคน “เกวียนบ้านข้ายังพอมีพื้นที่ ถ้ากลัวว่าอาหารจะโดนน้ำฝนก็นำมาวางไว้บนรถข้า เด็กอายุน้อยกว่าสามขวบที่ครอบครัวไม่มีรถ ก็พาขึ้นมาได้เลย” 

 

 

พี่น้องสี่คนของตระกูลกัวลุกขึ้นมาพูดกับซ่งฝูเซิง “บ้านข้าจะอยู่ข้างหลัง พวกข้ามีจอบและมีด ฝูเซิงสบายใจได้ มีพี่น้องของเราสี่คนอยู่ ใครก็ไม่กล้าเข้ามาแย่งชิงข้าวของจากด้านหลัง ใครกล้า ข้าจะฟันให้ตาย” 

 

 

ซ่งฝูเซิงตบไหล่หัวหน้าตระกูลกัว “พี่ใหญ่กัว ท่านจำไว้ว่าถ้าด้านหลังเกิดเหตุการณ์อะไรท่านจะต้องเป่าแตรนี้ ไม่ต้องกังวล พวกข้าที่อยู่ด้านหน้าจะรีบมา” 

 

 

แตรนี้สามารถหดเก็บได้ทีละท่อน ซ่งฝูเซิงนำมันออกมาจากพื้นที่พิเศษ ในตอนนั้นซ่งฝูหลิงไปศูนย์จัดนิทรรศการเป็นเพื่อนพ่อเพื่อดูการแข่งขันฟุตบอล พ่อของนางซื้อให้นางไว้เป่าเล่น 

 

 

อย่ามองว่ามันเป็นของเล่นอันเล็กๆ เพราะเมื่อเป่ามัน จะส่งเสียงดังจนหนวกหู สามารถหดเก็บได้ไม่เปลืองพื้นที่ มีขนาดเพียงแค่ฝ่ามือ 

 

 

ครอบครัวซ่งฝูเซิงอยู่ในขบวนลำดับที่สาม 

 

 

ในรถลากเทียมล่อสามคันของบ้านเขา บรรทุกผู้สูงวัยของสองครอบครัว กับคนสามคนที่อุ้มเด็กน้อยวัยไม่กี่ขวบไว้ในอ้อมกอด 

 

 

อาจกล่าวได้ว่า ทุกบ้านที่มีเกวียนกับรถลาก เด็กสาวเด็กหนุ่มทั้งหลายต่างพากันลงจากรถกันหมดเพื่อเดินเท้า 

 

 

พวกเขาต้องสละพื้นที่ให้ผู้สูงวัยและเด็กที่เดินเท้าเป็นระยะทางไกลๆ ไม่ได้ 

 

 

แต่ผู้สูงวัยหลายครอบครัว ยังไม่ทันขึ้นรถก็สั่งกำชับ ไม่เพียงแค่ห่วงใยคนในครอบครัวของตนเอง ไม่ว่าครอบครัวไหนก็จับมือกำชับ “ถ้าเหนื่อยก็บอกกับย่า ย่าจะลงไปเปลี่ยนกับพวกเจ้า ถ้าข้ายังสามารถทำไร่ไถนาได้ ข้าก็สามารถเดินได้เช่นกัน” 

 

 

ขบวนคาราวานสิบสี่ครอบครัวบรรทุกของทั้งหมดจนเสร็จเรียบร้อย ก็ทยอยลงจากภูเขาเป็นทิวแถว 

 

 

ต้องฝ่าสายฝน เส้นทางลงเขามีแต่ดินโคลน 

 

 

ล้อรถเข็นที่ทำมาจากไม้จึงมักติดหล่มอยู่ในโคลน 

 

 

ตามเส้นทางลงภูเขา แต่ละครอบครัวที่เข็นรถด้วยกันจึงมักจะส่งเสียงเป็นจังหวะ “หนึ่งสองสามดัน หนึ่งสองสามดัน” 

 

 

ซ่งฝูหลิงช่วยลุงใหญ่ ลุงรองดันรถ ลุงใหญ่กับลุงรองมีเรี่ยวแรงมาก ขณะที่นางเพิ่งยื่นมือมาแตะ รถเข็นก็หลุดจากหล่มวิ่งลงไปได้ นางที่ไม่ทันระวังจึงล้มหน้าคะมําไป 

 

 

เถาฮวาที่สะพายตะกร้าไว้ด้านหลังรีบวิ่งมาพยุงนาง “พั่งยา?” 

 

 

ซ่งฝูเซิงที่ใส่งอบจีนบนหัวก็หันมามองบุตรสาวด้วยสายตาเป็นห่วง 

 

 

ซ่งฝูหลิงที่โคลนเปื้อนหน้า รีบลุกขึ้นมาส่งยิ้มให้กับพ่อแม่ และยังปฏิเสธผ้าเช็ดหน้าที่เถาฮวายื่นให้นาง นางเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องเช็ดหรอก แบบนี้สิถึงดูเหมือนพวกลี้ภัย” 

 

 

เถาฮวาที่กำลังจะเช็ดหน้าให้ซ่งฝูหลิงก็ชะงักไป ครุ่นคิดสักพักนางก็จับมือที่สกปรกของซ่งฝูหลิงมาป้ายบนหน้าของตนเอง และยิ้มด้วยใบหน้าที่เปื้อนโคลน 

 

 

ต้ายากับเอ้อร์ยาสบสายตาบอกกัน ถ้าต่อไปเราสองคนสกปรกก็ไม่ต้องเช็ดออกแล้ว 

 

 

ซ่งจินเป่าทำปากพึมพำ เขารู้สึกว่าพี่ใหญ่กับพี่รองคิดเข้าข้างตัวเอง “พวกพี่สกปรกหรือไม่สกปรกก็เหมือนพวกลี้ภัยอยู่แล้ว สบายใจเถอะ ไม่มีใครแย่งตำแหน่งพวกพี่ทั้งสองคนหรอก” 

 

 

ต้ายากับเอ้อร์ยาอยากจะตีน้องชายคนเล็กนี้สักที 

 

 

ซ่งฝูไฉ หัวหน้าตระกูลซ่งที่ไม่ค่อยหัวเราะก็ยังอดยิ้มที่มุมปากไม่ได้ เขาผลักรถเข็นที่มีน้ำหนักมากและควบคุมยากพลางคิดในใจ ที่แท้นี่คือความหวังที่น้องสามพูดพร่ำอยู่เสมอ ดูเด็กที่ไร้เดียงสาพวกนี้สิ ไม่มีอะไรที่ไม่สามารถผ่านไปได้ 

 

 

ขบวนคาราวานคนเกือบสองร้อยคน รวมทั้งรถลากเทียมล่อ เกวียน รถเข็นแต่ละคันเคลื่อนขบวนจากบนภูเขาลงมาด้านล่าง 

 

 

ผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่กำลังเดินอยู่ ต่างหันไปมองพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย 

 

 

มีผู้ลี้ภัยบางคนที่เดินอยู่ด้านหน้าได้ยินเสียงจึงหยุดเดินและหันกลับไปมองขบวนคนที่ปรากฏตัวขึ้น 

 

 

มีผู้ลี้ภัยบางคนที่อยู่ด้านหลัง พวกเขารีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อไปดู 

 

 

คนพวกนี้อยู่บนภูเขา? 

 

 

มองสิ่งของที่เข็น มองรถพวกนั้น ก็รู้ได้ว่าคนพวกนี้จะต้องมีของกินมากมายแน่นอน 

 

 

ใช่สิ เมื่อเทียบกับพวกลี้ภัยพวกนี้แล้ว พวกเขามีของกินเยอะแยะ แต่พวกเจ้าจะกล้าแย่งรึเปล่า? 

 

 

เกาเถี่ยโถ่วถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคนใหม่ของกลุ่มชายหนุ่ม ได้เป็นผู้นำเด็กหนุ่มสิบกว่าคน ด้านหลังสะพายตะกร้าไม้ไผ่ มีถุงน้ำผูกตรงเอว ส่วนในมือ ถือไม้กระบองยาวสองเมตร โดดเด่นอยู่ด้านหน้า 

 

 

ตรงหัวกระบองเป็นปลายแหลม แค่ใช้ไม้กระบองแทงเข้าไปก็สามารถทำร้ายให้คนบาดเจ็บได้ 

 

 

พวกกลุ่มเด็กหนุ่มของเกาเถี่ยโถ่ว ตั้งแต่ลงจากเขาจนถึงในตอนนั้น ก็ไม่เคยลืมคำสั่งสอนของอาสาม 

 

 

อาสามบอกว่า “พวกเขาจะแย่งชิงไม่ใช่เพียงแค่อาหาร แต่เป็นชีวิตของพ่อแม่ น้องชาย น้องสาวของเจ้าที่อยู่ด้านหลังด้วย ถูกแย่งอาหารก็เหมือนกับการถูกเอาชีวิตของพวกเขาไป ชายหนุ่มอย่างพวกเจ้าต้องการปกป้องชีวิตของพ่อแม่ใช่หรือไม่?” 

 

 

ไม่มีกิน ไม่มีดื่ม ก็เหมือนกับรอความตาย ตอนนั้นเอง พวกเขาสิบกว่าคนก็ตะโกนเสียงดังออกมาพร้อมกัน “ต้องการ! ต้องการ! ต้องการ!” 

 

 

ดังนั้น หากมีปัญญาก็เข้ามา ถ้ากล้าเข้ามาแย่งอาหารของพวกเขา คงต้องผ่านด่านคนหนุ่มอย่างพวกเขาไปก่อน