ตอนที่ 62 กำลังชั่งใจ
พวกลี้ภัยที่หยุดมองก็อยากจะเดินหน้าเข้าไปขโมยของกิน
เพราะในกลุ่มคนเหล่านี้ มีผู้ลี้ภัยส่วนหนึ่งที่ไม่ได้พกอะไรติดตัวมาด้วย
ที่แย่ไปกว่านั้น บางคนมีของ แต่ระหว่างทางถูกคนอื่นแย่งชิงไปหมดแล้ว ถูกแย่งไปแล้ว ในตัวจะยังเหลืออะไร ยังมีชีวิตอยู่รอดได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
มีคนจำนวนมากมายที่เดินทางมาจากตัวเมือง
เมื่อมีสงคราม ในตัวเมืองถือเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเป็นอันดับแรก ทหารที่อยู่ภายใต้ท่านอ๋ององค์ใหม่และผู้ประสบภัยที่อพยพข้ามพรมแดน ถาโถมเข้ามาเหมือนฝูงตั๊กแตน หากพวกเขาไม่พอใจก็ฆ่าทิ้งอย่างง่ายดาย
พวกเขายังอยากมีชีวิตต่อไป เดินทางจากตัวเมืองมาถึงที่นี่มันไม่ง่ายเลย เพราะต้องใช้เวลาหลายวัน
คนส่วนหนึ่งต่างครุ่นคิด ถึงแม้จะไม่ให้ของกิน ให้พวกเขาได้ดื่มน้ำอุ่นก็ยังดี พวกเจ้าเพิ่งลงมาจากบนเขา ต้องมีอาหารและน้ำอุดมสมบูรณ์แน่นอน
หลายวันมานี้ฝนตกทุกวัน พวกเขาอยากต้มน้ำร้อนก็ไม่สามารถทำได้ ฝนตกหนักทำให้ไฟมอดดับ ในท้องเต็มไปด้วยน้ำฝนเย็นๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป หากเป็นผู้ใหญ่ยังพอทนได้ แต่พวกเด็กๆ คงทนไม่ไหว เพื่อพวกเด็กแล้ว อยากจะลองไปแย่งน้ำพวกนั้นดูสักครั้ง
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะลงมือทำอะไรต่อไป เด็กหนุ่มสิบกว่าคนที่อยู่ด้านหน้าสุดก็หันมาจ้องพวกเขาตาเขม็ง แววตาเหมือนถูกหมาป่าจ้องมอง สื่อความหมายว่า ถ้าพวกเจ้าเข้ามา จะแทงพวกเจ้าให้ตาย
ด้านหลังของเด็กหนุ่มยังมีเด็กสาวอีกหลายคน พวกนางไม่ได้มีแค่มือเปล่า ต่างมีอาวุธครบมือ บางคนถือท่อนฟืน บางคนถือไม้กระบอง
หนึ่งในนั้นยังมีคนอีกคนที่ดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
เด็กสาวคนนั้นแต่งกายแปลกประหลาด ใบหน้าเต็มไปด้วยโคลน ในมือถือไม้กระบองยาวประมาณเมตรกว่า กระบองนั้นดูน่าเกรงขาม ด้านบนมีมีดปลายแหลมเสียบอยู่
ซ่งฝูหลิงไม่รู้ว่าพวกลี้ภัยนี้จะมุ่งความสนใจมาที่นาง ถ้ารู้ นางจะต้องพูดอย่างภาคภูมิใจ ถือว่าพวกเจ้าตาแหลม ข้าได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าคนใหม่ของกลุ่มหญิงสาว
พวกลี้ภัยที่หยุดเดิน ไม่กล้าเดินไต่อปข้างหน้า แท้จริงแล้วสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่เด็กพวกนั้น แต่เป็นชายฉกรรจ์แต่ละคนที่เข็นรถอยู่
อย่ามองว่าเป็นแค่ชายฉกรรจ์ที่ไม่มีพิษสงอะไรเพราะพวกเขาได้แต่เข็นรถ แต่แท้ที่จริงบนรถเข็นของแต่ละคันต่างมีอาวุธครบ พวกเขานำเอามีดทำครัว มีดอีโต้ จอบ และขวาน สิ่งของพวกนี้จงใจเอามาวางไว้ข้างบนสุดเพื่อให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน
พวกเขาเข้าใจ วางไว้ด้านบนก็เพื่อให้พวกเขาชั่งใจให้ดีก่อน
โอ้ คนพวกนี้กำลังลี้ภัยกันหรือ? ทำไมพวกเขาถึงมีสิ่งของต่างๆ พร้อมเพรียงเช่นนี้
พวกผู้ชายสิบสี่ครอบครัว ยังไม่รู้ความในใจของคนลี้ภัยพวกนี้ ถ้าล่วงรู้ได้ พวกเขาต้องพูดว่า
ไม่ได้หยุดนิ่ง พวกข้าหลบหนีออกมาก่อนพวกเจ้าอีก
พวกข้าเก็บข้าวของในบ้านมาด้วยมากมาย
ก่อนที่พวกข้าจะออกเดินทางมายังเก็บข้าวโพดมาเป็นจำนวนมากด้วย
พวกข้าอยู่บนเขามาสี่วันแล้ว ในสี่วันมานี้ ใช้เวลาว่างในการครุ่นคิดวิธีการทำอาวุธเพื่อใช้ต่อกรกับคนที่คิดจะมาแย่งอาหารอย่างพวกเจ้าไง
จะเสียแรงเปล่าไปกับการครุ่นคิดได้อย่างไรล่ะ?
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ผู้ลี้ภัยสิบกว่าคนเบือนหน้าหนีไปเอง ออกเดินตามเส้นทางของตนเองต่อไป
หลังจากนั้นก็มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากขึ้นที่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นขบวนที่ลงมาจากบนภูเขา
ยังมีผู้ลี้ภัยหลายสิบคนที่หิวโหยมาก พวกเขาพยายามละสายตาจากกระสอบอาหารบนรถ ละสายตาได้เพียงครู่หนึ่งก็ต้องหันกลับมามองอีก เหลือบมองไปเหลือบมองมา แสดงถึงความรู้สึกไม่มั่นใจ
หลังจากเดินอย่างสงบมาเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดผู้ลี้ภัยที่หิวโหยหลายสิบคนก็ตัดใจไม่มองมาที่พวกเขาแล้ว
พวกเขาคิดในใจ ช่างเถอะ ช่างเถอะ น่าจะแย่งชิงได้ยาก ถ้าทำไปอาจเสี่ยงถึงชีวิต กลัวพวกเจ้าแล้วจริงๆ
ในขณะเดียวกัน ซ่งฝูเซิงที่อยู่ในขบวนด้านหน้าก็ถึงกับโล่งอก
เมื่อครู่ซ่งฝูเซิงรับรู้ได้ อย่ามองเพียงแค่ดวงตาของพวกเขาที่เห็นว่านิ่งๆ เพราะในความจริงดวงตาที่จ้องมองนิ่งๆ นั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังชั่งใจอยู่ ว่าจะเข้ามาแย่งชิงสิ่งของดีหรือไม่
พวกผู้หญิงที่อยู่บนรถลากและเกวียนต่างก็โล่งใจ
ตอนที่ยังไม่ลงมาจากภูเขาก็ไม่เคยรู้อะไร พอลงจากภูเขามาเห็นเองถึงกับตกใจ
การที่พวกเขามีรถและเกวียนพวกนี้ เมื่ออยู่ท่ามกลางผู้ประสบภัยจำนวนมากจึงกลายเป็นคนร่ำรวยโดยไม่รู้ตัวบนถนนเส้นเล็กๆ สายนี้
ตอนที่ 63 เพิ่งเริ่มต้น
ซ่งหลี่เจิ้งอยู่บนเกวียนคันแรก ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกผิดหวังในใจ คอยแต่โทษตนเอง
ดีแล้วที่ในตอนแรกไม่ไปหลบฝนบนภูเขา
ตอนที่รู้ข่าวก็รู้ก่อนคนอื่น บนถนนยังไม่มีผู้คนเหล่านี้
ในตอนนั้น หากเดินทางต่อไป ถึงแม้จะพบกลุ่มคน ก็คงเป็นกลุ่มที่ไม่ขาดแคลนอาหารการกิน เป็นครอบครัวที่รู้ข่าวล่วงหน้ามาก่อนเช่นกัน
โดยปกติ ครอบครัวพวกนี้เป็นคนมีฐานะ ส่วนคนที่ยากจน คงสามารถจะทำเรื่องที่ไม่คาดคิดได้ ถ้าทุกคนมีฐานะเหมือนกันหมดก็คงไม่มีใครจะไปล่วงเกินใคร
มาดูตอนนี้สิ บนถนนมีทั้งเกวียน มีรถลากเทียมสัตว์ซึ่งดูสะดุดตา
พวกเขาเป็นเพียงคนที่มีสมองเพียงน้อยนิด เมื่อก่อนเข้าเมืองก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาๆ ตอนนี้กลายมาเป็นจุดเด่นในสายตาของผู้ลี้ภัยบนท้องถนน
ผิดความคาดหมาย
เป็นเพราะเขาเอง
ถึงแม้ตอนแรกจะขึ้นภูเขาไปหลบฝนได้ แต่ก็ลงมาจากภูเขาช้าเกินไป
เป็นเพราะเขาเองเห็นแก่ตัวอยากรอดูสถานการณ์สักพัก ยังหวังอยู่เสมอว่าจะสามารถกลับบ้านได้ ทำให้ทุกอย่างล่าช้า
ซ่งหลี่เจิ้งคิดว่าอยู่กับคนพวกนี้ไม่ปลอดภัย
เขามองดูรูปร่างของคนพวกนี้แล้ว ตอนนี้เริ่มมีคนเดินโซซัดโซเซด้วยความอิดโรย ถ้าเป็นเขา ไม่ว่าจะอดอาหารหรือให้ไปแย่งชิงอาหาร ก็อาจจะต้องตายเหมือนกัน เช่นนั้นคงต้องลองดู ถ้าเกิดแย่งอาหารมากินสำเร็จ ก็จะมีชีวิตต่อไปได้ อย่ามองว่าพวกเขาเป็นแค่คนซื่อๆ
พวกผู้ลี้ภัยนี้ไม่ได้อยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน ไม่มีผู้นำ พวกเขาไม่ได้เป็นพวกเดียวกัน ถ้ามีคนนำตะโกนยุแยง ถึงแม้พวกเขามีระบบคุ้มกันอย่างแน่นหนา แต่ก็เป็นการยากที่จะต่อกร
ซ่งหลี่เจิ้งโผล่ศีรษะออกนอกรถ “ฝูเซิง? ฝูเซิง!”
ซ่งฝูเซิงเดินเข้ามาใกล้ ซ่งหลี่เจิ้งบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องที่กังวลใจ
หลังจากนั้นไม่นาน ต้าถังเกอ ลูกชายคนโตของลุงใหญ่ที่อยู่แถวหน้าก็เดินออกจากขบวนมา
ซ่งฝูลู่เป็นคนตัวสูงที่สุดในบรรดาคนเหล่านี้
ซ่งฝูลู่ถือกระบองที่มีผ้าสีแดงผูกติดอยู่สองเส้น และทำท่าตวัดไปมาสองที เหมือนตำรวจจราจรสมัยปัจจุบัน ทำท่าทางส่งสัญญาณให้เดินหน้าต่อไป
ป้าใหญ่ที่กำลังเดินอยู่ด้วยความเหน็ดเหนื่อย เมื่อเห็นกระบองที่มีผ้าสีแดงพริ้วไหวโบกสะบัด ทันใดนั้นดูเหมือนนางจะกระปรี้กระเปร่าสดชื่นขึ้นมาทันที “ดูสิ ลูกชายของข้าส่งสัญญาณแล้วให้ทุกคนเดินต่อไป พวกเจ้าเห็นลูกของข้าหรือไม่?”
ท่านย่าหม่าเบ้ปาก ที่ลูกชายของนางมีตำแหน่งผู้นำได้ เป็นเพราะลูกสามของข้าเป็นคนจัดการให้หรอกนะ
หากไม่ใช่ลูกสามบอกไว้ว่าต้องสามัคคีกันเพื่อรับมือกับคนนอก นางคงไม่ยอมมอบหมายหน้าที่อันมีเกียรตินี้ให้กับครอบครัวลุงใหญ่
ซ่งฝูลู่สั่งการเสร็จแล้ว หวังจงอวี้ที่อยู่กลางขบวนก็หันหน้าบอกต่อไป “พักไม่ได้ เดินทางต่อไป”
ครอบครัวกัวที่อยู่ท้ายขบวนด้านหลังสุด กัวคนโตตะโกน “รับทราบ!”
ไม่มีหนทางอื่น ถึงแม้มีแค่สิบสี่ครอบครัว แต่ถนนในสมัยโบราณค่อนข้างแคบ
เพราะในตอนนั้นมันไม่ใช่ถนนหลวง จึงไม่มีการสร้างถนนอย่างเป็นรูปธรรม เส้นทางเดินที่แคบและคดเคี้ยวแบบนี้ ถ้าไม่มีคนมาใช้เป็นจำนวนมาก กว่าจะกลายเป็นถนนหลักก็คงใช้เวลานาน
ในบรรดาพวกเขา มีบางคนที่เข็นรถเข็น เกวียน และรถลากเทียมด้วยสัตว์ ด้านข้างเหลือพื้นที่เพียงให้เป็นทางเดินเท้าเท่านั้น แต่ละครัวเรือนเดินตามกันไป มองดูเป็นแถวเป็นแนวทอดยาวไปไกล
เมื่อคนอื่นเห็นสัญญาณให้เดินต่อไป ในใจหมดหวังหรือไม่นั้น ซ่งฝูหลิงไม่รู้แน่ชัด นางรู้แต่เพียงว่าตนเองเหนื่อยจนทนไม่ไหวแล้ว
ก่อนหน้านั้นปลอบใจตนเองว่านี่เป็นเพียงการเดินช็อปปิ้ง เมื่อก่อนเดินทั้งวันก็ไม่เป็นไร ตอนนี้อดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว แข้งขาอ่อนแรง เมื่อเปรียบเทียบกับการเดินช็อปปิ้งแล้วมันเป็นคนละเรื่องกันเลย ร่างกายนี้ก็ดูเหมือนกำลังขาดแคลเซียม
เพิ่งใช้เวลาเดินไม่นาน ถ้าเทียบเวลาในยุคปัจจุบันก็เพิ่งจะห้าชั่วโมงกว่าเท่านั้น ซ่งฝูหลิงก็ต้องเกาะรถลาก “ท่านย่า ข้าจะไม่ไหวแล้ว ท่านลงมาเปลี่ยนแทนข้าที”
ท่านย่าหม่า“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องไม่ไหว หมดแรงแน่นอน ขึ้นมาสิ”
ซ่งฝูหลิงขึ้นรถลากด้วยความรู้สึกนี้ แม่เจ้า! ช่างมีความสุขเสียจริง นางต้องรักษาเวลาเช่นนี้ไว้ ขึ้นไปก็นั่งชิดผนัง ผลอยหลับไปในทันที
สองชั่วโมงผ่านไปเฉียนเพ่ยอิงก็เปลี่ยนที่กับหญิงชราที่อยู่บนรถลากอีกคนหนึ่ง หญิงชราลงจากรถมาเดินเท้า ส่วนนางก็ขึ้นไปนั่งในรถแทน เฉียนเพ่ยอิงก็เผลอหลับไป
ซ่งฝูเซิงอิจฉาสองแม่ลูกคู่นั้นมาก เขาก็อยากบิดพลิ้วบ้าง เขาอยากให้ซ่งหลี่เจิ้งชายเฒ่าลงมาจากรถและให้เขาขึ้นไปนั่งแทน เฮ้อ แต่เขากลัวเสียภาพพจน์นี่สิ