ตอนที่ 64 จิตใจดี

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

สัตว์ยังคงได้กินหญ้า กินน้ำ ป้อนหญ้าที่เป็นอาหารที่ดีที่สุดให้กับมัน และให้ดื่มน้ำสะอาด หากเหนื่อยก็ต้องเกลี้ยกล่อม พวกมันได้รับการดูแลเป็นอย่างดี 

 

 

เพราะคาดหวังให้พวกมันช่วยบรรทุกของและคน 

 

 

หากจะพูดอย่างไม่น่าฟังนัก อาจกล่าวได้ว่าชีวิตของพวกมันในตอนนี้ มีค่ามากกว่าชีวิตของคนเสียอีก 

 

 

พวกซ่งฝูเซิงเริ่มเดินทางตั้งแต่เช้าตีสี่กว่า จนมาถึงบ่ายสามโมงกว่า พวกเขาเดินทางมากกว่าสิบเอ็ดชั่วโมงแล้ว 

 

 

สำหรับสัตว์ ทุกชั่วโมงจะได้พักสักครู่หนึ่ง เป็นเวลาที่พวกเขาเองก็สามารถนั่งพักผ่อนบนพื้นได้สักพักเช่นกัน 

 

 

เมื่อบรรดาสัตว์ดื่มกินจนอิ่มหนำแล้วเริ่มออกเดินทางต่อ พวกเขาก็ต้องเดินทางตามไปด้วย 

 

 

พวกสัตว์ได้กินอาหารดีๆ แต่พวกเขากลับไม่ได้กิน 

 

 

แม้ว่าฝนจะตกเบาลงแล้ว แต่โอกาสที่จะตั้งกระทะทำอาหารนั้นยังไม่มี 

 

 

หากจะตั้งกระทะทำอาหาร เนื่องจากมีหลายสิบกว่าครัวเรือน ก็คงต้องใช้พื้นที่เป็นบริเวณกว้าง อีกทั้งไม่สามารถแบ่งปันอาหารให้กับผู้ลี้ภัยคนอื่นได้ และอาจกลายเป็นการกระตุ้นอารมณ์พวกเขาอีกต่างหาก 

 

 

แม้แต่การกินก็ยังต้องหลีกเลี่ยง  

 

 

แล้วจะกินอาหารแห้งได้อย่างไร นั่นคือกินในเวลาที่สัตว์ได้พักผ่อนนั่นเอง โดยพวกเขาจะรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ปิดล้อมด้วยเสื่อเก่าๆ เพื่อขับถ่ายและกินปัวปัว ไปด้วย 

 

 

นอกจากนี้แล้ว ในช่วงแรกที่พวกเขายังไม่ได้ลงจากเขา พวกผู้หญิงก็เสนอว่าจะเข้าห้องน้ำโดยจะขอวางถังไม้ไว้บนเกวียนกับรถลากเทียมสัตว์เพื่อขับถ่ายบนรถ 

 

 

ซ่งฝูเซิงซึ่งเป็นหัวหน้าขบวนถึงกับขมวดคิ้วอบรมสั่งสอนพวกนาง “พวกเจ้าก็ไม่ใช่คุณนายน้อยของตระกูลใหญ่สักหน่อย เป็นเพียงชาวไร่ชาวนาและยังเป็นชาวนาที่เป็นผู้ลี้ภัย จะมาพิถีพิถันอะไรกันนัก” 

 

 

พวกผู้หญิงบอกด้วยน้ำเสียงอึกอักว่า “พวกข้าเป็นชาวนาแต่ก็เป็นผู้หญิงนะ บนถนนมีคนคอยมองดูอยู่มากมาย มันจะดูไม่งาม แค่นั่งยองๆ กับพื้นก็ทนไม่ไหวแล้ว” 

 

 

ซ่งฝูเซิง “ใครอยากจะมองพวกเจ้ากัน!” 

 

 

เท่านั้นเอง ข้อเสนอนี้จึงถูกระงับเอาไว้ก่อน การแก้ปัญหาการเข้าห้องน้ำระหว่างทางตอนนี้คือ ที่ไหนสะดวกก็ขับถ่ายที่นั่น ตอนขับถ่ายก็กินอาหารไปด้วยพร้อมกัน 

 

 

แต่แค่นี่ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว 

 

 

หญิงสูงวัยหลายคนโชคดีที่พวกนางมีหลานชายดีอย่างซ่งฝูเซิง ซ่งฝูเซิงทำถ่านไม้ได้ ถ่านสามารถนำมาใช้บนเกวียนและรถลากเทียมสัตว์ ทำให้ตั้งเตาต้มน้ำร้อนดื่มได้ตลอดเวลา 

 

 

น้ำร้อนช่วยให้อาหารแห้งที่นึ่งทิ้งไว้ข้ามคืนสามารถกลืนลงคอได้ลื่นขึ้น อย่างน้อยก็ไม่สำลักและทำให้อุ่นในท้อง 

 

 

หากมีเด็กงอแงไม่ยอมกลืนลงไปเพราะรสชาติอันจืดชืดปราศจากรสเค็มของเกลือ ก็จะบอกให้พวกเขามองดูผู้ลี้ภัยที่หิวโหยที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลัง แค่นั้นเอง พวกเขาก็กลับมากินอาหารที่มีได้อย่างเอร็ดอร่อยกว่าเดิม 

 

 

กลุ่มเด็กๆ วัยรุ่นที่มีเรี่ยวแรงก่อนหน้านี้ หลังจากเดินมานานกว่าสิบชั่วโมงก็เริ่มจะทนไม่ไหวเช่นกัน อาวุธทั้งหมดที่ถืออยู่ในมือจึงกลายเป็นไม้เท้าค้ำยันแทน 

 

 

เกาเถี่ยโถวถาม “อาสาม พวกเราเดินมากี่ลี้แล้ว? ทำไมข้าถึงรู้สึกเหนื่อยกว่าการไป-กลับหมู่บ้านคราวก่อน” 

 

 

อาสามของเขาก็เหนื่อยเช่นกัน อาสามใช้จิตวิญญาณของการวิ่งมาราธอนเป็นตัวยืนหยัด แต่ตัวเขาเองก็เริ่มไม่ไหวแล้ว ขาของเขาเริ่มอ่อนแรง ในใจก็ครุ่นคิด มิน่าคนสมัยก่อนถึงมีอายุสั้น เขาก็ต้องมีอายุสั้นด้วยสิ เพราะเขาคงเป็นโรคไขข้ออักเสบก่อนเป็นอันดับแรกแน่ๆ 

 

 

“เดินสี่หมื่นกว่าก้าวแล้ว น่าจะประมาณสี่สิบลี้” 

 

 

“พวกเรายังต้องเดินอีกไกลแค่ไหน อาสาม ต้องเดินแบบนี้ไปจนท้องฟ้ามืดหรือ?” 

 

 

ซ่งฝูเซิงส่ายศีรษะ “เดินจนกว่าพวกสัตว์จะทนไม่ไหว เมื่อพวกมันพัก พวกเราถึงได้พัก พวกมันบรรทุกของพวกนี้ อย่างน้อยก็สามารถเดินได้หกสิบลี้ เจ้ามองท้องฟ้าด้านหน้านั้นสิ ด้านหน้าท้องฟ้าสดใส พวกเราพยายามเดินไปให้ถึงด้านหน้านั้น ให้แสงแดดส่องมาที่ร่างกายที่อับชื้น เวลาพวกเรานอนตอนกลางคืนจะได้ไม่ต้องทรมานนัก” 

 

 

พูดจบ ซ่งฝูเซิงก็คว้ากล้องส่องทางไกลที่แขวนอยู่บนคอส่องมองไปข้างหน้า เส้นทางที่รกร้างยาวไกล ทิวทัศน์ในกล้องส่องทางไกลคือ ด้านหน้ามีผู้ลี้ภัยมากมาย เยอะแยะเต็มไปหมด มีทั้งรวมตัวกันเป็นกลุ่มและเดินทางกันเป็นคู่ 

 

 

ด้านหน้าไม่มีวี่แววว่าจะมีแหล่งชุมชน ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะได้กินอาหารตามโรงเตี๊ยมข้างทาง 

 

 

มิน่า ก่อนหน้านี้พี่เขยเคยบอกไว้ มีเพียงพวกพ่อค้าเกลือเถื่อนที่ไม่กลัวตายเท่านั้นถึงจะมาใช้เส้นทางสายนี้เพื่อเดินทาง เจ้าหน้าที่ทางการจึงไม่มาจับกุมใครที่นี่ เพราะไม่มีที่ให้พักแรม สถานที่ก็รกร้างว่างเปล่า 

 

 

ซ่งฝูเซิงใช้กล้องส่องทางไกลส่องดูภูเขาลูกใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล เขาจำคำพูดของพี่เขยได้ว่าที่นี่มีโจรภูเขาอาศัยอยู่ 

 

 

หวังว่าพวกโจรภูเขาเหล่านี้ ที่หันมาเป็นโจรก็เพื่อจะปล้นคนรวยมาช่วยคนจนนะ ตอนนี้ภาวนาขอให้พวกมันเห็นแก่ความอนาถาของพวกเรา หากคิดจะมาปล้นสะดมพวกเขา สู้ออกไปล่าสัตว์เสียยังดีกว่า ได้โปรดอย่าคิดที่จะมาปล้นกันเลย  

 

 

เขาชี้ไปยังภูเขาลูกใหญ่ “คงต้องเลี่ยงภูเขาลูกนี้ไปก่อน ต้องอยู่ห่างจากมันหลายลี้หน่อย พวกเราถึงจะพักผ่อนได้” 

 

 

หันหน้าตะโกนบอกต้าถังเกอ “การแจ้งเตือนระดับหนึ่ง!” 

 

 

ซ่งฝูลู่รีบชูกระบองที่มีผ้าแดงพลิ้วไหวขึ้นสูง นี่หมายถึงการแจ้งเตือนระดับหนึ่ง หากเข้าใกล้บริเวณที่มีโจรภูเขา จำเป็นต้องมีสัญญาณแจ้งเตือน 

 

 

น่าเสียดาย เหมือนเป็นการตบหน้ากัน เพราะยังไม่ทันที่ทุกคนจะเตรียมพร้อม ขบวนของพวกเขาก็ถูกพวกผู้ลี้ภัยพุ่งเข้าหาตรงกลางขบวน จนเกิดความโกลาหลขึ้น 

 

 

“นั่นของข้า!” 

 

 

“ขออาหารแห้งให้ข้าหน่อยเถอะ!” 

 

 

“ข้าขอร้องท่านล่ะ คืนมาให้ข้าเถอะ พ่อของข้าจะหิวตายอยู่แล้ว กว่าจะแย่งได้มา” 

 

 

มีทั้งเสียงร้องห่มร้องไห้และเสียงคร่ำครวญ ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายที่เกิดขึ้น 

 

 

กระบอกน้ำไม้ไผ่ที่ใส่น้ำร้อนที่อยู่ในมือของท่านยายหวังถูกคนแย่งไป ห่อสัมภาระที่อยู่ในอ้อมกอดก็หล่นลง อาหารแห้งที่อยู่ข้างในก็กระจัดกระจายออกมาหมด 

 

 

เหตุเกิดเพราะความเมตตาของท่านยายหวังแท้ๆ