ตอนที่ 65 ต้องใจแข็ง

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ก่อนลงจากภูเขา ซ่งฝูเซิงคอยอบรมคนจำนวนเกือบสองร้อยคน ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง หลังได้รับการอบรมไปแล้วจะได้ผลหรือไม่นั้นก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ แต่ทุกคนก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี

 

 

ทันใดนั้นเอง ในขบวนก็เกิดเหตุโกลาหลอลหม่าน ไม่มีใครทันได้ถามว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น

 

 

หนิวจั่งกุ้ยกับพวกเกาถูฮู่ที่คอยบังคับรถ รีบดึงบังเหียนให้รถหยุด พวกเขาหยิบอาวุธข้างกายที่ทำขึ้นเองและกระโดดลงจากรถเพื่อไปช่วยคุ้มกัน

 

 

ซ่งฝูเซิงได้สั่งการพวกเขาไว้แล้วว่า หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็ไม่ต้องสนใจ คอยทำหน้าที่ปกป้องคนและสิ่งของบนรถก็พอ

 

 

กลุ่มเด็กหนุ่มสิบกว่าคนตื่นตัวขึ้น สีหน้าที่เหน็ดเหนื่อยหายไปทันที ง่ามไม้ในมือที่อยู่ด้านหน้าตวัดไปมา ทำท่วงท่าเหมือนกับกำลังเอามีดจ้วงแทง

 

 

พวกเด็กหนุ่มต่างจดจำหน้าที่ของตนเองได้เป็นอย่างดี

 

 

อาสามบอกแล้วว่า ไม่ว่าด้านหลังขบวนจะเป็นอย่างไรก็อย่าได้สนใจ หน้าที่ของพวกเขาก็คือป้องกันไม่ให้พวกผู้ลี้ภัยที่อยู่ด้านหน้าหันมาโจมตีพวกเขา ทำเช่นนี้เพื่อไม่ให้โดนโจมตีพร้อมกันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

 

 

ชายฉกรรจ์ที่กำลังเข็นรถได้แบ่งหน้าที่แยกย้ายกันออกไปจัดการคนที่มาก่อกวน เหลือชายฉกรรจ์คนหนึ่งไว้คอยป้องกัน ส่วนหนึ่งคอยปกป้องรถเข็นสี่คันที่อยู่บริเวณใกล้เคียง จับมือกันไว้และป้องกันไม่ให้คนแปลกหน้าเข้ามาใกล้เสบียงที่มีผู้คุ้มกัน ในมือต่างถืออาวุธ กันไม่ให้คนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ได้ ถ้าใครเข้ามาก็จะลงมือฟันไม่เลี้ยง

 

 

พวกผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นพวกที่นั่งอยู่บนรถหรือเดินเท้าอยู่ด้านล่างก็มีการเคลื่อนไหวเช่นกัน

 

 

พวกนางรีบหยิบตะหลิว หม้อที่อยู่ใกล้มือขึ้นมา ส่วนคนที่เดินเท้า ในมือก็กระชับถือไม้เท้า และดึงเด็กๆ เข้ามาใกล้ตัวเพื่อช่วยปกป้อง โดยต่างหาสิ่งของข้างกายมาใช้เป็นอาวุธ

 

 

พวกผู้หญิงจำได้ดี โดยเฉพาะหญิงสาวที่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว ซ่งฝูเซิงพูดกับพวกนางตั้งแต่ตอนเช้า

 

 

“หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ไม่ต้องเอะอะโวยวายเสียงดัง ร้องไห้โวยวายไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ว่าเวลาไหนก็อย่าคาดหวังกับคนรอบข้าง ถึงแม้ว่าคนข้างกายคือสามีของเจ้าก็ตาม…

 

 

…หากคาดหวังว่าสามีของเจ้าจะช่วยเหลือเจ้าในยามคับขัน ถ้าเกิดเหตการณ์คับขันจริงๆ แล้วเขาต้องช่วยแม่ของเขาเล่า พวกเจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเวลานั้นชีวิตของเจ้าสำคัญมากกว่าแม่ของเขา? เชื่อมั่นในตนเองเท่านั้นคือสิ่งที่ดีที่สุด…

 

 

…พวกเจ้าไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังเป็นแม่ของลูกด้วย ต้องกล้าหาญที่จะต่อสู้เพื่อลูกของตนเอง”

 

 

ตอนนี้ชายฉกรรจ์ที่ไม่ต้องเข็นรถ นอกจากพี่น้องในครอบครัวกัวแล้ว พวกเขาต้องคอยช่วยกันระวังป้องกันจากด้านหลัง ชายแต่ละคนถือมีดหั่นผัก ถือขวาน วิ่งออกไปสุดกำลังความสามารถ ไม่มีใครสักคนที่เห็นแก่ตัวจนถอยร่นกลับมา

 

 

แม้แต่ตาเฒ่าซ่งหลี่เจิ้งก็กระโดดลงจากรถวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะวิ่งไปก็ชูขวานที่อยู่ในมือไปพร้อมตะโกน “หากกล้ามาแย่งชิงเสบียงพวกข้า ทำกับครอบครัวหนึ่งก็เหมือนทำกับทุกคน พวกเจ้าจงออกไปฆ่าฟันมันให้หมด!”

 

 

ในตอนนั้น พวกผู้ลี้ภัยสิบกว่าคนเข้ามารายล้อมคุณยายหวัง ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกพวกซ่งฝูเซิงทั้งเตะทั้งต่อย

 

 

มีดฟันเข้าที่ด้านหลัง แขน และขาของผู้ลี้ภัยที่ฉวยโอกาสแย่งชิงสเบียงอาหารท่ามกลางความโกลาหล

 

 

ไม้กระบองทุบโดนเนื้อจนมีเสียงดัง ควงควง

 

 

หวังจงอวี้ ยกจอบฟันลงไป โดนขาและเท้าของอีกหลายคน

 

 

ส่วนพี่น้องตระกูลหวังอีกสองคน ทั้งเตะทั้งต่อยผู้ลี้ภัยที่จับแม่ของพวกเขาไม่ยอมปล่อย

 

 

ทุกครั้งที่ยกมีด อีโต้ จอบ ไม้กระบองขึ้นมา ในใจของชายฉกรรจ์ทั้งหลายจะคิดถึงคำสั่งก่อนลงจากเขาของซ่งฝูเซิงเสมอ

 

 

“เมื่อคนเราอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง มักจะมีความคิดที่ชั่วช้า การจะทำดีหรือทำเลวจึงมักเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียว…

 

 

…มีเพียงบางคนเท่านั้น ที่ในบางเวลาจะทำเกินขอบเขต…

 

 

…หากเจ้าไม่กล้าลงมือรุนแรงกับพวกเขา พวกเขาก็สามารถทำร้ายเจ้าจนถึงแก่ชีวิตได้”

 

 

รถลากถูกขวางให้จอดอย่างกะทันหัน ซ่งฝูหลิงรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจนตื่นขึ้นมา ในมือถือมีดปลายแหลม นางหันหน้าไปมองสถานที่เกิดเหตุ

 

 

เมื่อหันไปเห็นภาพ โดยเวลาปกตินางจะเป็นเด็กสาวที่ไม่ชอบการร้องไห้ แต่ตอนนี้ภาพที่เห็นทำให้จิตใจหวั่นไหวจนน้ำตาคลอเบ้า

 

 

เพราะผู้ลี้ภัยพวกนี้ที่ถูกตีจนเลือดอาบ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนนำให้นั่งคุกเข่าลง พวกเขาต่างร้องบอกว่าไม่ได้เข้ามาแย่งชิงสิ่งใด

 

 

มีห้าหกคนที่คุกเข่าลงก่อน

 

 

หลังจากนั้นก็มีอีกสิบกว่าคนคุกเข่าด้วย

 

 

หลายสิบคนคุกเข่าตาม

 

 

พวกผู้ลี้ภัยที่อยู่ท้ายขบวนก็คุกเข่า ประสานมือเป็นกำปั้นตรงหน้าอก แสดงความคารวะ ทุกคนต่างวิงวอน “ขอร้องพวกท่านเถิด ได้โปรดให้อาหารพวกเรากินหน่อยนะ พวกท่านมีรถ จะต้องมีอาหารแน่นอน ขอกินแค่นิดหน่อยก็ได้”

 

 

พวกชายฉกรรจ์หยุดตีพวกผู้ลี้ภัย พวกเขาถืออาวุธเอาไว้กระชับแน่นและเฝ้าระวัง พวกเขามองคนกลุ่มใหญ่ที่คุกเข่าลงด้วยท่าทีที่สงบนิ่งอยู่กับที่

 

 

ตอนนี้เองที่มีเด็กหญิงอายุประมาณเจ็ดแปดขวบร้องไห้ขึ้นมา

 

 

นางยื่นอาหารแห้งครึ่งอันที่ก่อนหน้านี้คุณยายหวังได้ให้กับนางไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา นางคอยป้อนอาหารให้ผู้หญิงที่ล้มลงข้างทางด้วยท่าทีตื่นตระหนก ใช้มือเล็กเขย่าร่างผู้หญิงพร้อมตะโกนเรียก

 

 

“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านรีบดูสิ ข้าขออาหารมาให้ท่านได้แล้ว ท่านลืมตาขึ้นดู ข้าขอมาได้แล้วจริงๆ ท่านได้โปรดลืมตามากินเถอะ”

 

 

ผู้หญิงที่นอนอยู่บนพื้นได้สิ้นลมหายใจแล้ว

 

 

เป็นเพราะเด็กสาวคนนี้ ท่านยายหวังถึงได้รับผลกระทบ

 

 

ก่อนหน้า เด็กคนนี้พยุงแม่ของนางเดินมาอยู่ข้างรถของครอบครัวหวัง

 

 

ท่านยายหวังได้ยินเด็กคนนั้นพูดอย่างชัดเจนว่า “ท่านแม่ อดทนอีกหน่อย พวกเราเดินอีกสองวัน ไม่ใช่สิ เดินอีกวันหนึ่งก็จะถึงเมืองเฉิงโหลวแล้ว เมื่อนั้นพวกเราจะสามารถเข้าไปหาท่านพ่อได้แล้ว”

 

 

เด็กหญิงตัวเล็กอายุเพียงไม่กี่ขวบ ใช้ร่างเล็กๆ พยุงแม่ของนาง และต้องแบกแม่มาตลอดทางเป็นเวลาหลายชั่วโมง ทั้งยังต้องมองหาน้ำ หาวัชพืชและผักป่าไปด้วย

 

 

ตอนหลังอดทนต่อไปไม่ไหว แม่ของเด็กหญิงเริ่มมีอาการไม่ดีขึ้น เด็กคนนั้นวางแม่ของนางไว้ข้างทางก่อนจะวิ่งมาคุกเข่าข้างๆ “ท่านยาย ได้โปรดให้อาหารข้าหน่อยเถอะ ข้าจะโขกศีรษะให้ท่าน”

 

 

ท่านยายหวังเบี่ยงหน้าหนี ไม่กล้าหันไปมองอีก

 

 

เด็กน้อยไม่หยุดโขกศีรษะ ครอบครัวของท่านยายหวังจึงเร่งฝีเท้าเดินให้เร็วขึ้นอีกหน่อย เด็กหญิงคนนั้นก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีพาแม่ของนางตามมา ไม่รู้ว่ารูปร่างเล็กๆ เช่นนางทำได้อย่างไร

 

 

เมื่อตามท่านยายหวังทัน ก็โขกศีรษะต่อ โขกจนหน้าผากเป็นแผลมีเลือดออกมาและกล่าวว่า “ท่านยาย ชาติหน้าข้าจะไปเป็นทาสรับใช้ท่าน ขอร้องท่านเถอะ”

 

 

เป็นเพราะเด็กคนนี้ ท่านยายหวังถึงหันกลับไปเปิดห่อผ้าสัมภาระเพื่อนำอาหารแห้งออกมา หลังจากนั้นเลยถูกรุมล้อม ไม่รู้ว่าผู้ลี้ภัยพวกนี้เห็นได้อย่างไร เข้ามารุมเร็วมากจนตั้งตัวไม่ทัน

 

 

แต่ไม่ไกลออกไปนั้นก็เกิดเหตุการณ์อันน่าเศร้าขึ้นอีก

 

 

มีชายคนหนึ่งที่ถูกลูกชายคนโตของเกาถูฮู่ตี เขาพูดกับเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมอกของภรรยาทั้งที่หัวยังมีเลือดไหล “รีบกินซะ เอ้อร์ต้าน เชื่อพ่อ กินแล้วจะหายป่วย” เขายื่นเศษอาหารแห้งใส่เข้าไปในปากของเด็กสองขวบ

 

 

แต่เด็กน้อยคนนั้น ที่อยู่ในอ้อมกอดของแม่ หมดลมหายใจไปนานแล้ว

 

 

คนแม่กลับคิดว่าเด็กยังมีอาการดีอยู่ ได้แต่กอดไว้แน่นและคอยปลอบโยน “กินซะ เอ้อร์ต้านเด็กดี กินเถอะ”

 

 

ชายที่ป้อนดูเหมือนจะมีสติดีกว่าภรรยา ยอมรับได้ว่าสูญเสียบุตรชายไปแล้ว มือยังจับอาหารแห้งอีกครึ่งหนึ่ง เขาถึงกับเข่าทรุดร้องไห้อย่างหนัก ใช้กำปั้นทุบดินอย่างแรง

 

 

เขาแหงนมองท้องฟ้า ร่ำไห้ไร้เสียง แต่ทุกคนรู้ว่าเขากำลังคร่ำครวญร้องไห้ในใจอย่างหนัก

 

 

ร้องไห้กับชะตาชีวิตบนโลกนี้ พวกเขาร่ำไห้ว่าควรจะทำเช่นไร และคร่ำครวญว่าจะมีชีวิตอยู่ไปอย่างไร

 

 

เริ่มมีคนหลายคนทยอยเข้ามาน้อมตัวประสานมือแสดงการคารวะพร้อมกล่าวกับพวกซ่งฝูเซิง

 

 

“ขอร้องล่ะพวกท่าน”

 

 

คำพูดวิงวอน สายตาที่จับจ้องซ่งฝูเซิงและอีกสิบสี่ครอบครัวที่อยู่บนเกวียน รถลากเทียม สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวัง

 

 

ซ่งฝูเซิงมีใบหน้านิ่งเฉย แต่ข้างในรู้สึกสะเทือนใจ

 

 

เมื่อก่อนเขาไป KTV ร้องเพลงที่ชอบที่สุดคือ มองเห็นม้าใส่เกือกเหล็กส่งเสียงกระทบยามย้ำเท้าไปกับพื้นผ่านอาณาเขตอันกว้างใหญ่

 

 

ตอนนั้นรู้สึกเพียงว่ากล้าหาญชาญชัย

 

 

แต่ภายใต้เกือกเหล็กม้านี้ ตอนนี้ถึงคิดได้ว่าคนบนโลกนี้จะต้องประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายเพียงใดถึงจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สงบสุข

 

 

ถ้าพวกเขาตีผู้ลี้ภัยพวกนี้ให้ตาย ทั้งที่พวกเขาไม่ใช่คนเลว

 

 

พวกเขามีอาหาร แต่พวกเขาไม่กล้าแบ่งให้ และคงให้ไม่ได้

 

 

เพราะก็เป็นผู้ลี้ภัยเหมือนกัน ไม่อาจล่วงรู้เหตุการณ์ในวันข้างหน้าได้ ไม่รู้ว่าอาหารจะหมดลงวันใด

 

 

และไม่อยากคิด หากวันหนึ่งพวกเขาต้องมาเป็นแบบเดียวกับผู้ลี้ภัยที่คุกเข้าอยู่ตรงหน้านี้ เกิดเหตุการณ์เลวร้าย ครอบครัวแตกแยก เพื่อให้ได้อาหารแล้ว ยอมที่จะโดนทำร้ายจนบาดเจ็บ ยอมที่จะสู้ด้วยชีวิต

 

 

ซ่งฝูเซิงมองคนพวกนี้ที่ตอนนี้หยุดการแย่งชิงอาหารแล้วอย่างใจแข็ง “กลับเข้าขบวน เดินหน้าต่อไป!”

 

 

นั่นหมายความว่า แม้แต่อาหารแห้งเพียงเล็กน้อย หรือน้ำเพียงอึกเดียวก็จะไม่แบ่งให้